**บทละครเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แม่ภาคภูมิใจมากที่สุด แม่เคยเล่าว่าเรื่องนี้ใช้เวลาเขียนมากกว่า 10 ปี บทละครเรื่อง " เหนือมนตรา " เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพญานาค แม่เชื่อว่าพญานาคมีอยู่จริงจึงเขียนขึ้นมาพร้อมความศรัทธาพร้อมความรักในงานเขียนบทละคร วันนี้เข้าวันที่ 6 แล้วที่แม่หมดสติอยู่ในห้องไอซียู หนูก็มีความเชื่อและความศรัทธาเช่นกันว่าแม่จะฟื้นขึ้นมาดูความสำเร็จของหนูในเรื่องการเรียน ฟื้นมาอ่านคอมเม้นของผู้คน ที่เข้ามาคอมเม้น ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเชิงชื่นชอบผลงานของแม่ ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมจะบอกแม่ตลอดว่าลงพันทิปแล้วนะเรื่องต่อๆไปแม่ต้องฟื้นมาดูผลงานของแม่ด้วย ยังมีอีกหลายเรื่องที่แม่ยังเขียนไม่จบแม่ต้องตื่นมาเขียนให้จบนะ
... ความหวังเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นลูก หวังแค่ให้แม่มีความสุขกับงานที่แม่รัก ...
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามผลงานของแม่เรื่อยมานะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ
เหนือมนตรา
ขึ้น 13 ค่ำ แสงจันทร์บนท้องฟ้าทอแสงหม่นเพราะยังไม่สดใสเต็มที่ นวลแสงแห่งจันทรายามดึกสงัดสะท้อนกับท้องน้ำเวิ้งว้างกว้างไกล เงาดำทะมึนจากทิวเขาลูกใหญ่ที่โอบล้อมอ่างน้ำธรรมชาตินี้เหมือนอ้อมกอดของพญายักษ์ที่กอดดวงแก้วแวววาวเอาไว้กับอกอย่างหวงแหน ณ เนินดินจุดชมวิว ร่างบางระหงที่ยืนนิ่งทอดสายตามองเวิ้งน้ำนานเหมือนร่างนั้นไร้ชีวิตหากเส้นผมยาวสลวยไม่ปลิวพลิ้ว ร่างนั้นก็คงไม่ต่างจากรูปปั้นเลย พลันอรูปผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นไม่ห่างจากผู้ที่ยืนนิ่ง สายลมที่เคยพัดเอื่อยบัดนี้ทวีความรุนแรงจนร่างบางแทบจะปลิว
“ เจ้าน่าจะมีความละอายบ้างนะ ที่จมอยู่กับการรอคอยอย่างไม่สมหวังเช่นนี้ ”
ร่างบางยังคงยืนนิ่งสงบเหมือนไม่รับฟังถ้อยคำของผู้ที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปเลย
“ มันไม่มีวันกลับมา และเจ้าก็ไม่มีวันสมหวังกับการรอคอยที่ไม่มีจุดสิ้นสุด การรอคอยที่เหมือนกับปลายเชือกที่ถูกตัดขาดออกจากกันแล้ว ”
ร่างที่ยืนต้านแรงลมจนเส้นผมพลิ้วกระจายยังยืนนิ่ง
“ แม้จันทราจะทอแสงเต็มดวงอีกกี่วัฏจักรเจ้าก็จะพบแต่ความว่างเปล่า แต่ใจของเจ้าจะยิ่งเร่าร้อนทรมาน เจ้าไม่วันวันสมหวัง ไม่มี ”
ร่างที่ยืนนิ่งหันขวับ ประกายตาวาววับจับจ้องมองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างชิงชังที่สุด
