เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่บวชอยู่ที่วัดป่าแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก ตัววัดตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา เดินทางสะดวก ทิวทัศน์ข้างทางก่อนถึงวัดสวยงามสบายตา
ภายในวัดออกแบบค่อนไปทางสถานปฏิบัติธรรมมากกว่าวัด เพราะไม่มีสถาปัตย์หลังคากระเบื้องสีส้มๆ ตกแต่งด้วยช่อไฟ้ใบระกาแต่อย่างใด ภายในมีเพียงศาลาหลังใหญ่สร้างขึ้นจากโครงเหล็กมุงกระเบื้องธรรมดา พื้นปูด้วยกระเบื้องเงาสลับกับด้านและระแนงไม้ ตกแต่งเพดานด้วยโคมไฟผ้าดิบหลายขนาดเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำดูสวยงามสไตล์ LOFT ลึกเข้าไปด้านในมีศาลาสำหรับปฏิบัติอีกหลังออกแบบคล้ายกันดูสะอาดสะอ้านเรียบง่ายแต่มีดีไซน์ กุฏิพระเป็นแบบแยกพักสำหรับพระหนึ่งรูป ขนาดกระทัดรัด ส่วนตัวโบสถ์อยู่ถัดขึ้นไปด้านบน ออกแบบเป็นรูปทรงกึ่ง contemporary ฐานทำจากหินก้อนใหญ่เรียงกันสวยงามเรียบง่าย มีไว้สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ โดยรวมแล้วสิ่งปลูกสร้างออกแบบได้อย่างสวยงามพอเหมาะพอดีเข้ากันกับต้นไม้และธรรมชาติภายในวัด ดูสวยงามร่มรื่นจิตใจ
วัดนี้มีญาติโยมแวะเวียนมาทำบุญและปฏิบัติธรรมอยู่พอสมควรในวันธรรมดา และหนาแน่นในวันหยุด โดยเฉพาะวันสำคัญทางศาสนาที่คนจะแน่นมาก ไลน์อาหารที่จัดถวายพระและสำหรับญาติโยมยาวและอลังการว่าไลน์บุฟเฟต์ตามโรงแรมเสียอีกก็ว่าได้
สิ่งที่สังเกตุเห็นคือวัดสมัยนี้มีการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นคำว่า "วัดป่า" หรือการออกแบบทั้งสถาปัตยกรรม และบรรยกาศภายในวัดที่สวยงามกลมกลืนกับธรรมชาติ ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของตัวผู้ปฏิบัติที่ต้องการความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากขึ้นกว่าวัดป่าแบบดิบๆ นอกจากนี้ยังมีจุดสวยๆ ที่เป็น landmark สามารถถ่ายรูปเซลฟี่อัพลง FB หรือ IG แล้วแฮชแท็กชื่อวัดพร้อมกับคำประกอบภาพสวยๆ ใต้ภาพตัวเองที่กำลังนั่งสมาธิ เดินจงกรม กวาดวัด จัดอาหาร ฯลฯ (ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งสำหรับผู้ไปปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่งไปแล้ว)
ในยุคที่วัตถุนิยมครอบงำแบบเบ็ดเสร็จอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว วัดกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ตอบสนองความต้องการในบุญไปพร้อมๆ กับการสร้างกิเลสอย่างเงียบๆ ของคนที่ไปวัดเอง ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ของการไปปฏิบัติธรรมควรเป็นไปเพื่อการ ลด ละ เลิก หรือเราลืมกันไปแล้วกระมังว่าเรามาวัดทำบุญเพื่อให้ไม่ใช่เพื่อเอา(บุญ)หรืออะไรติดตัวกลับมา เรามาปฏิบัติเพื่อฝึกฝนความอดทนต่อกิเลสไม่ใช่เพื่อไปเอารูปภาพสวยๆ มาอวดกันว่าฉันได้ผ่านการปฏิบัติที่วัดป่ามาแล้ว
