"ทายาท"เจ้าของมหาวิทยาลัยราชธานี เอกชนรายใหญ่ในอีสานตอนใต้ ผุดโรงไฟฟ้าแก๊สชีวภาพจากหญ้าเนเปียร์เป็นรายแรกของไทย พร้อมดึงชาวบ้านร่วมโครงการปลูกหญ้าป้อนโรงไฟฟ้า ประเดิมทดลองเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าขาย กฟผ. 1 เมกะวัตต์
นายศรันย์ ตันวัฒนะพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลาสม่า เพียวริตี้ พาวเวอรี่ จำกัด ดำเนินกิจการด้านโรงไฟฟ้าแก๊สชีวภาพจากพืชพลังงาน (จากต้นหญ้าพันธุ์เนเปียร์) เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าของบริษัท ถือเป็นเอกชนรายแรกในไทย ที่ใช้ต้นหญ้าเนเปียร์เป็นวัตถุดิบ เพราะส่วนใหญ่ใช้แกลบเป็นวัตถุดิบ ตั้งอยู่ที่ตำบลแก่งโดม อำเภอสว่างวีรวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี บนพื้นที่กว่า 400 ไร่ กึ่งกลางเป็นที่ตั้งของตัวโรงไฟฟ้าเนื้อที่ 13 ไร่ ส่วนที่เหลือโดยรอบเกือบ 400 ไร่ เป็นพื้นที่สำรองปลูกหญ้าพันธุ์เนเปียร์เพื่อป้อนโรงไฟฟ้า ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีมูลค่าลงทุน 150 ล้านบาท เริ่มเดินเครื่องทดลองการผลิตและได้ส่งกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ราว 1 เมกะวัตต์ ส่งขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.)
"เราได้ทำการศึกษาข้อมูลพบว่า หญ้าพันธุ์เนเปียร์ เข้ามาแพร่หลายในไทยก่อนหน้านี้หลายปี ส่งเสริมกันปลูกมากที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อนำไปเลี้ยงวัว และที่จังหวัดสุรินทร์นำไปเลี้ยงช้าง ซึ่งข้อมูลทั่วไปของหญ้าพันธุ์เนเปียร์ เป็นพืชตระกูลเดียวกับอ้อย มีลำต้นใหญ่พอควรสูงเกือบ 2 เมตร มีความหวานที่ลำต้นเล็กน้อย และมีแร่ธาตุโปรตีนที่สูงกว่าหญ้าพันธุ์อื่น ข้อดี คือ เมื่อปลูกเพียงครั้งเดียว จะตัดได้ตลอดไปไม่ต้องปลูกใหม่ เฉลี่ย 2 เดือน ตัด 1 ครั้ง หรือปีละ 6 ครั้ง เมื่อตัดออกไปต้นไม้จะแตกขึ้นมาทดแทนอีกหลายต้น ที่มีความสูงราว 1.50 เมตร วิธีการก็คือ เมื่อได้ต้นหญ้ามาแล้ว นำเข้าเครื่องสับให้ละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปหมักในถังโซโลขนาดใหญ่ จะเกิดเป็นแก๊สขึ้นมาเป็นแก๊สไวไฟ เรียกว่าไบโอแก๊ส นำแก๊สที่ได้นี้ เป็นเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ปั่นเป็นกระแสไฟฟ้าออกมายังสายส่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต"
ปัจจุบันนอกจากใช้หญ้าเนเปียร์ที่ปลูกโดยรอบโรงไฟฟ้าแล้ว ยังได้เข้าไปส่งเสริมชาวบ้านทั่วไปในแถบนี้ปลูก และรับซื้อผลผลิตคืนในราคาประกันคือ ตันละ 500 บาท หรือกิโลกรัมละ 50 สตางค์ มีชาวบ้านร่วมโครงการมีพื้นที่ปลูกราวกว่า 1,000 ไร่แล้ว และจะขยายพื้นที่ปลูกไปเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทมีนโยบายว่า โรงไฟฟ้าแห่งนี้จะอยู่คู่กับชุมชนแบบเป็นมิตรกัน เป็นการสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับชาวบ้านในภูมิภาคนี้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นพลังงานทดแทนที่สะอาด ไม่มีมลภาวะ ไม่มีการนำเศษสิ่งเหลือใช้ที่เป็นพิษภัยออกมาภายนอก ทุกชนิดนำกลับมาใช้ก่อเกิดประโยชน์ได้ทั้งหมด เช่น น้ำที่เหลือจากการหมัก นำมารดต้นหญ้าที่ปลูก
อนึ่ง นายศรันย์ ตันวัฒนะพงษ์ เป็นทายาทคนเล็ก ของนายประดิษฐ์ และ ดร.วิลาวัณย์ ตันวัฒนะพงษ์ เจ้าของกิจการมหาวิทยาลัยราชธานี ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนรายใหญ่ในภาคอีสานตอนล่าง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,037 วันที่ 22- 25 มีนาคม พ.ศ. 2558
??? จะเป็นไปได้ไหมครับถ้าโรงงานไฟฟ้าจากหญ้าเนเปียร์ จะบูมแซงหน้าโซลาร์เซล !!!
