จากบทความนี้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437560777
ผมเองก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไร้โอกาสเล่าเรียนสูงๆ และขาดโอกาสที่จะเข้าถึงแหล่งอำนาจเหมือนคุณเนาวรัตน์ ดังนั้นผมจึงอ่านบทความที่เขียนด้วยภาษาสูงส่งไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ก็พอจะจับใจความ ที่เป็นสาระสำคัญได้ครับ
คุณเนาวรัตน์ครับ สาระที่ผมพอจะจับได้นั่นคือ คุณเนาวรัตน์นั้น จัดอยู่ในกลุ่ม “คนดี”ที่ไม่เคยมองเห็นคนอื่นจะดีเสมอตน อีกทั้งมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่น โดยไม่เคยเหลียวกลับมามองตัวเองเลยว่า ที่ผ่านมา ตัวเองทำอะไรไว้บ้าง
คุณเนาวรัตน์ครับ อาจบางทีเกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจใช่ไหมครับ จึงพยายามที่จะเขียนบทความชิ้นนี้ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองหรือเปล่าครับ
แต่ต่อให้จะเขียนด้วยลีลาแบบไหน จะเขียนด้วยหลักปรัชญาเพียงใด มันก็บิดเบือนความเป็นจริงไปไม่ได้หรอกครับ อะไรถูกอะไรผิด คนส่วนใหญ่ของประเทศเขามีคำตอบอยู่ในใจอย่างแน่นอนแล้วครับ
คุณเนาวรัตน์ครับ คุณจะอ้างถึงธิปไตยตามความหมายของคุณอย่างไรก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่บิดเบือนไม่ได้ก็คือ กติกาที่ถูกกำหนดขึ้นตามที่ทุกคนยอมรับ กติกาที่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ นั่นคือ การกำหนดให้เสียงส่วนใหญ่เป็นตัวกำหนดชี้ทิศทางของประเทศไงครับ
ส่วนที่คุณเนาวรัตน์กับพรรคพวกกระทำตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่ยึดเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ โดยไม่สนใจกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่ต่างหากครับ เป็น อัตตาธิปไตย อย่างที่คุณเนาวรัตน์พูดถึง เข้าใจไหมครับ
คุณเนาวรัตน์ครับ คุณก็รู้ประชาธิปไตยของเรายังวนเวียนต้วมเตี้ยมอยู่แค่หนึ่งกับสอง แต่มันไม่ใช่เกิดจากสองค่ายดังที่คุณเนาวรัตน์แกล้งเข้าใจหรอกนะครับ เพราะสองค่ายดังว่า มันพึ่งเกิดขึ้นเพียงสิบปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง
แต่ประชาธิปไตยของเรามันต้วมเตี้ยมมากว่าหกสิบปีแล้วนะครับ ดังนั้นสาเหตุจึงน่าจะเป็นเพราะสองขั้วอำนาจเสียมากกว่า นั่นคือ อำนาจเก่า กับ อำนาจประชาชนต่างหากเล่า
และที่ประชาธิปไตยของเรายังไม่ไปไหน ก็ไม่ใช่เพราะ “พวกมากลากไป” หรือ ยอมเป็นเหยื่อ “ทุนต่างชาติ”หรอกนะครับ แต่เป็นเพราะยังมีคนอย่างคุณเนาวรัตน์ที่คอยขัดขวางการก้าวเดินของประชาธิปไตย ไม่ปล่อยให้ประชาธิปไตยเดินไปตามครรลองของมัน รู้ตัวไหมครับคุณเนาวรัตน์
เพียงเพราะคนกลุ่มหนึ่งที่เกาะกลุ่มกันมา แล้วไม่สามารถที่จะเข้ามามีอำนาจผ่านทางประชาชน ผ่านทางการเลือกตั้ง ผ่านวิถีทางแห่งประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องหาเหตุล้มอำนาจของประชาชนเสีย แล้วแบ่งสรรอำนาจกันสนุกมือ นี่หรือครับ คือ การถือเอาความถูกต้อง เป็นธรรม เป็นหลัก หรือ “ธัมมาธิปไตย”ของคุณเนาวรัตน์
