ตั้งแต่ขายธุรกิจโทรฯมือถือให้กับไมโครซอฟท์เมื่อปี 2013 โนเกีย ก็พยายามมองหาธุรกิจใหม่ๆให้กับตัวเอง โดยหนึ่งในธุรกิจใหม่ที่โนเกียสนใจนั่นก็คือ ตลาดอุปกรณ์ Virtual Reality
โดย โนเกีย ได้เปิดตัวกล้องสำหรับถ่ายภาพแบบ Virtual Reality ระดับมืออาชีพ ในนาม Ozo เจาะกลุ่มเป้าหมายอุตสาหกรรม โดยจะมีลักษณะหน้าตาเป็นรูปทรงกลม พร้อมเซ็นเซอร์กล้อง 8 ตัวและไมโครโฟน 8 ชิ้นรอบทิศทาง ซึ่งจะทำให้สามารถบันทึกภาพและเสียงได้แบบ 360 องศา โดยจะมีคุณสมบัติที่สำคัญซึ่งเป็นจุดเด่นหลักอยู่ 2 ประการคือ Ozo จะสนับสนุนความสามารถในการมอนิเตอร์กันแบบสดๆ นั่นหมายความว่า ผู้กำกับจะสามารถสวมชุดหูฟัง VR และมองดูภาพ footage ที่ถ่ายได้ทันที โดยกล้องจะสามารถแสดงภาพ VR footage ความละเอียดต่ำในเวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งเคลมว่ารวดเร็วกว่ากล้อง VR ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ไม่สามารถรวมภาพ footage เข้าด้วยกันในทันทีได้ มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทีมงานฝ่ายผลิตที่ต้องการตรวจสอบภาพว่าดีแล้วหรือไม่ โดยไม่ต้องรอเวลาเป็นชั่วโมงๆเพื่อทำการรวมภาพ
นอกจากนี้ Ozo ยังสามารถติดเข้ากับขาตั้งกล้องมาตรฐาน และสนับสนุนการจับภาพในรูปแบบมาตรฐานไปยัง SSDs ภายใน หรือผ่านสายเคเบิล SDI อีกทั้งยังสามารถควบคุมด้วยการรีโมทผ่านเครือข่าย Wi-Fi รวมถึงใช้แบตเตอรี่ได้ในกรณีที่ไม่มีไฟฟ้าใช้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม โนเกีย ยังไม่ได้ให้ราคาสำหรับกล้องมากความสามารถนี้เอาไว้ แต่ด้วยการออกแบบมาเพื่อการใช้งานระดับมืออาชีพ คาดว่าราคาน่าจะค่อนข้างสูงเลยทีเดียว โดยเตรียมเปิดขายในไตรมาสที่สี่ของปี 2015
ที่มา TechSpot
โนเกีย ประกาศ เดินหน้าจับธุรกิจกล้อง VR เตรียมปล่อย Ozo ลงตลาด ปลายปีนี้
ตั้งแต่ขายธุรกิจโทรฯมือถือให้กับไมโครซอฟท์เมื่อปี 2013 โนเกีย ก็พยายามมองหาธุรกิจใหม่ๆให้กับตัวเอง โดยหนึ่งในธุรกิจใหม่ที่โนเกียสนใจนั่นก็คือ ตลาดอุปกรณ์ Virtual Reality
โดย โนเกีย ได้เปิดตัวกล้องสำหรับถ่ายภาพแบบ Virtual Reality ระดับมืออาชีพ ในนาม Ozo เจาะกลุ่มเป้าหมายอุตสาหกรรม โดยจะมีลักษณะหน้าตาเป็นรูปทรงกลม พร้อมเซ็นเซอร์กล้อง 8 ตัวและไมโครโฟน 8 ชิ้นรอบทิศทาง ซึ่งจะทำให้สามารถบันทึกภาพและเสียงได้แบบ 360 องศา โดยจะมีคุณสมบัติที่สำคัญซึ่งเป็นจุดเด่นหลักอยู่ 2 ประการคือ Ozo จะสนับสนุนความสามารถในการมอนิเตอร์กันแบบสดๆ นั่นหมายความว่า ผู้กำกับจะสามารถสวมชุดหูฟัง VR และมองดูภาพ footage ที่ถ่ายได้ทันที โดยกล้องจะสามารถแสดงภาพ VR footage ความละเอียดต่ำในเวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งเคลมว่ารวดเร็วกว่ากล้อง VR ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ไม่สามารถรวมภาพ footage เข้าด้วยกันในทันทีได้ มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทีมงานฝ่ายผลิตที่ต้องการตรวจสอบภาพว่าดีแล้วหรือไม่ โดยไม่ต้องรอเวลาเป็นชั่วโมงๆเพื่อทำการรวมภาพ
นอกจากนี้ Ozo ยังสามารถติดเข้ากับขาตั้งกล้องมาตรฐาน และสนับสนุนการจับภาพในรูปแบบมาตรฐานไปยัง SSDs ภายใน หรือผ่านสายเคเบิล SDI อีกทั้งยังสามารถควบคุมด้วยการรีโมทผ่านเครือข่าย Wi-Fi รวมถึงใช้แบตเตอรี่ได้ในกรณีที่ไม่มีไฟฟ้าใช้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม โนเกีย ยังไม่ได้ให้ราคาสำหรับกล้องมากความสามารถนี้เอาไว้ แต่ด้วยการออกแบบมาเพื่อการใช้งานระดับมืออาชีพ คาดว่าราคาน่าจะค่อนข้างสูงเลยทีเดียว โดยเตรียมเปิดขายในไตรมาสที่สี่ของปี 2015
ที่มา TechSpot