สรุปงานสัมมนา แรงบันดาลใจในการวิ่ง

ไปสัมมนาแล้วอยากแชร์ให้เพื่อนๆด้วยครับ ยิ้ม

งานเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ที่ สสส ครับ



ผมเป็นคนออกกำลังกายคนนึง ที่เคยวิ่งมาราธอนมา 1 ครั้ง ผ่านแบบลากเลือดหกชั่วโมงกว่า จากการซ้อมจริงจิงประมาณ 3-4 เดือน (ซึ่งเวลาแย่มาก) ... ปัญหาของผมคือ ไม่มีแรงบันดาลใจในการวิ่งมาราธอนครั้งที่ 2 ... เพราะมันต้องซ้อมเยอะ แต่เรื่องร่างกายไม่สำคัญเท่าเรื่องจิตใจมากกว่า ... ป้องกันแชมป์มันยากกว่าชิงแชมป์จริงๆ



https://www.facebook.com/groups/233347630179372/

 <<< ทางไปกรุ๊ป

ในกลุ่มเฟสบุ๊ค เราจะไปมาราธอนด้วยกัน ... พี่ป๊อก Itthipol Samutthong (คนที่คุณก็รู้ว่าใคร) ได้โพสเชิญชวนให้นักวิ่งมาฟังพอดี ...

หัวข้อ: แรงบันดาลใจในการวิ่ง ... มันช่างเหมือนพี่รู้ว่าผมอยากได้อะไรพอดี

กระทู้นี้เลยอยากจะสรุปสิ่งที่ผมได้ไปฟังมา 3 ชั่วโมงกว่าๆ ที่เปลี่ยนแปลงความคิดของผมไปหลายๆอย่างเลยทีเดียว

 ...

หมายเหตุ: ทั้งหมดทั้งมวลของกระทู้เกิดจากความจำล้วนๆครับ ผมไม่ได้อัดเสียงหรือจดอะไรเลย นอกจากถ่ายรูป หากไม่ครบถ้วนหรือผิดตรงไหนบอกได้เลยฮะ ... (^/\^)



ผมขออนุญาตแทนสรรพนามว่าพี่ทั้งสองท่านนะฮะ



วิทยากรท่านแรก: คุณหมอเป๊บ นพ. ภัทรภณ อติเมธิน


ผมเข้าใจว่าพี่เป๊บไปเรียนหรือวิจัยที่บอสตัน (จำชื่อโรงเรียน โรงพยาบาลไม่ได้) 
พี่เป๊บก็เล่าเรื่อง มาราธอนบอสตัน ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองบอสตัน ที่คนส่วนใหญ่ของเมืองเป็นนักวิ่งเกือบทุกคน ลักษณะอากาศของการวิ่งที่ต้องวิ่งอุณหภูมิประมาณ 5-10 องศา

แต่ที่จำได้ขึ้นใจคือ มาราธอนบอสตัน มีจุดที่ต้องผ่านโรงเรียนหญิงล้วน และ จะมีการแจก Free Kiss ... แหม่ และมีจุดที่นักวิ่งเรียกว่า ชนกำแพง อยู่บนเนินพอดี ... ก็เป็นหนึ่งในรูทมาราธอนที่น่าสนใจ

ที่เหลือพี่เป๊บเค้าพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับการแพทย์ของการวิ่ง รองเท้า ปัญหาการวิ่ง อาการบาดเจ็บ ที่มาจากประสบการณ์และการวิจัยต่างๆ 