นายศรันย์ ตันวัฒนะพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลาสม่า เพียวริตี้ พาวเวอรี่ จำกัด ดำเนินกิจการด้านโรงไฟฟ้าแก๊สชีวภาพจากพืชพลังงาน (จากต้นหญ้าพันธุ์เนเปียร์) เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าของบริษัท ถือเป็นเอกชนรายแรกในไทย ที่ใช้ต้นหญ้าเนเปียร์เป็นวัตถุดิบ เพราะส่วนใหญ่ใช้แกลบเป็นวัตถุดิบ ตั้งอยู่ที่ตำบลแก่งโดม อำเภอสว่างวีรวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี บนพื้นที่กว่า 400 ไร่ กึ่งกลางเป็นที่ตั้งของตัวโรงไฟฟ้าเนื้อที่ 13 ไร่ ส่วนที่เหลือโดยรอบเกือบ 400 ไร่ เป็นพื้นที่สำรองปลูกหญ้าพันธุ์เนเปียร์เพื่อป้อนโรงไฟฟ้า ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีมูลค่าลงทุน 150 ล้านบาท เริ่มเดินเครื่องทดลองการผลิตและได้ส่งกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ราว 1 เมกะวัตต์ ส่งขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.)
"เราได้ทำการศึกษาข้อมูลพบว่า หญ้าพันธุ์เนเปียร์ เข้ามาแพร่หลายในไทยก่อนหน้านี้หลายปี ส่งเสริมกันปลูกมากที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อนำไปเลี้ยงวัว และที่จังหวัดสุรินทร์นำไปเลี้ยงช้าง ซึ่งข้อมูลทั่วไปของหญ้าพันธุ์เนเปียร์ เป็นพืชตระกูลเดียวกับอ้อย มีลำต้นใหญ่พอควรสูงเกือบ 2 เมตร มีความหวานที่ลำต้นเล็กน้อย และมีแร่ธาตุโปรตีนที่สูงกว่าหญ้าพันธุ์อื่น ข้อดี คือ เมื่อปลูกเพียงครั้งเดียว จะตัดได้ตลอดไปไม่ต้องปลูกใหม่ เฉลี่ย 2 เดือน ตัด 1 ครั้ง หรือปีละ 6 ครั้ง เมื่อตัดออกไปต้นไม้จะแตกขึ้นมาทดแทนอีกหลายต้น ที่มีความสูงราว 1.50 เมตร วิธีการก็คือ เมื่อได้ต้นหญ้ามาแล้ว นำเข้าเครื่องสับให้ละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปหมักในถังโซโลขนาดใหญ่ จะเกิดเป็นแก๊สขึ้นมาเป็นแก๊สไวไฟ เรียกว่าไบโอแก๊ส นำแก๊สที่ได้นี้ เป็นเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ปั่นเป็นกระแสไฟฟ้าออกมายังสายส่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต"
ปัจจุบันนอกจากใช้หญ้าเนเปียร์ที่ปลูกโดยรอบโรงไฟฟ้าแล้ว ยังได้เข้าไปส่งเสริมชาวบ้านทั่วไปในแถบนี้ปลูก และรับซื้อผลผลิตคืนในราคาประกันคือ ตันละ 500 บาท หรือกิโลกรัมละ 50 สตางค์ มีชาวบ้านร่วมโครงการมีพื้นที่ปลูกราวกว่า 1,000 ไร่แล้ว และจะขยายพื้นที่ปลูกไปเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทมีนโยบายว่า โรงไฟฟ้าแห่งนี้จะอยู่คู่กับชุมชนแบบเป็นมิตรกัน เป็นการสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับชาวบ้านในภูมิภาคนี้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นพลังงานทดแทนที่สะอาด ไม่มีมลภาวะ ไม่มีการนำเศษสิ่งเหลือใช้ที่เป็นพิษภัยออกมาภายนอก ทุกชนิดนำกลับมาใช้ก่อเกิดประโยชน์ได้ทั้งหมด เช่น น้ำที่เหลือจากการหมัก นำมารดต้นหญ้าที่ปลูก
อนึ่ง นายศรันย์ ตันวัฒนะพงษ์ เป็นทายาทคนเล็ก ของนายประดิษฐ์ และ ดร.วิลาวัณย์ ตันวัฒนะพงษ์ เจ้าของกิจการมหาวิทยาลัยราชธานี ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนรายใหญ่ในภาคอีสานตอนล่าง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,037 วันที่ 22- 25 มีนาคม พ.ศ. 2558