คุณเนาวรัตน์ครับ อุตส่าห์นำวาทะอมตะของประธานาธิบดีลินคอร์นมาอ้าง แต่กลับไม่เคยเหลียวมองการกระทำของฝ่ายตัวเลยสักนิด เขียนมาได้อย่างไม่ละอายใจเลยหรือครับ
อำนาจนี้เป็น “ของ”ประชาชน “โดย”ประชาชนเป็นผู้มอบให้ โดยใช้อำนาจต้องเป็นไป “เพื่อ”ประชาชนเท่านั้น อย่างนี้ไงเล่าที่ผมต้องส่ายหน้า
คุณเนาวรัตน์ครับ ฝ่ายคุณได้อำนาจของประชาชน โดยประชาชนมอบให้อย่างนั้นหรือ แล้วที่ใช้อำนาจต่างๆอีกเล่า ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวมจริงๆกระนั้นหรือ
คุณเนาวรัตน์ครับ บ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ที่ประชาธิปไตยไม่พัฒนาไปถึงไหนในเวลานี้ ล้วนแต่เป็นเพราะการไม่เคารพกติกา การไม่บังคับกฎหมายอย่างเท่าเทียม และยังเป็นเพราะคนอย่างคุณเนาวรัตน์นี่แหละ ที่ถือเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แล้วคิดแทนคนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่หรือครับคือ “ความชอบธรรม”ที่คุณเนาวรัตน์กล่าวถึง
สุดท้ายแค่เห็นประโยคลงท้ายของคุณเนาวรัตน์ “โปรดฟังอีกครั้ง” ทำให้ผมรู้สึกคุ้นๆ มิน่าเล่า คุณเนาวรัตน์จึงมีแนวคิดที่ประชาชนไม่ได้เป็นใหญ่โดยแท้ เฮ่อ ขอไว้อาลัยต่อการจากไปของศิลปินแห่งชาติจากใจดวงใจผมไปเสีย ณ บัดนี้ สาธุ
คุณเนาวรัตน์ครับ ผมได้อ่านบทความของคุณแล้ว ก็ได้แต่ส่ายหน้า-----------ทวดเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมเองก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไร้โอกาสเล่าเรียนสูงๆ และขาดโอกาสที่จะเข้าถึงแหล่งอำนาจเหมือนคุณเนาวรัตน์ ดังนั้นผมจึงอ่านบทความที่เขียนด้วยภาษาสูงส่งไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ก็พอจะจับใจความ ที่เป็นสาระสำคัญได้ครับ
คุณเนาวรัตน์ครับ สาระที่ผมพอจะจับได้นั่นคือ คุณเนาวรัตน์นั้น จัดอยู่ในกลุ่ม “คนดี”ที่ไม่เคยมองเห็นคนอื่นจะดีเสมอตน อีกทั้งมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่น โดยไม่เคยเหลียวกลับมามองตัวเองเลยว่า ที่ผ่านมา ตัวเองทำอะไรไว้บ้าง
คุณเนาวรัตน์ครับ อาจบางทีเกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจใช่ไหมครับ จึงพยายามที่จะเขียนบทความชิ้นนี้ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองหรือเปล่าครับ
แต่ต่อให้จะเขียนด้วยลีลาแบบไหน จะเขียนด้วยหลักปรัชญาเพียงใด มันก็บิดเบือนความเป็นจริงไปไม่ได้หรอกครับ อะไรถูกอะไรผิด คนส่วนใหญ่ของประเทศเขามีคำตอบอยู่ในใจอย่างแน่นอนแล้วครับ
คุณเนาวรัตน์ครับ คุณจะอ้างถึงธิปไตยตามความหมายของคุณอย่างไรก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่บิดเบือนไม่ได้ก็คือ กติกาที่ถูกกำหนดขึ้นตามที่ทุกคนยอมรับ กติกาที่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ นั่นคือ การกำหนดให้เสียงส่วนใหญ่เป็นตัวกำหนดชี้ทิศทางของประเทศไงครับ
