เพื่อพระพุทธศาสนา ก็แค่การคำแอบอ้างเพราะความเป็นจริงผลประโยชน์แอบแฝงล้วนๆ คุณคิดว่าไง ?

กระทู้คำถาม
ประเด็นของพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย จนถึงขณะนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องทางคดีและการอาบัติปาราชิกเท่านั้น แต่ได้ขยายไปสู่วงขัดแย้งของสงฆมณฑลซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆก็คือฝ่ายที่สนับสนุนกับฝ่ายที่ไม่สนับสนุนพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย


อย่างล่าสุดทางพระเมธีธรรมาจารย์ ที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา ถึงขนาดส่งสารไปยังเจ้าอาวาสทั่วประเทศ ว่าให้ร่วมกันเขียนจดหมายเปิดผนึก ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อช่วยกันปกป้องวัดพระธรรมกายเลยทีเดียว


พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร ที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา โพสต์เฟสบุ๊ค ภาพหนังสือเพื่อขอให้เจ้าอาวาสวัดจากทั่วประเทศ ส่งจดหมาย/หนังสือ ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี โดยขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีช่วยปกป้องพระพุทธศาสนา โดยข้อความระบุว่า


ในนามที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา อาตมาและคณะประกอบด้วย ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา ผศ.ดร.เมธาพันธุ์ โพธิธีรโรจน์ พร้อมคณะ ได้แถลงการณ์ชัดเจนว่าที่ผ่านมาจะเลื่อนเฉพาะการเจริญพระพุทธมนต์ครั้งใหญ่เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น เช่น การเฝ้าติดตาม เฝ้าระวัง ภัยพระพุทธศาสนารวมทั้งการทำงานมวลชน งานวิชาการและกำหนดการเคลื่อนไหวอื่นๆ ยังคงดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง


บัดนี้สถานการณ์ล่าสุดของกลุ่มบุคคลที่ยื่นเรื่องของพระ วัดและคณะสงฆ์ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการนั้น คณะทำงานของ สนพ.ได้เข้าไปศึกษาในรายละเอียดปรากฏชัดว่าได้มีการให้ร้าย โจมตีคณะสงฆ์เช่นเดิม ทั้งเรื่องการปกครอง การศึกษา และอื่นๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ในนาม สนพ.จึงส่งหนังสือฉบับนี้แจ้งเจ้าอาวาสทั่วประเทศ เพื่อทราบและถ้าเห็นด้วยได้เมตตาส่งจดหมายตอบกลับถึงนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาลโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อช่วยกันรักษาพระศาสนา


ขณะที่อีกฝากฝั่งหนึ่งในแง่ของการตรวจสอบพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายคงหนีไม่พ้นหลวงปู่พุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังคงเดินหน้าทำหน้าที่ของตนเองอย่างแน่วแน่ ซึ่งก่อนหน้านี้หลวงปู่พุทธอิสระเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะต้องทำภารกิจในการตรวจสอบพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายให้สำเร็จก่อนพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราช ระหว่างวันที่ 15-17 ธ.ค.นี้


และจากการยืนหยัดในการต่อสู้และความเพียรพยายามของหลวงปู่พุทธอิสระที่เกิดขึ้น ในวันนี้ทางสำนักข่าวทีนิวส์ได้ส่งผู้สื่อข่าวลงไปสัมภาษณ์ทางหลวงปู่พุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ถึงความตั้งใจ และการต่อสู้ในครั้งนี้


นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของความขัดแย้งในสงฆมลฑลที่ได้อุบัติขึ้นแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาสำนักข่าวทีนิวส์ก็ได้นำเสนอเรื่องนี้ให้กับสังคมได้ตระหนักและรับทราบมาโดยตลอด เพราะว่าสถานการณ์ของวงการสงฆ์ในประเทศไทยได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายธรรมยุตินิกายกับฝ่ายมหานิกาย โดยฝ่ายมหานิกายมีวัดพระธรรมกายเป็นศูนย์กลาง


ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นการดุลอำนาจกันระหว่างฝ่ายมหานิกายกับฝ่ายธรรมยุตินิกาย และนับตั้งแต่ที่วัดพระธรรมกายได้ก่อตั้งขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วัดสายมหานิกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมทางพุทธศาสนา ซึ่งประจักษ์แก่สายตาคนทั้งประเทศ


และนี่ก็คือตัวอย่างของกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาที่วัดธรรมกายจัดขึ้น โดยมีวัดในสายมหานิกายเข้ามาสนับสนุน จนสร้างเป็นปรากฏการณ์ขึ้น อาทิ


โครงการเจริญพุทธมนต์ 5 ธันวามหาราช ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2546


โครงการมุทิตาสักการะพระภิกษุ–สามเณรเปรียญธรรม 9 ประโยค เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 โดยจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนสิงหาคม


โครงการถวายทุนการศึกษาแก่สำนักเรียนบาลีทั่วประเทศ เริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2546 โดยมีการมอบทุนการศึกษาแก่สำนักเรียนที่สอบได้คะแนนสูงสุดในแต่ละประเภท รวมมอบทุนการศึกษา ปีละกว่า 4,000,000 บาท


โครงการมอบทุนการศึกษาสำหรับพระภิกษุ–สามเณร เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 นับถึงปัจจุบัน มีผู้รับทุนไปแล้วกว่า 100,000 รูป


โครงการสอบตอบปัญหาศีลธรรมเพื่อสันติภาพโลก สำหรับบรรพชิต และถวายรางวัลเพื่อนำไปพัฒนางานเผยแผ่พระพุทธศาสนากว่า 15 ล้านบาท


โครงการตอบปัญหาทางก้าวหน้าพระแท้

โครงการถวายมหาสังฆทาน เริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ.2545 จากจำนวน 1,000 วัด เพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่นวัด

โครงการอบรมสัมมนาพระกัลยาณมิตร เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 จนถึง 25 มีนาคม พ.ศ. 2552 มีพระภิกษุจากทั่วประเทศผ่านการอบรมแล้ว 80 รุ่น เป็นจำนวน 10,278 รูป


ที่พึ่งผ่านหูผ่านตากันไป ก็คือโครงการธุดงค์ธงธรรมชัย ที่มีพระสงค์จากวัดพระธรรมกาย และพระสงฆ์จากสายมหานิกายทั่วประเทศมาร่วมกิจกรรม เดินธุดงค์ โดยการเดินจะมีประชาชนนำดอกดาวเรือง หรือที่เรียกกันว่าดอกดาวรวยโปรยบนพื้นตลอดเส้นทางการเดินธุดงค์


รูปธรรมที่เกิดจากการจัดกิจกรรมต่างๆ นั่นก็คือจำนวนวัดและจำนวนพระสงฆ์ของสายมหานิกายในปัจจุบัน ซึ่งพบว่ามีปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจากกองพุทธศาสนสถาน สำนักงานศาสนสมบัติ ระบุข้อมูลวัดทั่วประเทศ พบว่า


วัดที่มีพระสงฆ์ทั่วประเทศ  33,902 วัด
- มหานิกาย 31,890วัด
- ธรรมยุติ1,987 วัด
- จีนนิกาย 12วัด
- อนัมนิกาย ( ญวณ )13วัด


ตอกย้ำกับจำนวนพระสงฆ์ และสามเณร จากข้อมูลของสํานักงานเจ้าคณะจังหวัด , สํานักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ระบุว่า

พระภิกษุ  สายมหานิกาย จำนวน 256,590 รูป

พระภิกษุ  สายธรรมยุตินิกาย จำนวน 32,541 รูป

รวมมีพระภิกษุทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 289,131 รูป

สามเณร  สายมหานิกาย จำนวน 53,627 รูป

สามเณร  สายธรรมยุตินิกาย จำนวน 6,901 รูป

รวมมีสามเณรทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 60,528 รูป


และจากสถิติดังกล่าวก็เป็นที่ปรากฏชัดเจนว่า นอกเหนือจากวัด พระภิกษุ สามเณร จากสายมหานิกายที่มีปริมาณมากกว่าสายธรรมยุติแล้ว การจัดกิจกรรมสนับสนุนและส่งเสริมโดยมีวัดพระธรรมกายเป็นศูนย์กลางก็ทำให้วัดและพระภิกษุในสายมหานิกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว


และถ้าหากย้อนกลับไปตรวจสอบที่มาของวัดพระธรรมกาย รวมไปถึงประวัติของพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ก็จะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างวัดพระธรรมกายกับวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีการเกื้อหนุนจุนเจือกันมาตลอด


เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2554 สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นประธานในพิธีถวายสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร แด่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย  โดย นายอำนาจ บัวศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ


เช่นเดียวกับภาพที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ต่างๆ มีการแชร์ข้อความที่เป็นลักษณะคำถามที่สังคมตั้งกับถามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ภายหลังจากที่มหาเถรสมาคมมีมติให้ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พ้นผิดไม่ต้องปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เมื่อครั้งยังทรงพระชนม์ชีพ ปี 2542 โดยคำถามส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปถึงสายสัมพันธ์ระหว่าง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กับพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย


นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ส่วนตัว “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” เคยกล่าวไว้ว่า “อาตมาเองตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ 87 ปีแล้ว เพิ่งจะวันนี้เองที่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ จึงชื่นใจ กรณีเป็นประธานเดินธุดงค์เดินดอกไม้” และ “วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็นวัดพี่วัดน้อง หรือเสมือนหนึ่งว่า เป็นวัดเดียวกันมีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วัดปากน้ำมีอะไร วัดพระธรรมกายมีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน” ใช่หรือไม่


