กว่าจะได้เป็น “แม่”

สวัสดีค่ะ เราตั้งใจจะแบ่งปันเร่องราวของตัวเองนานแล้ว ช่วงนี้วันหยุดยาว เลยมีเวลานั่งพิมลง Microsoft word ค่ะ
ขออนุญาตมาแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ที่พบเจอกับความสูญเสียทุกท่านนะคะ

ย้อนไปหลายปีก่อน หลังจากเราแต่งงานได้ 2 ปี สามีเริ่มอยากมีลูกค่ะ
เราทั้งคู่ร่างกายปกติดี จึงตัดสินใจพยายามหาข้อมูลและวิธีบำรุงก่อนตั้งครรภ์

ท้องที่ 1 (น้องสรวง)
เราพยายามที่จะมีลูก โดยใช้วิธีเทสไข่ตก และทานวิตามินบำรุง (โฟลิค) ก่อนตั้งท้อง
พยายามมา 1ปี 6 เดือน ก็มีข่าวดีว่าท้องค่ะ (จำได้ว่าเป็นวันที่ 15 กรกฎาคม)
เรากับสามีดีใจมากค่ะ พยายามดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด ตามประสาแม่ท้องแรกทั่วๆไป
ไปอัลตร้าซาวด์ตามคุณหมอนัดทุกครั้ง  ทานวิตามินและยาบำรุงอย่างเคร่งครัด
พอเข้าเดือนที่ 5 เริ่มสังเกตตัวเอง ว่าทำไมถึงไม่รู้สึกว่าลูกเราดิ้นเหมือนเพื่อนๆในคลับนะ
เข้าเสิร์จหาข้อมูล สรุปได้ว่า  “อ๋อๆๆ เป็นเรื่องปกติของคนท้องแรกน่ะ ลูกดิ้นจะไม่ค่อยรู้สึกหรอก”
เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร จึงเดินหน้าบำรุงต่อไป จนเข้า 22 สัปดาห์ ไปอัตตร้าซาวด์ตามนัดอีกครั้ง
จำได้ว่าหน้าห้องตรวจ ตื่นเต้นมาก บอกกับสามีว่า นี่ๆรู้สึกว่าลูกดิ้นด้วยนะ สามีจับพุงตื่นเต้นกันใหญ่
สักพัก คุณพยาบาลเรียกเข้าห้อง คุณหมอพูดคุยสักพัก และบีบเจลลงที่ท้อง พร้อมกับวางเครื่องตรวจ
สามีรีบหยิบกล้องมาอัดวีดีโอด้วยความตื่นเต้น เราซึ่งนอนยิ้มใจเต้นรัวๆอยู่นั้น
ก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงที่ปนความกังวลของคุณหมอ
“คุณแม่ครับ น้องศีรษะเล็กกว่าปกตินะ”
เราได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกใจแป้ว “ถือว่าผิดปกติไหมคะคุณหมอ”
“ผิดปกติครับ” คุณหมอเงียบไปอึดใจนึง “น้องเค้าเสียแล้วนะครับ”
กล้องวีดีโอในมือสามีถูกตัดทันที....
เราในตอนนั้นพยายามที่จะเข้มแข็ง พยายามที่จะไม่เชื่อ “ไม่จริงหรอก คุณหมอตรวจผิด ”
เราพูดย้ำในใจกับตัวเองแบบนั้น รวมรวมสติบอกกับคุณหมอไปว่า “ไม่จริงค่ะ ตอนรออยู่หน้าห้องลูกหนูยังดิ้นอยู่เลย”
เราเถียงกับคุณหมอ เถียงไปร้องไห้ไป คุณหมอตอบว่า “ที่รู้สึกอาจเป็นชีพจรแม่เองครับ”
คุณหมออธิบายวิธีการที่จำดำเนินการต่อไปจากนี้กับสามี
โดยวันรุ่งขึ้นเราและสามีต้องไปพบคุณหมออีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวแอดมิด และ
“ชักนำการแท้ง” เนื่องจากลูกของเราเสียชีวิตในท้องเรามานานแล้ว และไม่มีเลือดและไม่ปวดท้องใดๆ
ซึ่งอาการเช่นนี้เรียกว่า “แท้งค้าง” นั่นเอง
คืนนั้นทั้งคืน เราร้องไห้ตลอดเวลา สามีที่เป็นผู้ชายที่เข้มแข็งปล่อยโฮ เรานอนกอดลุกไว้ทั้งคืน ภาวนาให้มันเป็นแค่ฝันร้าย

14 พฤศจิกายน เราไปที่โรงพยาบาลนักเรียนแพทย์แห่งหนึ่งตามนัด
คุณหมออัลตร้าซาวด์อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าลูกจากเราไปแล้วจริงๆ
จากนั้นจึงสั่งแอดมิด ในชั้นนี้ของตึก เต็มไปด้วยคุณแม่ที่อาการไม่ดีนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นคุณแม่ที่สูญเสียลูกเช่นกัน
เราไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครทั้งสิ้นเพราะรู้สึกหดหู่มาก พยาบาลและนักศึกษาเข้ามาพูดคุย ปลอบใจเราบ่อยครั้ง
เราได้รับยาเหน็บชนิดหนึ่ง มันทำให้เราปวดท้องมาก ขาจิกเกร็ง เพื่อนฝูงพากันมาเยี่ยม เราร้องไห้ทุกครั้งแบบไม่อายใคร
เราปวดอยู่แบบนี้ จนถึงเช้าวันที่ 16 พฤศจิกา เรารู้สึกปวดมากๆๆ พยาบาลกำลังติดต่อพาเราไปห้องคลอด
จนในที่สุดเราคลอดออกมา คลอดทั้งถุงน้ำคร่ำ น้ำคร่ำสีขุ่นจนออกเทา ทำให้เรามองไม่เห็นลูกเลย
เห็นเพียงแค่ฝ่ามือเล็กๆ 5 นิ้วกางออกแปะที่หน้าถุงน้ำคร่ำ “ลาก่อนนะครับแม่...”
เราคิดเอาเองว่ามันเป็นสัญลักษณ์ ของการบอกลาตลอดการจากลูกเรา
ลูกเราตัวเล็กมากค่ะ เนื่องจากเลือดของเราแข็งตัวง่าย จนเป็นลิ่ม ทำให้อาหารและทุกอย่างจากสายสะดือ ส่งไปหาลูกลำบาก พูดแบบตรงๆคือ ขาดอาหารนั่นเอง...
ชีวิตของเราหลังจากกลับบ้าน เราซึมเศร้า เราหมดสิ้นหนทาง
ในครั้งนั้น เราเคยมาขอกำลังใจในกระทู้นี้ค่ะ
  http://topicstock.pantip.com/family/topicstock/2012/11/N12943743/N12943743.html
เราได้รับกำลังใจจากเพื่อนสมาชิกทุกท่าน  สภาพจิตในเราค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่เรายังไปหาลูกที่วัดเสมอๆ ซื้อของไปให้ ไปพูดคุยกับลูก เราทำบุญใส่บาตรถึงเค้าประจำ กลัวลูกอด  

เราเดินหน้ารักษาผู้มีบุตรยาก โดยวิธี IUI แต่ทำแล้วก็ไม่เคยสำเร็จ
แต่หลังจากนั้น 5 เดือน เราก็มีข่าวดีอีกครั้งค่ะในท้องที่ 2 แต่สุดท้ายก็จูงมือกันไปได้ไม่สุดทาง....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่