ส่วนที่คุณเนาวรัตน์กับพรรคพวกกระทำตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่ยึดเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ โดยไม่สนใจกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่ต่างหากครับ เป็น อัตตาธิปไตย อย่างที่คุณเนาวรัตน์พูดถึง เข้าใจไหมครับ
คุณเนาวรัตน์ครับ คุณก็รู้ประชาธิปไตยของเรายังวนเวียนต้วมเตี้ยมอยู่แค่หนึ่งกับสอง แต่มันไม่ใช่เกิดจากสองค่ายดังที่คุณเนาวรัตน์แกล้งเข้าใจหรอกนะครับ เพราะสองค่ายดังว่า มันพึ่งเกิดขึ้นเพียงสิบปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง
แต่ประชาธิปไตยของเรามันต้วมเตี้ยมมากว่าหกสิบปีแล้วนะครับ ดังนั้นสาเหตุจึงน่าจะเป็นเพราะสองขั้วอำนาจเสียมากกว่า นั่นคือ อำนาจเก่า กับ อำนาจประชาชนต่างหากเล่า
และที่ประชาธิปไตยของเรายังไม่ไปไหน ก็ไม่ใช่เพราะ “พวกมากลากไป” หรือ ยอมเป็นเหยื่อ “ทุนต่างชาติ”หรอกนะครับ แต่เป็นเพราะยังมีคนอย่างคุณเนาวรัตน์ที่คอยขัดขวางการก้าวเดินของประชาธิปไตย ไม่ปล่อยให้ประชาธิปไตยเดินไปตามครรลองของมัน รู้ตัวไหมครับคุณเนาวรัตน์
เพียงเพราะคนกลุ่มหนึ่งที่เกาะกลุ่มกันมา แล้วไม่สามารถที่จะเข้ามามีอำนาจผ่านทางประชาชน ผ่านทางการเลือกตั้ง ผ่านวิถีทางแห่งประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องหาเหตุล้มอำนาจของประชาชนเสีย แล้วแบ่งสรรอำนาจกันสนุกมือ นี่หรือครับ คือ การถือเอาความถูกต้อง เป็นธรรม เป็นหลัก หรือ “ธัมมาธิปไตย”ของคุณเนาวรัตน์
คุณเนาวรัตน์ครับ อุตส่าห์นำวาทะอมตะของประธานาธิบดีลินคอร์นมาอ้าง แต่กลับไม่เคยเหลียวมองการกระทำของฝ่ายตัวเลยสักนิด เขียนมาได้อย่างไม่ละอายใจเลยหรือครับ
อำนาจนี้เป็น “ของ”ประชาชน “โดย”ประชาชนเป็นผู้มอบให้ โดยใช้อำนาจต้องเป็นไป “เพื่อ”ประชาชนเท่านั้น อย่างนี้ไงเล่าที่ผมต้องส่ายหน้า
คุณเนาวรัตน์ครับ ฝ่ายคุณได้อำนาจของประชาชน โดยประชาชนมอบให้อย่างนั้นหรือ แล้วที่ใช้อำนาจต่างๆอีกเล่า ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวมจริงๆกระนั้นหรือ
คุณเนาวรัตน์ครับ บ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ที่ประชาธิปไตยไม่พัฒนาไปถึงไหนในเวลานี้ ล้วนแต่เป็นเพราะการไม่เคารพกติกา การไม่บังคับกฎหมายอย่างเท่าเทียม และยังเป็นเพราะคนอย่างคุณเนาวรัตน์นี่แหละ ที่ถือเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แล้วคิดแทนคนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่หรือครับคือ “ความชอบธรรม”ที่คุณเนาวรัตน์กล่าวถึง
สุดท้ายแค่เห็นประโยคลงท้ายของคุณเนาวรัตน์ “โปรดฟังอีกครั้ง” ทำให้ผมรู้สึกคุ้นๆ มิน่าเล่า คุณเนาวรัตน์จึงมีแนวคิดที่ประชาชนไม่ได้เป็นใหญ่โดยแท้ เฮ่อ ขอไว้อาลัยต่อการจากไปของศิลปินแห่งชาติจากใจดวงใจผมไปเสีย ณ บัดนี้ สาธุ