ถึงจะพยายามทำความเข้าใจว่าวัดเองจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อจูงใจให้คนมาวัด เพราะถ้าไม่มีคนมาวัดก็ไม่มีคนทำบุญ เมื่อไม่มีเงินก็ไม่มีปัจจัยที่จะดูแลและบำรุงรักษาวัดให้อยู่ต่อไปได้ โดยเฉพาะวัดป่าซึ่งมักจะมีอณาบริเวณกว้างขวาง อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่อยากให้วัดป่าหรือไม่ป่าก็ตามยึดมั่นคือ การอบรมสั่งสอนคนที่ไปวัด อย่าเข้าทำนองน้ำพึ่งเรืออย่างเดียว ต้องให้เสือได้พึ่งป่าด้วย เมื่อวัดจูงใจให้คนเข้ามาวัดได้แล้วก็ควรมอบสิ่งดีๆ มอบปัญญา ให้กับคนที่เข้ามาวัดได้ติดไม้ติดมือกลับไป อย่าวางเป้าหมายไว้แค่ให้คนมาทำกิจวัตรตื่นเช้า นั่งสมาธิ เดินจงกรม กวาดวัด บำเพ็ญประโยชน์ หรือเมื่อมาทำบุญแล้วก็จะได้บุญกลับไป สิ่งหนึ่งที่หลายๆ วัดลืมไปแล้ว หรือ แกล้งลืมก็ไม่รู้คือ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในเรื่องของการดับทุกข์ แต่ทุกวันนี้กลับเห็นวัดต่างๆ สอนแต่เรื่องบุญ-บาป โดยไม่พูดถึงเรื่องการดับทุกข์เลย
ไม่ผิดที่จะสอนธรรมะหลายระดับ แต่สิ่งที่พุทธศาสนาต้องไม่ลืมคือธรรมะสูงสุดในเรื่องของการดับทุกข์ ทั้งนี้เพื่อตัวพระสงฆ์และตัวผู้ปฏิบัติธรรมในการที่จะได้ประโยชน์สูงสุดในชีวิตทั้งสองฝ่าย อย่างนี้ถึงจะเข้าทำนอง "น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า" อย่างแท้จริง และเมื่อถึงวันนั้นเราคงจะเห็นพระสงฆ์เทศน์สอนในเรื่องการดับทุกข์มากขึ้น และเห็นคนที่ลงรูปภาพกิจกรรมของตัวเองใน Facebook และ Instagram ลดลง
วัดป่ากับผู้ปฏิบัติธรรม - น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า
ภายในวัดออกแบบค่อนไปทางสถานปฏิบัติธรรมมากกว่าวัด เพราะไม่มีสถาปัตย์หลังคากระเบื้องสีส้มๆ ตกแต่งด้วยช่อไฟ้ใบระกาแต่อย่างใด ภายในมีเพียงศาลาหลังใหญ่สร้างขึ้นจากโครงเหล็กมุงกระเบื้องธรรมดา พื้นปูด้วยกระเบื้องเงาสลับกับด้านและระแนงไม้ ตกแต่งเพดานด้วยโคมไฟผ้าดิบหลายขนาดเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำดูสวยงามสไตล์ LOFT ลึกเข้าไปด้านในมีศาลาสำหรับปฏิบัติอีกหลังออกแบบคล้ายกันดูสะอาดสะอ้านเรียบง่ายแต่มีดีไซน์ กุฏิพระเป็นแบบแยกพักสำหรับพระหนึ่งรูป ขนาดกระทัดรัด ส่วนตัวโบสถ์อยู่ถัดขึ้นไปด้านบน ออกแบบเป็นรูปทรงกึ่ง contemporary ฐานทำจากหินก้อนใหญ่เรียงกันสวยงามเรียบง่าย มีไว้สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ โดยรวมแล้วสิ่งปลูกสร้างออกแบบได้อย่างสวยงามพอเหมาะพอดีเข้ากันกับต้นไม้และธรรมชาติภายในวัด ดูสวยงามร่มรื่นจิตใจ
วัดนี้มีญาติโยมแวะเวียนมาทำบุญและปฏิบัติธรรมอยู่พอสมควรในวันธรรมดา และหนาแน่นในวันหยุด โดยเฉพาะวันสำคัญทางศาสนาที่คนจะแน่นมาก ไลน์อาหารที่จัดถวายพระและสำหรับญาติโยมยาวและอลังการว่าไลน์บุฟเฟต์ตามโรงแรมเสียอีกก็ว่าได้
