เรื่องสั้น
ไฟใหม่
ชั่วอึดใจที่หนุ่มน้อยหันไป แม้จะชะงักในเสี้ยววินาที แต่ฉันก็ยังทันหยดเลือดลงในแก้วของเขา ก่อนโน้มหน้าเข้าไปจนชิดแล้วระบายลมหายใจแรง เป่ารดที่ต้นคอเป็นทีไม่พอใจ
“ยังเด็กอยู่เลย เข้ามาได้ยังไงกันนะ" เสียงฉันคล้ายรำพึงกับตัว มากกว่าเป็นคำถาม
“ผมสิบเก้าแล้วนะ... คุณ... ล่ะครับ" แววร้อนตัวฉายชัด เมื่อหันขวับมาตอบคำ
ฉันจึงแกล้งสะบัดหน้าไปเสียจากคนใกล้ ส่งยิ้มหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ขณะที่มือก็ยังส่งแก้วเหล้า ให้คนที่ฉันหมายรักปักใจสำหรับคืนนี้ ได้ประคับประคองทั้งมือที่ยื่นให้ ขณะส่งเครื่องดื่มสูตรพิเศษนั้นเข้าปาก
ฉันไม่อยากจะพูดถึงครั้งแรก ที่มีโอกาสเข้ามาเยือนที่คลับหรูแห่งนี้
...เพราะคืนนั้นมันจบลงด้วยความร้าวรานเหลือแสน
...เพราะความเจ็บระบมทั้งเรือนกายในวันนั้น มันฝากแฝงความสุขซ่านให้ได้อิ่มเอมเพียงครู่เดียว
...เพราะเมื่อรักแรกของฉันผ่านไป... ใครจากไหนไม่รู้ก็เวียนกันเข้ามา จนฉันหมดสติด้วยพิษความผิดพลาด ชนิดหมดโอกาสแก้ตัว
ช่างเถิด...
หากไม่เกิดเหตุคราวนั้น ก็คงไม่มีโอกาสได้รู้ว่า รอบตัวฉันนอกจากพวกเจ้าเล่ห์แสนกลเห็นแก่ได้ พร้อมจะตักตวงกอบโกยสิ่งที่กระสันหาจากเรือนกายทุกครั้งที่สบโอกาส แล้วก็ยังมีอีกพวกหนึ่งที่โง่เง่า งมงายลุ่มหลง ห่วงหายึดมั่นถือมั่นกับคำรำพันรักของฉัน ซึ่งพวกหลังดูจะมีมากมายกว่าพวกแรกหลายเท่านัก
และ... แล้วทั้งหมดก็พบจุดจบจากฉันคล้ายๆ กัน
เจ้าหนุ่มก้าวเข้ามาในแสงมืดด้วยความไม่มั่นใจในตนเลยสักน้อย ต่อเมื่อแสงสารพัดสีสาดต้องใบหน้าเขานั่นแล้ว อาการไก่อ่อนก็หมดความสำคัญสิ้นเชิง ฉันเกือบจะตะโกนเรียก และโผผวาเข้าไปหาด้วยซ้ำ หากประโยคที่ว่า ‘นั่นมันยี่สิบปีที่แล้ว’ ยึดตรึงทั้งร่างไว้เสียก่อน
อีกเป็นครู่ กว่าที่จริต สายตา เวลา และอาการซวนเซ ถูกปรุงได้เหมาะเจาะ จนเราได้มายืนอยู่ข้างกัน
แน่นอน... ฉันมาคนเดียวเหมือนเคย และไม่ได้หวังอะไรอื่น นอกจากพลานุภาพแห่งวัยหนุ่มของเขา
ยิ่งได้เข้าใกล้ อย่าว่าแต่รูปร่างหน้าตาเขาจะเป็นเช่นครั้งนั้น ขนาดกลิ่นกายอ่อนจาง ก็ยังเป็นดุจเดียวกัน พร้อมความรักที่ประดังปะทุขึ้นมาในหัวใจฉัน มันจึงมีความซึมเศร้าแซมแทรกอยู่กับรอยอาลัย
จำได้ติดหัวใจว่า หลังจากได้พักฟื้นร่างกายและจิตใจ หลังจากการมาที่นี่ครั้งแรกนั่น ภาระแรกคือสิ่งใด
‘ความพยาบาทคือของหวาน’
พี่สาวคนหนึ่งกระซิบบอก เมื่อฉันก้าวเข้ามาอย่างเฉิดฉายในครั้งที่สอง เมื่อรักแรกไม่ได้แลมาสักนิด แม้สองเรือนอกจะเบียดสีสวนกันในช่องทางแคบ จนฉันต้องมายืนก้มหน้าร่ำไห้กระซิกอยู่เดียวดาย ท่ามกลางความสุขสันต์ระเริงระริกของกามตัณหา ที่อวบอวลอยู่ในทุกอณูของอากาศ
