กระทู้นี้ผมแค่อยากมาเล่าจุดเปลี่ยนในชีวิตของผม และเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม
ก็ได้มีเหตุการหนึ่งที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปจากคนปกติเป็น"คนพิการ" เรื่องมีอยู่ว่า
ผมได้เรียนมหาลัยแห่งหนึ่งวิทยาเขตต่างจังหวัด และอยู่ใกล้บ้านย่าผม ซึ่งตอนนั้นอยู่ปีสามเทอมหนึ่ง
ผมได้ทำบัตรATMหาย วันต่อมาพ่อผมจึงเอาสมุดบัญชีมาให้เพื่อไปทำบัตรใหม่ ที่ธนาคารในตัวเมือง
ผมได้ขี่มอเตอร์ไซต์เพื่อไปทำบัตรใหม่ โดยปกติผมจะใส่พระ เสื้อหนัง รองเท้าผ้าใบ หมวกันน๊อค
แต่วันนั้นผม ไม่ใส่พระ ใส่รองเท้าแตะ เสื้อกันหนาว หมวกกันน๊อค ผมก็ไปทำเรื่องต่างๆเสร็จ
ก็เอาสมุตบัญชีไปคืนพ่อผมที่บ้านย่าผม แล้วขากลับนั่นเองผมคิดว่าจะกลับมหาลัยด้วยเส้นทางที่ไม่ค่อยมีรถ
เพราะถนนใหญ่ที่นั่นเป็นสองเลนมีรถบรรทุกวิ่งเยอะ ผมเลยไปทางที่มีรถน้อยดีกว่า
ผมขี่ด้วยความเร็ว 60-70 กม./ชม. เมื่อถึงโค้งโค้งนึงผมได้ขับเข้าโค้งปกติ และมีมอเตอร์ไซต์ Mio พร้อมผู้ชายสองคน
พุ่งตรงมาหาผมตรงกลางโค้ง ทุกอย่างมันเร็วมาก ผมรู้สึกตัวอีกทีไปนอนอยู่บนหญ้าข้างทาง
และมีคนมามุงถามว่าชื่ออะไร เป็นลูกใครผมก็บอกชื่อผมและชื่อพ่อ ซึ่งคนแถวนั้นเค้ารู้จักพ่อของผมทั้งตำบล
ชาวบ้านเค้าก็โทรบอกพ่อผม แล้วผมก็ไปโรงพยาบาลซึ่งตอนนั้นปวดแขนมากๆ และไม่สามารถยกแขนได้เลย
ซึ่งภายนอกบริเวณแขนผมไม่มีแผลเลย พอหมอเอ็กซเรย์เสร็จก็ให้ผมกลับบ้านเฉย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
แต่พ่อผมได้ขอหมอให้นอนดูอาการสักคืน ซึ่งผมก็ร้องปวดทั้งคืน แฟนผมก็ไปบอกพยาบาล ให้มาดูอาการหน่อย
เผื่อจะชีดยาแก้ปวด สรุปพยาบาลเดินมาจับแขนข้างที่ผมปวดยกขึ้นแล้วทิ้งลงใส่เตียง ซึ่งผมปวดจนร้องไห้
แล้วพยาบาลก็ไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนอึ้งกันหมด คงด้วยเหตุผลที่ว่าดูอาการไม่สามารถกินน้ำกินอะไรได้
พยาบาลคงทำอะไรไม่ได้มั้งนะ แต่ช่วงนั้นผมก็จำอะไรไม่ค่อยได้ รู้อย่างเดียวอยากกินน้ำเย็นๆ
และผมก็รู้สึกตัวอีกทีอีกวันนึงพ่อบอกว่าเราจะย้ายไปกรุงเทพ
สรุปคือ...
