ท้าวสักกะได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! อะไรหนอเป็นเหตุ
อะไรเป็นปัจจัย ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ไม่ปรินิพพานในทิฏฐธรรม?
และอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรม
(คือทันเวลา, ทันควัน, ไม่ต้องรอเวลาชาติหน้า) พระเจ้าข้า?”
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! รูปทั้งหลายที่จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุมีอยู่,
เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่ง ความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด; ถ้าหากว่า
ภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูปนั้น แล้วไซร้,
เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ กะรูปนั้น,
วิญญาณนั้นอันตัณหาในอารมณ์คือรูปอาศัยแล้ว ย่อมมีแก่เธอนั้น;
วิญญาณนั้น คืออุปาทาน. ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย!
ภิกษุผู้มีอุปาทาน ย่อมไม่ปรินิพพาน.
(ในกรณีแห่งเสียงที่จะพึงรู้สึกด้วยโสตะ, กลิ่นที่จะพึงรู้สึกด้วยฆานะ,
รสที่จะพึงรู้สึกด้วยชิวหา, สัมผัสทางผิวหนังที่จะพึงรู้สึกด้วยกาย (ผิวกายทั่วไป);
ก็มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความในกรณีแห่งรูปที่ จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุ
ดังที่กล่าวแล้วข้างบน ทุกตัวอักษะ; ต่างกันเพียงชื่อแห่งอายตนะแต่ละอายตนะเท่า นั้น;
ในที่นี้จะยกข้อความอันกล่าวถึงธัมมารมณ์เป็นข้อสุดท้าย มากล่าวไว้อีกครั้งดังต่อไปนี้
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! ธัมมารมณ์ทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกด้วยมโน มีอยู่,
เป็นธัมมารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด;
ถ้าหากว่า ภิกษุย่อม เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่
ซึ่งธัมมารมณ์นั้น แล้วไซร้, เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่
กะธัมมารมณ์นั้น, วิญญาณนั้นอันตัณหา ในอารมณ์คือธัมมารมณ์อาศัยแล้ว
ย่อมมีแก่เธอนั้น; วิญญาณนั้นคือ อุปาทาน. ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย!
ภิกษุผู้มีอุปาทาน ย่อมไม่ปรินิพพาน.
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! นี้แลเป็นเหตุ นี้เป็นปัจจัย
ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ไม่ปรินิพพานในทิฏฐธรรม.
(ฝ่ายปฏิปักขนัย)
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! รูปทั้งหลายที่จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุมีอยู่,
เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด; ถ้าหากว่า ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ
ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งรูปนั้น แล้วไซร้, เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ
ไม่เมาหมกอยู่ กะรูปนั้น, วิญญาณนั้นอันตัณหาในอารมณ์คือรูปอาศัยแล้ว
ย่อมไม่มีแก่เธอนั้น ; วิญญาณที่จะเป็นอุปาทาน ย่อมไม่มี ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย!
ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมปรินิพพาน.
(ในกรณีแห่งเสียงที่จะพึงรู้ด้วยโสตะ, กลิ่นที่จะพึงรู้สึกด้วยฆานะ, รสที่จะพึงรู้สึกด้วยชิวหา,
สัมผัสทางผิวหนังที่จะพึงรู้สึกด้วยกาย (ผิวกายทั่วไป); ก็มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความในกรณีแห่งรูป
ที่จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุ ดังที่กล่าวแล้วข้างบน ทุกตัวอักษร; ต่างกันแต่เพียงชื่อแห่งอายตนะแต่ละอายตนะ
เท่านั้น; ในที่นี้จะยกข้อความอันกล่าวถึงธัมมารมณ์เป็นข้อสุดท้าย มากกล่าวไว้อีกครั้ง ดังต่อไปนี้
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! ธัมมารมณ์ทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกด้วยมโน มีอยู่
, เป็นธัมมารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารักเป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด; ถ้าหากว่า ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่
ซึ่งธัมมารมณ์นั้น แล้วไซร้, เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่
กะธัมมารมณ์นั้น, วิญญาณนั้นอันตัณหาในอารมณ์คือธัมมารมณ์อาศัยแล้ว
ย่อมไม่มีแก่เธอนั้น; วิญญาณที่จะเป็นอุปาทาน ย่อมไม่มี.
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมปรินิพพาน.
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! นี้แลเป็นเหตุ นี้เป็นปัจจัย
ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรม, ดังนี้ แล.
ปล: เป็นที่น่าสังเกตว่า การทูลถามถึงการปรินิพพาน ในปัจจุบันเช่นนี้
เป็นเรื่องที่ทูลถามโดยคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนทั้งนั้น ทั้งที่เป็นเทวดาและ มนุษย์;
ยังไม่พบที่ทูลถามโดยภิกษุเลย (นอกจากใน จตุกฺก.อํ.๒๑/๒๒๖/๑๗๙,
ซึ่งพระอานนท์ได้ถามเรื่องนี้กะพระสารีบุตร); ชะรอยว่าเรื่องนี้จะเป็นที่แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ
ทั้งหลายแล้ว หรืออย่างไรกันแน่ เป็นเรื่องที่ควรจะช่วยกันนำไปวินิจฉัยดู.
อนึ่ง สิ่งที่ เรียกว่า ปรินิพพาน นั้น คือการสิ้นสุดแห่งกระแสของปฏิจจสมุปบาท นั่น
ว่าด้วยปรินิพพานในทิฏฐธรรม(ไม่ต้องรอเวลาชาติหน้า)
อะไรเป็นปัจจัย ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ไม่ปรินิพพานในทิฏฐธรรม?
และอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรม
(คือทันเวลา, ทันควัน, ไม่ต้องรอเวลาชาติหน้า) พระเจ้าข้า?”
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! รูปทั้งหลายที่จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุมีอยู่,
เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่ง ความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด; ถ้าหากว่า
ภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูปนั้น แล้วไซร้,
เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ กะรูปนั้น,
วิญญาณนั้นอันตัณหาในอารมณ์คือรูปอาศัยแล้ว ย่อมมีแก่เธอนั้น;
วิญญาณนั้น คืออุปาทาน. ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย!
ภิกษุผู้มีอุปาทาน ย่อมไม่ปรินิพพาน.
(ในกรณีแห่งเสียงที่จะพึงรู้สึกด้วยโสตะ, กลิ่นที่จะพึงรู้สึกด้วยฆานะ,
รสที่จะพึงรู้สึกด้วยชิวหา, สัมผัสทางผิวหนังที่จะพึงรู้สึกด้วยกาย (ผิวกายทั่วไป);
ก็มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความในกรณีแห่งรูปที่ จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุ
ดังที่กล่าวแล้วข้างบน ทุกตัวอักษะ; ต่างกันเพียงชื่อแห่งอายตนะแต่ละอายตนะเท่า นั้น;
ในที่นี้จะยกข้อความอันกล่าวถึงธัมมารมณ์เป็นข้อสุดท้าย มากล่าวไว้อีกครั้งดังต่อไปนี้
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! ธัมมารมณ์ทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกด้วยมโน มีอยู่,
เป็นธัมมารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด;
ถ้าหากว่า ภิกษุย่อม เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่
ซึ่งธัมมารมณ์นั้น แล้วไซร้, เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่
กะธัมมารมณ์นั้น, วิญญาณนั้นอันตัณหา ในอารมณ์คือธัมมารมณ์อาศัยแล้ว
ย่อมมีแก่เธอนั้น; วิญญาณนั้นคือ อุปาทาน. ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย!
ภิกษุผู้มีอุปาทาน ย่อมไม่ปรินิพพาน.
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! นี้แลเป็นเหตุ นี้เป็นปัจจัย
ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ไม่ปรินิพพานในทิฏฐธรรม.
(ฝ่ายปฏิปักขนัย)
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! รูปทั้งหลายที่จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุมีอยู่,
เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด; ถ้าหากว่า ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ
ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งรูปนั้น แล้วไซร้, เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ
ไม่เมาหมกอยู่ กะรูปนั้น, วิญญาณนั้นอันตัณหาในอารมณ์คือรูปอาศัยแล้ว
ย่อมไม่มีแก่เธอนั้น ; วิญญาณที่จะเป็นอุปาทาน ย่อมไม่มี ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย!
ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมปรินิพพาน.
(ในกรณีแห่งเสียงที่จะพึงรู้ด้วยโสตะ, กลิ่นที่จะพึงรู้สึกด้วยฆานะ, รสที่จะพึงรู้สึกด้วยชิวหา,
สัมผัสทางผิวหนังที่จะพึงรู้สึกด้วยกาย (ผิวกายทั่วไป); ก็มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความในกรณีแห่งรูป
ที่จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุ ดังที่กล่าวแล้วข้างบน ทุกตัวอักษร; ต่างกันแต่เพียงชื่อแห่งอายตนะแต่ละอายตนะ
เท่านั้น; ในที่นี้จะยกข้อความอันกล่าวถึงธัมมารมณ์เป็นข้อสุดท้าย มากกล่าวไว้อีกครั้ง ดังต่อไปนี้
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! ธัมมารมณ์ทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกด้วยมโน มีอยู่
, เป็นธัมมารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารักเป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด; ถ้าหากว่า ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่
ซึ่งธัมมารมณ์นั้น แล้วไซร้, เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่
กะธัมมารมณ์นั้น, วิญญาณนั้นอันตัณหาในอารมณ์คือธัมมารมณ์อาศัยแล้ว
ย่อมไม่มีแก่เธอนั้น; วิญญาณที่จะเป็นอุปาทาน ย่อมไม่มี.
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมปรินิพพาน.
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! นี้แลเป็นเหตุ นี้เป็นปัจจัย
ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรม, ดังนี้ แล.
ปล: เป็นที่น่าสังเกตว่า การทูลถามถึงการปรินิพพาน ในปัจจุบันเช่นนี้
เป็นเรื่องที่ทูลถามโดยคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนทั้งนั้น ทั้งที่เป็นเทวดาและ มนุษย์;
ยังไม่พบที่ทูลถามโดยภิกษุเลย (นอกจากใน จตุกฺก.อํ.๒๑/๒๒๖/๑๗๙,
ซึ่งพระอานนท์ได้ถามเรื่องนี้กะพระสารีบุตร); ชะรอยว่าเรื่องนี้จะเป็นที่แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ
ทั้งหลายแล้ว หรืออย่างไรกันแน่ เป็นเรื่องที่ควรจะช่วยกันนำไปวินิจฉัยดู.
อนึ่ง สิ่งที่ เรียกว่า ปรินิพพาน นั้น คือการสิ้นสุดแห่งกระแสของปฏิจจสมุปบาท นั่น