“ความพยาบาทคือของหวาน”
เจ้าของคำแตะต้นแขนฉันอ่อนโยน ก่อนจะจับจูงออกไปกลางราตรีหมอง ฉันบำเรอคุณเขาด้วยร่างอันเพิ่งสร่างรอยช้ำยับ เสียงครวญครางจึงสุดระงับ เมื่อเธอคลึงเคล้นความเจ็บลึก ผ่านเข้าในบางบริเวณ
“ความพยาบาทคือของหวาน”
เธอย้ำคำ ก่อนเกร็งกายสะท้าน พริบตาเดียวที่ฉันได้เห็น หญิงชราผมหงอกขาวโพลนทาบทับบนร่างเปลือยเปล่า เพราะเมื่อตั้งใจจะจับจ้องอีกครั้ง หญิงสาวกร้าวแกร่งก็กลับมากระถดโถมอยู่เช่นเดิม
สิ่งเดียวที่คิดว่ามันรุนแรงเกินไปในรอบนี้ก็คือ เธอบดกัดริมฝีปากของฉันจนถึงเลือด ซ้ำยังดูดดุนเสียจนเจ็บแปลบ
เมื่อเธอบอกว่า
‘เลือดเราหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว’ นั่นแล้ว... ฉันจึงได้สติ พร้อมรับคำอธิบายต่อมา ถึงวิธีการใช้เลือดปรุงเป็น
‘ของหวาน’ ชนิดหนึ่ง
หลังจากนั้น... เมื่อฉันต้องการใคร... เพียงเลือดหยดน้อยจากปลายก้อย ก็จะกลับกลายเป็นสะพานรักกว้างขวาง ให้คนหนึ่งคนนั้น ทอดกายให้ฉันโบยตีและกรีดแทงได้จนสิ้นลม
แน่นอน... ใครคนนั้นที่ฉันได้ใช้เลือดในกายหยาดแรกทวงถามความรัก ย่อมก็คือเขา... ผู้พาฉันมาสู่บ่วงหนี้นี้ในครั้งแรก
มันยากพอสมควร กว่าจะทำใจ ทำหน้าซื่อๆ เข้าไปทักอีกครั้ง ทำทีเป็นว่าเขาไม่เคยพาใครหลายคน ไปรุมรักชั่วคืนกับฉันมาก่อน ทว่า... ความฉงนใจก็เกิดขึ้น... เมื่อเขาทำทีเป็นได้เห็นเหยื่อชิ้นใหม่ได้อย่างแนบเนียน
เพียรถามอยู่แต่ว่า...
ว่างไหม...
มากับใคร...
สะดวกหรือเปล่า...
วันเวียนอยู่เท่านั้น จนฉันกล้าจะยกมือขึ้นกดปลายก้อยกับก้านต่างหู
ความเจ็บแปลบที่ปลายนิ้ว ก็ทำให้ฉันต้องรีบจุ่มนิ้วน้อยลงคนเหล้าในแก้วเขา แล้วยกนิ้วนั้น ขึ้นมาจดจ่อกับริมฝีปากของรักแรก อย่างยั่วยวนและชวนเชิญ
หนุ่มนักลวงรัก รีบตะครุบเหยื่องาม เล่นลิ้นดูดดุนนิ้วนั้นอยู่นาน ก่อนจะรั้งทั้งร่างเข้าไปบดเบียด แล้วฉุดดึงออกไปสู่วิมานไม้งิ้วทันที โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่า สาวน้อยคนใหม่ที่พามาด้วยนั้น จะโดนโอนเวนให้ใครในกลุ่มจิ้งจอกสันดานทรามตัวที่เหลือ
ฉันเพียงหวั่นใจอีกครั้งว่า จะเจอใครทักทายหรือจดจำ เวลาขึ้นลงจากรังร้าวบนตึกสูงได้หรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่สบตาเรา เหมือนพวกเขาไม่เห็นว่า คนคู่หนึ่งใช้ลิฟท์กำลังขึ้นลงพร้อมพวกเขาด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนั้น... ฉันมารู้จากพี่สาวในตอนหลังว่า ล้วนแต่เป็นเพราะ พลังแห่งไฟพยาบาททั้งสิ้น