1.หมอบอกว่าอยู่นี่ไม่สามารถรักษาได้ เพราะ ผมเส้นประสาทแขนขาด 5 เส้นที่ไขสันหลัง เอ็นหัวเขาไข้วหน้าขาด
2.คนที่ชนผมเป็นคนเมาพึงไปกินเหล้าที่น้ำตกกำลังขี่รถกลับบ้าน แต่เซหลุดโค้งมาชนผม
3.ตัวผมต้องเป็นผู้พิการแขนขวาทั้งแขนตั้งแต่ไหล่จนถึงมือ
ก็ฝากถึงพวกที่จะกินเหล้าจะเมานะครับ แนะนำว่ากินที่บ้านครับ ไปไหนมาไหนใช้รถสาธารณะ หรือให้คนที่ไม่กินพาไปครับ
จะได้ไม่ทำให้ชีวิตคนอื่นต้องมาลำบากแบบผม กฏหมายก็แนะนำว่าไม่มีการยอมความติดคุกอย่างเดียว 5 ปีก็ว่าไปครับ
ลองคิดดูครับเสียแขนหนึ่งข้างกับค่าเสียหายที่จ่ายมามันไม่คุ้มค่าเท่าได้แขนเดิมกลับมาหรอกครับ
ในกรณีผมได้เงินชดใช้ไม่มากครับ เพราะคนที่ชนเค้าก็ลำบากเหมือนกัน ต้องไปกู้มาให้ผมเหมือนกัน ก็ยอมความกันไป
ในความคิดของผมในช่วงแรกก็มีความรู้สึกแค้นคนที่ชนผม แต่ปัจจุบันผมเลิกคิดไปแหละ
เพราะอะไรที่ทำให้ผมคิดแบบนั้น เพราะผมคิดว่าบางทีตัวผมอาจไปทำอะไรเอาไว้กับคนอื่น ไม่ชาตินี้ก็ชาติก่อนๆ
ก็คิดว่าใช้กรรม อย่างน้อยก็ยังไม่ตาย ซึ่งเรามาเศร้าไปทำไมในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เศร้าแล้วได้อะไรเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
และกำลังใจจากพ่อแม่พี่น้องแฟน และคนรู้จัก เป็นแรงชั้นเยี่ยมที่ทำให้ผมรู้สึกดีที่ผมพิการ แต่บางครั้งก็มีคนสงสารผมช่วยเหลือผม
จนผมคิดว่าถ้าผมอยู่ตัวคนเดียวผมจะทำได้ไหม ในช่วงที่ดร๊อปเรียน 1 ปีผมก็เริ่มหัด ผูกเชือกรองเท้ามือเดียว ทำกับข้าว ขับรถ เขียนหนังสือ
จนผมก็รู้ว่าเราก็ทำได้นิไม่เห็นต้องพึงคนอื่นเลย แต่บางทีผมอยู่กับแฟนผมตลอด แฟนผมเค้าจะจัดการให้เกือบทุกอย่าง
ก็ขอขอบคุณพ่อและแม่ที่คอยให้ผมทุกอย่าง แฟนผมที่คอยอยู่คอยรักษาคอยช่วยเหลือคอยปลอบใจในยามที่ท้อ
และเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆที่ให้กำลังใจผมตลอดมา ขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือผม
ไม่รู้จะแท็กห้องอะไร ขอโทษด้วยครับที่แท็กผิด และอาจจะเรียบเรียงไม่ค่อยดีต้องขออภัยด้วยครับ
จุดเปลี่ยนในชีวิต
ก็ได้มีเหตุการหนึ่งที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปจากคนปกติเป็น"คนพิการ" เรื่องมีอยู่ว่า
ผมได้เรียนมหาลัยแห่งหนึ่งวิทยาเขตต่างจังหวัด และอยู่ใกล้บ้านย่าผม ซึ่งตอนนั้นอยู่ปีสามเทอมหนึ่ง
ผมได้ทำบัตรATMหาย วันต่อมาพ่อผมจึงเอาสมุดบัญชีมาให้เพื่อไปทำบัตรใหม่ ที่ธนาคารในตัวเมือง
ผมได้ขี่มอเตอร์ไซต์เพื่อไปทำบัตรใหม่ โดยปกติผมจะใส่พระ เสื้อหนัง รองเท้าผ้าใบ หมวกันน๊อค
แต่วันนั้นผม ไม่ใส่พระ ใส่รองเท้าแตะ เสื้อกันหนาว หมวกกันน๊อค ผมก็ไปทำเรื่องต่างๆเสร็จ
ก็เอาสมุตบัญชีไปคืนพ่อผมที่บ้านย่าผม แล้วขากลับนั่นเองผมคิดว่าจะกลับมหาลัยด้วยเส้นทางที่ไม่ค่อยมีรถ
เพราะถนนใหญ่ที่นั่นเป็นสองเลนมีรถบรรทุกวิ่งเยอะ ผมเลยไปทางที่มีรถน้อยดีกว่า
ผมขี่ด้วยความเร็ว 60-70 กม./ชม. เมื่อถึงโค้งโค้งนึงผมได้ขับเข้าโค้งปกติ และมีมอเตอร์ไซต์ Mio พร้อมผู้ชายสองคน
พุ่งตรงมาหาผมตรงกลางโค้ง ทุกอย่างมันเร็วมาก ผมรู้สึกตัวอีกทีไปนอนอยู่บนหญ้าข้างทาง
และมีคนมามุงถามว่าชื่ออะไร เป็นลูกใครผมก็บอกชื่อผมและชื่อพ่อ ซึ่งคนแถวนั้นเค้ารู้จักพ่อของผมทั้งตำบล
ชาวบ้านเค้าก็โทรบอกพ่อผม แล้วผมก็ไปโรงพยาบาลซึ่งตอนนั้นปวดแขนมากๆ และไม่สามารถยกแขนได้เลย
ซึ่งภายนอกบริเวณแขนผมไม่มีแผลเลย พอหมอเอ็กซเรย์เสร็จก็ให้ผมกลับบ้านเฉย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
แต่พ่อผมได้ขอหมอให้นอนดูอาการสักคืน ซึ่งผมก็ร้องปวดทั้งคืน แฟนผมก็ไปบอกพยาบาล ให้มาดูอาการหน่อย
เผื่อจะชีดยาแก้ปวด สรุปพยาบาลเดินมาจับแขนข้างที่ผมปวดยกขึ้นแล้วทิ้งลงใส่เตียง ซึ่งผมปวดจนร้องไห้
แล้วพยาบาลก็ไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนอึ้งกันหมด คงด้วยเหตุผลที่ว่าดูอาการไม่สามารถกินน้ำกินอะไรได้
พยาบาลคงทำอะไรไม่ได้มั้งนะ แต่ช่วงนั้นผมก็จำอะไรไม่ค่อยได้ รู้อย่างเดียวอยากกินน้ำเย็นๆ
และผมก็รู้สึกตัวอีกทีอีกวันนึงพ่อบอกว่าเราจะย้ายไปกรุงเทพ
สรุปคือ...