ผมขอสรุปเป็นประเด็นสำคัญตามนี้นะครับ 


- ไม่ว่าเทคโนโลยีในการพัฒนารองเท้าจะมากขึ้นเพียงไหน สถิติการบาดเจ็บจากการวิ่งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ไม่มีท่าวิ่งที่ถูกต้อง ตายตัว เพราะแต่ล่ะคนมีลักษณะโครงสร้างร่างกายที่ไม่เหมือนกัน  
- ท่าที่ไม่ควรวิ่งคือ วิ่งไขว้เท้ากัน ... วิ่งเด้งขึ้นลงมากเกินไป ... วิ่งโยกซ้ายขวา ... วิ่งก้าวยาวเกินไป >> ส่วนใหญ่เป็นการฝืนธรรมชาติหรือทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งได้รับน้ำหนักมากเกินไป
- นักวิ่งส่วนใหญ่จะใส่รองเท้าเดิมๆ ดังนั้นจะทำให้เกิดการบาดเจ็บอยู่เรื่อยๆ ... ดังนั้นเราควรมีรองเท้าหลายๆคู่ หรือ เปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสถานการณ์ (อันนี้ไม่แน่ใจนะครับ)
- พื้นรองเท้าที่หนาจะสิ่งผลให้เกิดแรงกระแทกมากกว่า ซึ่งทำให้มีอาการบาดเจ็บเข่ามากกว่า >> พี่เป๊บอธิบายจากการทดลอง กระโดดลงบนพื้นปูนกับหญ้า ซึ่งการลงหญ้ามีอาการบาดเจ็บมากกว่า
- ลักษณะของฝ่าเท้า ... ที่เป็น Flat, arch ... (ผมจำชื่อไม่ได้) ไม่มีผลต่อการวิ่งเลย ร่างกายจะปรับสภาพได้เองตามรองเท้าที่เราใส่
- โภชนาการ ... ร่างกายของคนจะใช้แป้งเป็นแหล่งพลังงานหลัก จากนั้นจะเป็นโปรตีนและไขมัน การอัดคาร์โบ สามารถทำได้ช่วง 24-36 ชั่วโมงก่อนการวิ่ง
- ตะคริวเกิดจากความไม่แข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- ไม่มีงานวิจัยไหนบอกว่า การยืดเส้น เป็นประโยชน์ต่อการวิ่งระยะสั้น ... แถมยังอาจยังส่งผลเสียด้วย ... การวอร์มที่ดีคือ Dynamic Strenght





ปัจจุบันพี่เป๊บเป็นหมอที่ Running clinic โรงพยาบาลสมิติเวช อยู่ทุกวันพุธกับพฤหัสบ่าย (มั้ง)
พี่เป๊บจบมาราธอนด้วยเวลา 4:50 (Vermount Marathon)



สามารถติดตามข้อมูลดีๆของพี่เป๊บได้ที่เพจ  Learn'n run คร๊าบ
https://www.facebook.com/LearnandRun

พี่เอก ธนาธร จึงรุ่งเจริญกิจ - ประสบการณ์ ความหวัง ความทรงจำ

เอาจริงๆ ตอนเห็นพี่เอกครั้งแรก ผมยังสงสัยว่าพี่เค้ามาพูดอะไร แต่งตัวแบบนี้ ฮาาาา

คร่าวๆคือ พี่เอกพูดถึงประสบการณ์ในการเล่นกีฬาของตัว และบอกว่าตัวเองเป็นมือใหม่มากๆในวงการนักวิ่ง (2ปี) รวมไปถึงประสบการณ์ในการวิ่ง 2 รายการใหญ่ๆ

ช่วงอายุ 22-30 ก็ช่วงที่พี่เอกทำงานหนัก ดื่ม สูบ จนอายุ 30 หมอนรองกระดูกเสื่อม ... จึงเปลี่ยนชีวิตตัวเองมาออกกำลังกาย

พี่เอก ปั่นจักรยานในหลายๆประเทศเพื่อนบ้านของเรา (ตามรูปที่เห็น) ปีนเขา สกี พายคายัคจากเชียงใหม่มากรุงเทพ แต่สิ้นสุดที่สิงห์บุรีซะก่อน 


6633 Ultra (ชื่องานวิ่ง)
- 
วิ่ง 566 กิโลเมตรใน 8 วัน
- แถวๆขั้วโลกเหนือ เหนื้อเส้นอาร์คติก สูงสุดของแคนาดา
- ผู้เข้ารวมการแข่งขัน 30 คน
- อุณหภูมิเฉลี่ย -20 -30 องศา
- ผู้เข้าแข่งขันต้องแบกของกินและที่นอนไปเองทั้งหมด
- รายการนี้ตั้งแต่จัดมามีคนวิ่งถึงเส้น 11 คน
- ลักษณะทางมีทั้งวิ่งบนถนน วิ่งบนน้ำแข็ง วิ่งบนหิมะ

ผมนี่คิดเลยว่า ... พี่แกบ้าป่ะนี่



ลิ้งข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ (เพิ่มเติมนะครับ)
https://youtu.be/pU5-34rPELE

ผู้ร่วมแข่งขันจะมีรถลากคอยลากตามไปเรื่อยๆ ไว้แบกของกิน และที่นอน ซึ่งที่นอนก็คือนอนข้างทาง พักตรงไหนนอนตรงนั้น ... (พอจะคิดได้ว่าเป็นกลางหิมะโล่งๆ) ... ทำธุระก็ปวดตรงไหนก็จัดเลย ขุดหลุมตามสะดวก ... วันวันนึงนอนประมาณ 3-4 ชั่วโมง ... นอนตี 1-2 ตื่น ตี 5-6  ... จากนั้นก็เดินผ่าหิมะไปเรื่อยๆทั้งวัน พี่เอกบอกว่า จิตใจไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ทำยังไงให้ผ่านกิโลเมตรนี้ไปได้ ... ทุกจุด Check Point จะมีน้ำร้อนให้ (เท่านั้น) ... ระหว่างทางก็เจอผู้คนมากมาย หลายประสบการณ์ ... ผมจำได้ข้อนึงว่า มิตรภาพเกิดจากความทุกข์มากกว่าความสุข