ที่สุดแห่งราตรีอันแสนสั้น เขาก็ตายโดยปราศจากความรักจากฉันโดยสิ้นเชิง เพราะทั้งหมดที่ฉันเคยโดนกระทำนั่น มันสายเกินกว่าจะกลับมาให้อภัยกัน ที่พอจะให้ได้ ก็คือการอโหสิกรรมแก่ร่างที่ไร้วิญญาณ ก่อนที่เชื้อเพลิงแห่งความรักและหลง จะปะทุลุกลาม เป็นเพลิงร้ายเผาผลาญหัวใจฉันไปได้ทั้งหมด
‘ของหวาน’ ชนิดนั้น กลับมาทำให้ฉันยิ่งปวดร้าวหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นนับร้อยเท่าพันทวี เพราะเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ที่มันฝากติดมากับร่างกายฉัน ทำให้ต้องมานอนซบซมอยู่ร่วมปี จนกระทั่งเสี้ยวนั้นของชีวิตจะปลิดขั้ว ลับหายไปจากร่างกาย
สาบานได้เลยละว่า วันอันทรมานที่สุดของชีวิตมากกว่าครั้งไหนนั่นเอง ที่ฉุดลากให้ฉันอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
ครู่เดียว... ที่จะช่วยบรรเทาความระทมขมขื่นได้บ้าง ก็คือห้วงเวลาซึ่งได้กรีดร้องสุดเสียง หลังจากได้ดื่มกลืนน้ำเชื้อแห่งชีวิตของบุรุษเพศ อันบ่มเพาะจากความลุ่มหลง และระริกร่านในกามรสเฉกเดียวกัน
คราวโน้น... เงาร้ายระทม จะปรากฏแก่ครอบครัวของเขาอย่างไรไม่รู้ เพราะข่าวคราวของคนนอนแห้งตายอย่างสงบ เงียบหายไปกับท่วงทำนองเพลงแปลกใหม่ ที่โถมท้นเข้ามาจากซีกโลกตะวันตก และ... นับแต่นั้นฉันใช้เลือดต่อเลือด สืบชีวิตหล่อเลี้ยงความสาวสดไว้ได้ไม่มัวหมอง
หัวใจฉัน... บังคับให้สมองลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมา ได้อย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว ในคราวครั้งต่อๆ มา
ริ้วรอยแห่งความชรา อาจกลับมาบ้างเมื่อยามฉันกรีดร้องเวลาสุดสุข แต่คนที่ได้เห็นก็ล้วนตายตกไปตามกัน ด้วยความเงียบ และจางหายไปกับคลื่นแห่งแสงสีของคืนวันใหม่
นานเหลือเกิน...
ทั้งที่คนอื่นมีโอกาสได้ผ่านความชราภาพ เข้าสู่บั้นปลายชีวิตอันสุขสงบ
พี่สาวผู้สอนวิธีปรุงของหวานห่างหายไปเนิ่นนาน... สังคมโลกียกรรมเปลี่ยนหน้าผู้คนเข้ามาให้เลือกไม่ได้ซ้ำ...
พักหลัง มีบ้างในเสี้ยวของความปรานี หากใครคนนั้นสัญญาจากใจว่า จะกลับไปพิทักษ์รักษาชีวิตลูกเมียเยี่ยงพ่อบ้านที่ดี
ยิ่งในระยะสองสามปีหลัง หากหลายคนได้สติ ก่อนที่จะได้ระเริงหลงอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม เขาเหล่านั้น ก็จะยังมีโอกาสสูดกลิ่นแดดเช้าของวันใหม่
อาจเป็นเพราะส่วนบุญนี้เองกระมัง ที่ทำให้ฉันได้กลับมาพบกับเขาอีกครั้ง...
ความเดียวดายอันยาวนาน กลายเป็นการรอคอยอันแสนสั้น...