“ เจ้าพี่ล่ะ จะมีวันสมหวังบ้างหรือ วันของข้าอาจจะมี แต่วันของเจ้าพี่ไม่มี ข้ายืนยันได้ว่า ไม่มี ”
กล่าวจบร่างงามก็หันหลังจะวิ่งหนีไปจากตรงนั้น แต่ไม่ไวกว่าผู้ที่ถูกย้อน ข้อมือบอบบางถูกคว้าเอาไว้แล้วกระชากร่างเธอเข้ามาจนประชิดอก แววตาวาววับจ้องมองร่างน้อยที่ตกตะลึงแล้วพูดเสียงรอดไรฟันอย่างโกรธเกรี้ยวเต็มที่
“ นักขวราช เจ้าไม่มีวันชนะพี่ เจ้าต้องการให้พี่แพ้ แต่ไม่มีวัน ไม่มีวัน ไม่มีใครจะเอาชนะพี่ได้ เจ้าคอยดูไป เจ้าจะต้องเป็นของพี่ทั้งกายและใจ ”
กล่าวจบก็ผลักร่างน้อยจนเซถลาลงไปฟุบกับพื้น นักขวราชเงยหน้ามองผู้ที่ยืนจังก้านัยน์ตาวาวแล้วเถียงกลับอย่างเจ็บแค้น
“ ไม่มีวัน ข้าได้ฝังหัวใจรักของข้าไปกับสุดที่รักของข้าแล้ว ถึงเขาจะไม่กลับมาแต่ความรักของข้าก็เต็มเปี่ยมประดุจคงคาที่ไม่มีวันเหือดแห้งไปจากโลกนี้ ”
เจ้าหัตถากานต์พญานาคราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครใต้พิภพธารา พระองค์งดงามด้วยรูปโฉมและเก่งกาจด้วยพละกำลังทรงมีความสามารถในศาสตราวุธแทบทุกชนิด เป็นเจ้าผู้ครองนครที่เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถ แต่พระองค์กลับพ่ายแพ้สูญเสียความรักให้แก่เพื่อนรักต่างนครจนต้องทนทรมานอย่างแสนสาหัส ตราบเท่าทุกวันนี้ความหลังสร้างบาดแผลในใจทั้งของพระองค์และองค์นักขวราชพระคู่หมายจนยากที่จะประสานเข้าหากันได้ ทั้งสองพระองค์ต่างอยู่ด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้นซึ่งกันและกัน นักขวราชเกลียดชังเจ้าหัตถากานต์เพราะเห็นกับตาว่าเจ้าหัตถากานต์ฆ่าชายคนรักของนางและทำลายให้เขาหลุดพ้นออกไปจากวงศ์วานแห่งพญานาคแต่พระนางก็ยังรอคอยว่าวันหนึ่งชายคนรักของพระนางจะกลับมาหาพระนาง ยิ่งรอคอยก็ยิ่งเจ็บด้วยกันทั้งองค์หัตถากานต์และองค์นักขราช เจ็บที่รักไม่สมหวัง เจ็บที่มีแต่ความแค้นไม่สร่างซา
เจ้าหัตถากานต์คืนร่างเป็นพญานาคตนใหญ่เกล็ดสีขาววาววับประดุจไข่มุกพร่างพราวไปทั้งองค์ หงอนสีทองดวงเนตรสีแดงทับทิมเป็นองค์พญานาคที่งดงามที่สุด ทรงเลื้อยลงสู่ท้องน้ำที่กว้างใหญ่ดำผุดฟาดหัวฟาดหางอย่างโกรธเกรี้ยวสุดขีดจนท้องน้ำที่เคยนิ่งสงบเกิดคลื่นขนาดใหญ่ดังตึงตังไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ
รถญี่ปุ่นสีแดงคันงามขับลดเลี้ยวไปตามถนนที่โรยกรวดภายในอาณาบริเวณบ้านที่ร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดและจอดสนิทหน้าเรือนปั้นหยาใต้ถุนสูง ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งยิ้มรอชายหนุ่มที่กลับมาเหมือนเช่นทุกวัน
“ หิวจังเลยครับอา ”