และในการจัดกิจกรรมทางพุทธศาสนาครั้งสำคัญๆของวัดธรรมกาย  สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ก็จะไปรวมพิธีแถบทุกครั้ง ยิ่งเป็นตอบย้ำให้เห็นความผูกพันและความใกล้ชิดของพระทั้ง2รูป


และไม่เฉพาะเพียงแค่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์กับพระธัมมชโยเพียงเท่านั้น จากรายงานที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ ก็พบว่ากรรมการมหาเถรสมาคมที่เป็นพระสายมหานิกาย ก็เข้าไปมีส่วนรวมกับกิจกรรมทางศาสนาของวัดธรรมกายตลอด


ทั้งนี้ กรรมการมหาเถรสมาคม ฝ่ายมหานิกาย ประกอบด้วย

1.สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำภาษีเจริญ
เริ่มวาระ พ.ศ. 2538
2.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) วัดสุทัศน์เทพวราราม
เริ่มวาระ พ.ศ. 2553
3.สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม
เริ่มวาระ พ.ศ. 2554
4.สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) วัดไตรมิตรวิทยาราม
เริ่มวาระ พ.ศ. 2557
ส่วนกรรมการมหาเถรสมาคม โดยแต่งตั้ง ประกอบด้วย
5.พระพรหมวชิรญาณ (ประสิทธิ์ เขมงฺกโร) วัดยานนาวา
เริ่มวาระ พ.ศ. 2556
6.พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ) วัดปากน้ำ
เริ่มวาระ พ.ศ. 2556
7.พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) วัดสามพระยา
เริ่มวาระ พ.ศ. 2555
8.พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน) วัดปากน้ำภาษีเจริญ
เริ่มวาระ พ.ศ. 2557
9.พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
เริ่มวาระ พ.ศ. 2558
10.พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) วัดประยุรวงศาวาส  
เริ่มวาระ พ.ศ. 2555


และจากความยิ่งใหญ่และการแพร่ขยายอิทธิพลของวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะวัดในสายมหานิกายและส่วนหนึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่ามีการแทรกแซงเข้าไปอยู่ในมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นฝ่ายปกครองสูงสุดของพระสงฆ์ทั่วประเทศ จึงทำให้การวินิจฉัยของมหาเถรสมาคมเรื่องการอาบัติปาราชิกของพระธัมมชโย ซึ่งถูกตั้งคำถามมาโดยตลอดว่าเพราะเหตุใดถึงมีท่าทีที่เป็นการปกป้องพระธัมมชโย ทั้งๆที่ในพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชซึ่งเป็นประมุขฝ่ายสงฆ์ก็ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าให้พระธัมมชโยอาบัติปาราชิกและเป็นหน้าที่ของคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองที่จะไปดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย

ในเอกสารที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งให้กับนายกรัฐมนตรี ได้นำหนังสือที่ พ258/2542 ลงวันที่ 29 เมษายน 2542 โดยพระราชรัตนมงคล ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้น ที่มีไปถึงอธิบดีกรมการศาสนาในขณะนั้น คือนายพิภพ กาญจนะ เป็นหนังสือนำส่ง "พระวินิจฉัย" การปาราชิกของธัมมชโยไปให้กรมการศาสนา เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุม มหาเถรสมาคม  โดยในจดหมายนี้ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า  เอกสารที่ส่งมาด้วยพร้อมกับหนังสือฉบับดังกล่าวนั้น คือ "พระวินิจฉัย" และเนื้อหาในจดหมายดังกล่าว ยังมีข้อความระบุไว้ชัดแจ้งว่า


"ด้วยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก มีพระวินิจฉัย เรื่องโทษการบิดเบือนพระพุทธธรรมคำทรงสอน และการถือเอาสมบัติของวัดมาเป็นของตนฯ"   แต่ครั้นเมื่อกรมการศาสนาทำหนังสือสรุปผลการประชุมการลงมติ ของมหาเถรสมาคม ที่  193/2542 เพื่อเสนอพระวินิจฉัยการปาราชิกของธัมมชโยเข้าสู่ที่ประชุม มหาเถรสมาคม ครั้งที่ 16/2542 ข้อสังเกต คือ มีการแปลงถ้อยคำจาก "พระวินิจฉัย" เป็น "พระดำริ"  แทน  ซึ่งแต่เดิม ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชฯ ใช้ถ้อยคำว่า "พระวินิจฉัย" ตามหนังสือที่ พ258/2542
พระลิขิต (ฉบับวันที่ 1 พ.ค.42)


ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม
พระลิขิต (ฉบับวันที่ 10 พ.ค.42)


ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ ว่าในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งฟัง รับรู้ในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่