ก็ดูเถิด... ทั้งร่างของฉัน มีตรงไหนบ้าง ที่เปลี่ยนไปจากครั้งนั้น
วันนี้... ไม่จำเป็นอีกแล้วว่า ใครคนใหม่จะมองมาหรือไม่... เพราะฉันรู้ตัวดี ถึงความสวย ความสดเสมอแห่งชีวิตตน
(มีต่อ)
เรื่องสั้น ไฟใหม่
ชั่วอึดใจที่หนุ่มน้อยหันไป แม้จะชะงักในเสี้ยววินาที แต่ฉันก็ยังทันหยดเลือดลงในแก้วของเขา ก่อนโน้มหน้าเข้าไปจนชิดแล้วระบายลมหายใจแรง เป่ารดที่ต้นคอเป็นทีไม่พอใจ
“ยังเด็กอยู่เลย เข้ามาได้ยังไงกันนะ" เสียงฉันคล้ายรำพึงกับตัว มากกว่าเป็นคำถาม
“ผมสิบเก้าแล้วนะ... คุณ... ล่ะครับ" แววร้อนตัวฉายชัด เมื่อหันขวับมาตอบคำ
ฉันจึงแกล้งสะบัดหน้าไปเสียจากคนใกล้ ส่งยิ้มหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ขณะที่มือก็ยังส่งแก้วเหล้า ให้คนที่ฉันหมายรักปักใจสำหรับคืนนี้ ได้ประคับประคองทั้งมือที่ยื่นให้ ขณะส่งเครื่องดื่มสูตรพิเศษนั้นเข้าปาก
ฉันไม่อยากจะพูดถึงครั้งแรก ที่มีโอกาสเข้ามาเยือนที่คลับหรูแห่งนี้
...เพราะคืนนั้นมันจบลงด้วยความร้าวรานเหลือแสน
...เพราะความเจ็บระบมทั้งเรือนกายในวันนั้น มันฝากแฝงความสุขซ่านให้ได้อิ่มเอมเพียงครู่เดียว
...เพราะเมื่อรักแรกของฉันผ่านไป... ใครจากไหนไม่รู้ก็เวียนกันเข้ามา จนฉันหมดสติด้วยพิษความผิดพลาด ชนิดหมดโอกาสแก้ตัว
ช่างเถิด...
หากไม่เกิดเหตุคราวนั้น ก็คงไม่มีโอกาสได้รู้ว่า รอบตัวฉันนอกจากพวกเจ้าเล่ห์แสนกลเห็นแก่ได้ พร้อมจะตักตวงกอบโกยสิ่งที่กระสันหาจากเรือนกายทุกครั้งที่สบโอกาส แล้วก็ยังมีอีกพวกหนึ่งที่โง่เง่า งมงายลุ่มหลง ห่วงหายึดมั่นถือมั่นกับคำรำพันรักของฉัน ซึ่งพวกหลังดูจะมีมากมายกว่าพวกแรกหลายเท่านัก
และ... แล้วทั้งหมดก็พบจุดจบจากฉันคล้ายๆ กัน
เจ้าหนุ่มก้าวเข้ามาในแสงมืดด้วยความไม่มั่นใจในตนเลยสักน้อย ต่อเมื่อแสงสารพัดสีสาดต้องใบหน้าเขานั่นแล้ว อาการไก่อ่อนก็หมดความสำคัญสิ้นเชิง ฉันเกือบจะตะโกนเรียก และโผผวาเข้าไปหาด้วยซ้ำ หากประโยคที่ว่า ‘นั่นมันยี่สิบปีที่แล้ว’ ยึดตรึงทั้งร่างไว้เสียก่อน
อีกเป็นครู่ กว่าที่จริต สายตา เวลา และอาการซวนเซ ถูกปรุงได้เหมาะเจาะ จนเราได้มายืนอยู่ข้างกัน
แน่นอน... ฉันมาคนเดียวเหมือนเคย และไม่ได้หวังอะไรอื่น นอกจากพลานุภาพแห่งวัยหนุ่มของเขา
ยิ่งได้เข้าใกล้ อย่าว่าแต่รูปร่างหน้าตาเขาจะเป็นเช่นครั้งนั้น ขนาดกลิ่นกายอ่อนจาง ก็ยังเป็นดุจเดียวกัน พร้อมความรักที่ประดังปะทุขึ้นมาในหัวใจฉัน มันจึงมีความซึมเศร้าแซมแทรกอยู่กับรอยอาลัย
จำได้ติดหัวใจว่า หลังจากได้พักฟื้นร่างกายและจิตใจ หลังจากการมาที่นี่ครั้งแรกนั่น ภาระแรกคือสิ่งใด
‘ความพยาบาทคือของหวาน’