บอกเสียงใสตั้งแต่ยังก้าวขึ้นบันไดบ้าน ผู้เป็นอายิ้มอย่างเอ็นดู
“ กับข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าหิวก็กินได้เลย อาจะให้เรือนมันตั้งสำรับให้เลยนะ ”
“ ดีครับอา วันนี้ผมหิวจริงๆเพราะไม่ได้กินข้าวมื้อเที่ยง ”
“ แล้วทำไมไม่กิน งานมันมากขนาดไหนถึงต้องอดข้าวอดน้ำ ”
“ วันนี้ไปดูปริมาณน้ำที่ท้ายเขื่อนแล้วเขาก็ปิ้งเนื้อลูกวัวกินกัน ผมก็เลยอดเพราะมีแต่รายการเนื้อวัวทั้งนั้น ”
“ มิน่า งั้นก็ไปล้างไม้ล้างมือเลยแล้วมากินข้าว ”
ผู้เป็นอารีบเข้าครัวสั่งให้เด็กรับใช้จัดหาสำรับกับข้าวให้หลานชายกินทันที หลังจากเรียบร้อยกับอาหารมื้อเย็นชายหนุ่มก็ออกมานั่งเล่นที่ระเบียงบ้านรับลมพัดอ่อนๆยามเย็นอย่างสบายใจ
“ อากาศบ้านเราเย็นสบายดีจัง ไม่รู้ทางเหนือจะสบายแบบนี้ไหม ”
เขาพูดลอยๆแล้วล้มตัวลงนอนเอามือทั้งสองประสานรองศีรษะตัวเองทอดสายตามองท้องฟ้าเบื้องหน้า ผู้เป็นอาที่กำลังนั่งห่อลูกหยีกวนอยู่ใกล้ๆหันมองหลานชาย
“ อยู่ดีๆพูดถึงอากาศทางเหนือจะไปเที่ยวหรือไง ”
“ เปล่าครับ แต่เขาจะสร้างเขื่อนที่โน่น และผมก็ต้องไปเป็นวิศวกรดูแลการก่อสร้างคนหนึ่ง ”
“ แล้วจะไปเมื่อไหร่ ”
“ เร็วๆนี้แหละครับ อาจจะเป็นเดือนหน้าเลยด้วยซ้ำ ”
“ เร็วๆนี้ แล้วเรื่องเรียนต่อจะว่าอย่างไรถ้าวัจไปรับงานเขาน่ะ ”
“ ก็คงต้องเลื่อนออกไปก่อน ตอนนี้ผมก็อยากทำงานสักพักหนึ่งก่อนด้วย ”
“ จะทำงาน แล้วอุตส่าห์ขายที่ขายทางเตรียมตัวจะไปเรียน แล้วจะขอทำงานก่อนไม่เสียดายหรือไง งานเมื่อไหร่จะทำก็ได้ น่าจะเรียนให้มันจบๆซะก่อนจะได้ไม่เสียความตั้งใจเอาไว้แต่แรก ”
“ ตอนแรกผมก็จะปฏิเสธแต่ท่านรองบอกว่าเป็นวิศวกรได้ทำงานใหญ่มีโอกาสอย่างนี้แล้วไม่ควรจะปฏิเสธ งานอย่างนี้ไม่ใช่มีโอกาสกันทุกคนผมน่าจะไปทำก่อน ”
“ วัจก็เลยเลือกจะทำงานก่อนว่างั้นเถอะ ”
“ ผมอยากหาประสบการณ์และที่สำคัญ เงินตอบแทนมันก็น่าสนใจมากบางทีผมอาจไม่ต้องใช้เงินที่ขายที่เพื่อไปเรียนต่อเลย ”
“ เอา ถ้าอยากทำงานก่อนอาก็ไม่ว่าอะไร วัจโตแล้วคิดอะไรทำอะไรอาเชื่อว่าวัจคิดเป็นแล้ว ”
“ ขอบคุณครับอาที่เข้าใจผม ”
“ แล้วเรื่องจะไปทำงานที่เหนือนี่คุยกับหนูดาเขาหรือยัง ”
“ ทำไมต้องคุยกับเขาด้วยล่ะครับ ”
“ อ้าว เป็นแฟนกันไม่คุยไม่บอกให้เขารู้ก่อนหรือ ”
“ แฟนที่ไหนครับอา ผมกับดาเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นนะครับ ”
“ ยังจะมาปิดอา เพื่อนอะไรนอนแทบจะหนุนตักกัน อาน่ะไม่ว่าหรอกนะถ้าวัจจะรักจะชอบหนูดา ”
“ ไปใหญ่แล้วอา ผมกับดาเป็นเพื่อนกันจริงๆ ที่อาเห็นมันก็แค่เราสนิทกันเท่านั้น ผมรักดาแบบแฟนไม่ได้หรอกครับ ”