1.หมอบอกว่าอยู่นี่ไม่สามารถรักษาได้ เพราะ ผมเส้นประสาทแขนขาด 5 เส้นที่ไขสันหลัง เอ็นหัวเขาไข้วหน้าขาด
2.คนที่ชนผมเป็นคนเมาพึงไปกินเหล้าที่น้ำตกกำลังขี่รถกลับบ้าน แต่เซหลุดโค้งมาชนผม
3.ตัวผมต้องเป็นผู้พิการแขนขวาทั้งแขนตั้งแต่ไหล่จนถึงมือ
ก็ฝากถึงพวกที่จะกินเหล้าจะเมานะครับ แนะนำว่ากินที่บ้านครับ ไปไหนมาไหนใช้รถสาธารณะ หรือให้คนที่ไม่กินพาไปครับ
จะได้ไม่ทำให้ชีวิตคนอื่นต้องมาลำบากแบบผม กฏหมายก็แนะนำว่าไม่มีการยอมความติดคุกอย่างเดียว 5 ปีก็ว่าไปครับ
ลองคิดดูครับเสียแขนหนึ่งข้างกับค่าเสียหายที่จ่ายมามันไม่คุ้มค่าเท่าได้แขนเดิมกลับมาหรอกครับ
ในกรณีผมได้เงินชดใช้ไม่มากครับ เพราะคนที่ชนเค้าก็ลำบากเหมือนกัน ต้องไปกู้มาให้ผมเหมือนกัน ก็ยอมความกันไป
ในความคิดของผมในช่วงแรกก็มีความรู้สึกแค้นคนที่ชนผม แต่ปัจจุบันผมเลิกคิดไปแหละ
เพราะอะไรที่ทำให้ผมคิดแบบนั้น เพราะผมคิดว่าบางทีตัวผมอาจไปทำอะไรเอาไว้กับคนอื่น ไม่ชาตินี้ก็ชาติก่อนๆ
ก็คิดว่าใช้กรรม อย่างน้อยก็ยังไม่ตาย ซึ่งเรามาเศร้าไปทำไมในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เศร้าแล้วได้อะไรเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
และกำลังใจจากพ่อแม่พี่น้องแฟน และคนรู้จัก เป็นแรงชั้นเยี่ยมที่ทำให้ผมรู้สึกดีที่ผมพิการ แต่บางครั้งก็มีคนสงสารผมช่วยเหลือผม
จนผมคิดว่าถ้าผมอยู่ตัวคนเดียวผมจะทำได้ไหม ในช่วงที่ดร๊อปเรียน 1 ปีผมก็เริ่มหัด ผูกเชือกรองเท้ามือเดียว ทำกับข้าว ขับรถ เขียนหนังสือ
จนผมก็รู้ว่าเราก็ทำได้นิไม่เห็นต้องพึงคนอื่นเลย แต่บางทีผมอยู่กับแฟนผมตลอด แฟนผมเค้าจะจัดการให้เกือบทุกอย่าง
ก็ขอขอบคุณพ่อและแม่ที่คอยให้ผมทุกอย่าง แฟนผมที่คอยอยู่คอยรักษาคอยช่วยเหลือคอยปลอบใจในยามที่ท้อ
และเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆที่ให้กำลังใจผมตลอดมา ขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือผม
ไม่รู้จะแท็กห้องอะไร ขอโทษด้วยครับที่แท็กผิด และอาจจะเรียบเรียงไม่ค่อยดีต้องขออภัยด้วยครับ