สิ่งที่สังเกตุเห็นคือวัดสมัยนี้มีการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นคำว่า "วัดป่า" หรือการออกแบบทั้งสถาปัตยกรรม และบรรยกาศภายในวัดที่สวยงามกลมกลืนกับธรรมชาติ ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของตัวผู้ปฏิบัติที่ต้องการความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากขึ้นกว่าวัดป่าแบบดิบๆ นอกจากนี้ยังมีจุดสวยๆ ที่เป็น landmark สามารถถ่ายรูปเซลฟี่อัพลง FB หรือ IG แล้วแฮชแท็กชื่อวัดพร้อมกับคำประกอบภาพสวยๆ ใต้ภาพตัวเองที่กำลังนั่งสมาธิ เดินจงกรม กวาดวัด จัดอาหาร ฯลฯ (ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งสำหรับผู้ไปปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่งไปแล้ว)
ในยุคที่วัตถุนิยมครอบงำแบบเบ็ดเสร็จอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว วัดกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ตอบสนองความต้องการในบุญไปพร้อมๆ กับการสร้างกิเลสอย่างเงียบๆ ของคนที่ไปวัดเอง ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ของการไปปฏิบัติธรรมควรเป็นไปเพื่อการ ลด ละ เลิก หรือเราลืมกันไปแล้วกระมังว่าเรามาวัดทำบุญเพื่อให้ไม่ใช่เพื่อเอา(บุญ)หรืออะไรติดตัวกลับมา เรามาปฏิบัติเพื่อฝึกฝนความอดทนต่อกิเลสไม่ใช่เพื่อไปเอารูปภาพสวยๆ มาอวดกันว่าฉันได้ผ่านการปฏิบัติที่วัดป่ามาแล้ว
ถึงจะพยายามทำความเข้าใจว่าวัดเองจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อจูงใจให้คนมาวัด เพราะถ้าไม่มีคนมาวัดก็ไม่มีคนทำบุญ เมื่อไม่มีเงินก็ไม่มีปัจจัยที่จะดูแลและบำรุงรักษาวัดให้อยู่ต่อไปได้ โดยเฉพาะวัดป่าซึ่งมักจะมีอณาบริเวณกว้างขวาง อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่อยากให้วัดป่าหรือไม่ป่าก็ตามยึดมั่นคือ การอบรมสั่งสอนคนที่ไปวัด อย่าเข้าทำนองน้ำพึ่งเรืออย่างเดียว ต้องให้เสือได้พึ่งป่าด้วย เมื่อวัดจูงใจให้คนเข้ามาวัดได้แล้วก็ควรมอบสิ่งดีๆ มอบปัญญา ให้กับคนที่เข้ามาวัดได้ติดไม้ติดมือกลับไป อย่าวางเป้าหมายไว้แค่ให้คนมาทำกิจวัตรตื่นเช้า นั่งสมาธิ เดินจงกรม กวาดวัด บำเพ็ญประโยชน์ หรือเมื่อมาทำบุญแล้วก็จะได้บุญกลับไป สิ่งหนึ่งที่หลายๆ วัดลืมไปแล้ว หรือ แกล้งลืมก็ไม่รู้คือ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในเรื่องของการดับทุกข์ แต่ทุกวันนี้กลับเห็นวัดต่างๆ สอนแต่เรื่องบุญ-บาป โดยไม่พูดถึงเรื่องการดับทุกข์เลย
ไม่ผิดที่จะสอนธรรมะหลายระดับ แต่สิ่งที่พุทธศาสนาต้องไม่ลืมคือธรรมะสูงสุดในเรื่องของการดับทุกข์ ทั้งนี้เพื่อตัวพระสงฆ์และตัวผู้ปฏิบัติธรรมในการที่จะได้ประโยชน์สูงสุดในชีวิตทั้งสองฝ่าย อย่างนี้ถึงจะเข้าทำนอง "น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า" อย่างแท้จริง และเมื่อถึงวันนั้นเราคงจะเห็นพระสงฆ์เทศน์สอนในเรื่องการดับทุกข์มากขึ้น และเห็นคนที่ลงรูปภาพกิจกรรมของตัวเองใน Facebook และ Instagram ลดลง