พี่สาวคนหนึ่งกระซิบบอก เมื่อฉันก้าวเข้ามาอย่างเฉิดฉายในครั้งที่สอง เมื่อรักแรกไม่ได้แลมาสักนิด แม้สองเรือนอกจะเบียดสีสวนกันในช่องทางแคบ จนฉันต้องมายืนก้มหน้าร่ำไห้กระซิกอยู่เดียวดาย ท่ามกลางความสุขสันต์ระเริงระริกของกามตัณหา ที่อวบอวลอยู่ในทุกอณูของอากาศ
“ความพยาบาทคือของหวาน”
เจ้าของคำแตะต้นแขนฉันอ่อนโยน ก่อนจะจับจูงออกไปกลางราตรีหมอง ฉันบำเรอคุณเขาด้วยร่างอันเพิ่งสร่างรอยช้ำยับ เสียงครวญครางจึงสุดระงับ เมื่อเธอคลึงเคล้นความเจ็บลึก ผ่านเข้าในบางบริเวณ
“ความพยาบาทคือของหวาน”
เธอย้ำคำ ก่อนเกร็งกายสะท้าน พริบตาเดียวที่ฉันได้เห็น หญิงชราผมหงอกขาวโพลนทาบทับบนร่างเปลือยเปล่า เพราะเมื่อตั้งใจจะจับจ้องอีกครั้ง หญิงสาวกร้าวแกร่งก็กลับมากระถดโถมอยู่เช่นเดิม
สิ่งเดียวที่คิดว่ามันรุนแรงเกินไปในรอบนี้ก็คือ เธอบดกัดริมฝีปากของฉันจนถึงเลือด ซ้ำยังดูดดุนเสียจนเจ็บแปลบ
เมื่อเธอบอกว่า ‘เลือดเราหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว’ นั่นแล้ว... ฉันจึงได้สติ พร้อมรับคำอธิบายต่อมา ถึงวิธีการใช้เลือดปรุงเป็น ‘ของหวาน’ ชนิดหนึ่ง
หลังจากนั้น... เมื่อฉันต้องการใคร... เพียงเลือดหยดน้อยจากปลายก้อย ก็จะกลับกลายเป็นสะพานรักกว้างขวาง ให้คนหนึ่งคนนั้น ทอดกายให้ฉันโบยตีและกรีดแทงได้จนสิ้นลม
แน่นอน... ใครคนนั้นที่ฉันได้ใช้เลือดในกายหยาดแรกทวงถามความรัก ย่อมก็คือเขา... ผู้พาฉันมาสู่บ่วงหนี้นี้ในครั้งแรก
มันยากพอสมควร กว่าจะทำใจ ทำหน้าซื่อๆ เข้าไปทักอีกครั้ง ทำทีเป็นว่าเขาไม่เคยพาใครหลายคน ไปรุมรักชั่วคืนกับฉันมาก่อน ทว่า... ความฉงนใจก็เกิดขึ้น... เมื่อเขาทำทีเป็นได้เห็นเหยื่อชิ้นใหม่ได้อย่างแนบเนียน
เพียรถามอยู่แต่ว่า...
ว่างไหม...
มากับใคร...
สะดวกหรือเปล่า...
วันเวียนอยู่เท่านั้น จนฉันกล้าจะยกมือขึ้นกดปลายก้อยกับก้านต่างหู
ความเจ็บแปลบที่ปลายนิ้ว ก็ทำให้ฉันต้องรีบจุ่มนิ้วน้อยลงคนเหล้าในแก้วเขา แล้วยกนิ้วนั้น ขึ้นมาจดจ่อกับริมฝีปากของรักแรก อย่างยั่วยวนและชวนเชิญ
หนุ่มนักลวงรัก รีบตะครุบเหยื่องาม เล่นลิ้นดูดดุนนิ้วนั้นอยู่นาน ก่อนจะรั้งทั้งร่างเข้าไปบดเบียด แล้วฉุดดึงออกไปสู่วิมานไม้งิ้วทันที โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่า สาวน้อยคนใหม่ที่พามาด้วยนั้น จะโดนโอนเวนให้ใครในกลุ่มจิ้งจอกสันดานทรามตัวที่เหลือ
ฉันเพียงหวั่นใจอีกครั้งว่า จะเจอใครทักทายหรือจดจำ เวลาขึ้นลงจากรังร้าวบนตึกสูงได้หรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่สบตาเรา เหมือนพวกเขาไม่เห็นว่า คนคู่หนึ่งใช้ลิฟท์กำลังขึ้นลงพร้อมพวกเขาด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนั้น... ฉันมารู้จากพี่สาวในตอนหลังว่า ล้วนแต่เป็นเพราะ พลังแห่งไฟพยาบาททั้งสิ้น