พี่เอกใช้เวลา 7 วัน 19 ชั่วโมง (ผมไม่แน่ใจ) แต่เอาเป็นว่าเข้าเส้นตี 4 เป็น 1 ใน 7 ของผู้ที่เข้าเส้นชัย คนสุดท้าย ... ที่สำคัญมีผู้หญิงร่วมทริปด้วย รู้แค่ว่ามาจาก UK Army ...



Racing The Planet : The 4 Deserts Series

อีกการแข่งขันนึง เป็นการวิ่ง Ultra ผ่านทะเลทรายทั้ง 4
มี โกบี (จีน) ซาฮาร่า (อียิปต์) อาตาคาม่า (ชิลี) และ แอนตาร์กติกา

- 250 กิโลเมตรใน 5 วัน
- 40/40/40/40/90
- นักกีฬาเตรียมของและแบกของเอง
- แข่งขันในทะเลทราย
- สภาพพื้นดินมีทั้งหิน, ทรายละเอียดและทรายหยาบ

คือ วิ่งมาราธอน 4 วันติด วันสุดท้ายวิ่งมาราธอน 2 รอบ ... ผมแค่วิ่งรอบเดียวไข้กินเป็นอาทิตย์ ...

ผมจำได้แต่ตอนที่พี่เอกเล่าเรื่องทะเลทรายโกบี (ซาฮาร่าผมจำไม่ได้) ประมาณว่า วันแรกๆ แทนที่จะเป็นทะเลทราย ... กลับกลายเป็นหิมะ ... ดังนั้นของที่เตรียมมาจึงกลับกัน เตรียมของกันร้อย เพราะคิดว่ามันจะร้อน ... สรุปหนาวประมาณ 2-3 วันแรก จากนั้นร้อนเป็นทะเลทราย ... จุดต่างของงานนี้คือ จะมี Check Point เป็นรายวัน ... แต่วันล่ะจะมีสถานที่ให้นอนชัดเจน ไม่ใช่กางเตนท์มั่วๆ ... ส่วนห้องน้ำเค้าให้ถุงดำมา ... ทำธุระเสดแล้วแบกไปด้วย (...) หรือไม่ก็ไปที่จุด Check Point ซึ่งเป็นส้วมหลุม ... ไม่อยากคิดภาพคนที่เข้าหลังสุด ... หัวเราะ

ทีเด็ดของงานนี้อยุ่ที่คนที่วิ่งครับ ...



มีผู้หญิงสองคนที่มาจากอัฟกานิสถานชื่อ Nelofa กับ Zainab มาร่วมงาน และเข้าเส้นชัยด้วย ซึ่งเป็นทีมแรกที่มาจากอัฟกานิสถาน ... ในอัฟกานิสถาน จะขึ้นชื่อสิทธิสตรีอยู่แล้ว ผู้หญิงแทบจะทำอะไรไม่ได้ ไปไหนไม่ได้ แม้กระทั่งออกกำลังกายไม่ได้ ... แต่ผู้หญิงสองคนนี้สามารถผ่านรายการนี้ไปได้ ... (ผมเข้าใจว่ายังมีชีวิตอยู่นะ)



The Sound of Small Bell - ผมจำชื่อไม่ได้เค้าไม่ได้ แต่เป็นลุงคนญี่ปุ่นอายุ 60  กว่าปีที่ “ตาบอด”  ...​

ในระหว่างวิ่งเค้ามีอาสาสมัครไปช่วยจูง ...​ผมคิดภาพไม่ออกว่า คนตาบอดเค้าซ้อมวิ่งตอนไหนยังไง ... แถมวิ่งหนักขนาดนี้ติดๆกันด้วย ...

“การวิ่งไม่ใช่เป็นแค่เรื่องทางร่างกาย ต้องมีทั้งจิตวิญญาณ การเอาชนะตัวเอง การคุยกับตัวเอง การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค”
“จงให้เกียรติการแข่งขัน”


เช่นเดียวกัน ผมคงไม่ยอมแพ้กับคนที่สูญเสียการมองเห็น กับ ผู้หญิงสองคน ... เจอกันมาราธอนงานหน้าครับ เท่

============================================================================
โทนี่







แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่