ที่สุดแห่งราตรีอันแสนสั้น เขาก็ตายโดยปราศจากความรักจากฉันโดยสิ้นเชิง เพราะทั้งหมดที่ฉันเคยโดนกระทำนั่น มันสายเกินกว่าจะกลับมาให้อภัยกัน ที่พอจะให้ได้ ก็คือการอโหสิกรรมแก่ร่างที่ไร้วิญญาณ ก่อนที่เชื้อเพลิงแห่งความรักและหลง จะปะทุลุกลาม เป็นเพลิงร้ายเผาผลาญหัวใจฉันไปได้ทั้งหมด
‘ของหวาน’ ชนิดนั้น กลับมาทำให้ฉันยิ่งปวดร้าวหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นนับร้อยเท่าพันทวี เพราะเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ที่มันฝากติดมากับร่างกายฉัน ทำให้ต้องมานอนซบซมอยู่ร่วมปี จนกระทั่งเสี้ยวนั้นของชีวิตจะปลิดขั้ว ลับหายไปจากร่างกาย
สาบานได้เลยละว่า วันอันทรมานที่สุดของชีวิตมากกว่าครั้งไหนนั่นเอง ที่ฉุดลากให้ฉันอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
ครู่เดียว... ที่จะช่วยบรรเทาความระทมขมขื่นได้บ้าง ก็คือห้วงเวลาซึ่งได้กรีดร้องสุดเสียง หลังจากได้ดื่มกลืนน้ำเชื้อแห่งชีวิตของบุรุษเพศ อันบ่มเพาะจากความลุ่มหลง และระริกร่านในกามรสเฉกเดียวกัน
คราวโน้น... เงาร้ายระทม จะปรากฏแก่ครอบครัวของเขาอย่างไรไม่รู้ เพราะข่าวคราวของคนนอนแห้งตายอย่างสงบ เงียบหายไปกับท่วงทำนองเพลงแปลกใหม่ ที่โถมท้นเข้ามาจากซีกโลกตะวันตก และ... นับแต่นั้นฉันใช้เลือดต่อเลือด สืบชีวิตหล่อเลี้ยงความสาวสดไว้ได้ไม่มัวหมอง
หัวใจฉัน... บังคับให้สมองลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมา ได้อย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว ในคราวครั้งต่อๆ มา
ริ้วรอยแห่งความชรา อาจกลับมาบ้างเมื่อยามฉันกรีดร้องเวลาสุดสุข แต่คนที่ได้เห็นก็ล้วนตายตกไปตามกัน ด้วยความเงียบ และจางหายไปกับคลื่นแห่งแสงสีของคืนวันใหม่
นานเหลือเกิน...
ทั้งที่คนอื่นมีโอกาสได้ผ่านความชราภาพ เข้าสู่บั้นปลายชีวิตอันสุขสงบ
พี่สาวผู้สอนวิธีปรุงของหวานห่างหายไปเนิ่นนาน... สังคมโลกียกรรมเปลี่ยนหน้าผู้คนเข้ามาให้เลือกไม่ได้ซ้ำ...
พักหลัง มีบ้างในเสี้ยวของความปรานี หากใครคนนั้นสัญญาจากใจว่า จะกลับไปพิทักษ์รักษาชีวิตลูกเมียเยี่ยงพ่อบ้านที่ดี
ยิ่งในระยะสองสามปีหลัง หากหลายคนได้สติ ก่อนที่จะได้ระเริงหลงอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม เขาเหล่านั้น ก็จะยังมีโอกาสสูดกลิ่นแดดเช้าของวันใหม่
อาจเป็นเพราะส่วนบุญนี้เองกระมัง ที่ทำให้ฉันได้กลับมาพบกับเขาอีกครั้ง...
ความเดียวดายอันยาวนาน กลายเป็นการรอคอยอันแสนสั้น...
ก็ดูเถิด... ทั้งร่างของฉัน มีตรงไหนบ้าง ที่เปลี่ยนไปจากครั้งนั้น
วันนี้... ไม่จำเป็นอีกแล้วว่า ใครคนใหม่จะมองมาหรือไม่... เพราะฉันรู้ตัวดี ถึงความสวย ความสดเสมอแห่งชีวิตตน
(มีต่อ)