อาสาวจ้องหน้าหลานชายภควัตถึงกับหัวเราะที่อามองเขาแบบนั้น
“ ทำไมอามองผมแบบนั้นล่ะครับ ”
“ แล้วจะให้อามองวัจแบบไหน อาไม่เข้าใจจริงๆนะว่าเด็กๆสมัยนี้เขาคบกันเขาคิดกันอย่างไร สนิทกันจนน่าเกลียดแล้วมาบอกว่าไม่ได้คบกันแบบคนรัก ”
“ ก็ผมกับดาสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ เรารักกันเกินกว่าความเป็นเพื่อนไม่ลงหรอกครับ ”
“ วัจคิดไปคนเดียวหรือเปล่า อาดูเหมือนหนูดาเขารักวัจนะ ”
“ ดาน่ะหรือครับรักผม ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ดาเขาเห็นผมเป็นเพื่อนเขามาตลอดเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ”
อาเนียมถอนใจยาวภควัตหัวเราะที่อาทำท่าอ่อนใจอย่างนั้น
“ อาว่านิสัยวัจจะเหมือนพ่อซะละมัง ”
“ นิสัยเหมือนพ่ออย่างไรครับ ”
“ ก็เจ้าชู้น่ะสิ ”
“ พ่อของผมเจ้าชู้หรือครับ ”
“ เมียแต่งหนึ่งเมียเก็บเป็นโหล วันที่พ่อวัจตายน่ะบรรดาเมียๆโผล่มาเป็นสิบ ดีนะที่แม่เราตายไปพร้อมกับพ่อวัจด้วยไม่อย่างนั้นคงอกแตกตาย นี่ก็คงเชื้อไม่ทิ้งแถว ”
“ อ้าว ”
******
“ วัจ อาเนียมบอกว่าเธอจะไปทำงานที่ภาคเหนือเหรอ ”
สรีดาเพื่อนสาวคนสนิทของภควัตถาม
“ ใช่ ”
“ ไปทำงานไกลบ้านไม่เป็นห่วงอาเนียมหรือ ”
“ เป็นห่วงสิ แต่มีดาอยู่ทั้งคนผมสบายใจอยู่แล้ว ใช่ไหม ”
“ พูดแบบนี้บังคับให้ดาต้องเป็นคนคอยมาดูแลอาเนียมเลยใช่ไหม ไม่ค่อยเลยนะเธอ ”
“ ผมรู้ว่าดารักอาเนียมเหมือนญาติผู้ใหญ่ของดาคนหนึ่ง ถึงผมจะไปไหนไกลๆผมก็ไม่เป็นห่วงหรอก ดาเป็นหูเป็นตาแทนผมได้ ”
“ เราเป็นอะไรกันล่ะถึงต้องมาเป็นหูเป็นตาแทนให้น่ะ ”
“ เป็นแฟนกันเอาไหมล่ะ ”
“ บ้า พูดเป็นเล่นไปใครเขาอยากจะเป็นแฟนกับเธอ แค่คิดก็ไม่รุ่งแล้ว ”
“ นึกแล้วเชียวว่าเธอต้องพูดแบบนี้ ทำไมผมไม่ดีตรงไหนถึงจะเป็นแฟนกับผมไม่ได้ ”
ภควัตพูดแล้วแกล้งทำตาเจ้าชู้ใส่สรีดาถึกกับขำก๊ากผลักเขาออกห่างทันที
“ บ้าแล้ว ดูทำท่าเข้าถ้าดาเป็นแฟนกับเธอมีหวังท้องขึ้นตาย ”
“ ทำไมล่ะ ”
“ ไม่รู้ รู้แต่รับไม่ได้ย่ะ ”
“ นี่เรามาพูดกันจริงๆจังๆดีกว่า ระหว่างที่ผมไปทำงานที่ภาคเหนือผมฝากดาช่วยมาดูแลอาเนียมบ้างนะ ”
“ มันก็แน่อยู่แล้วล่ะ ว่าแต่วัจจะเดินทางไปเมื่อไหร่ล่ะ ”
“ คงจะต้นเดือนหน้านี้แน่นอน ไปแรกๆคงกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆไม่ได้เพราะไปเริ่มลุยงานกัน ”
“ ลุยแต่งานนะอย่าไปลุยจีบสาวเหนือเสน่ห์แรงจนลืมสาวเมืองใต้ก็แล้วกัน ”
“ ที่พูดเนี่ยหึงเหรอ ”
“ บ้าเรื่องอะไรดาจะไปหึงเธอ ”
“ จะไปรู้เหรอ ดาอาจจะแอบรักผมก็ได้นี่ใครจะไปรู้ ”
“ บ้าแล้ววัจนี่ พูดอะไรบ้าๆ ”
เสียงหนุ่มสาวหัวเราะกันดังลั่นอาเนียมอดยิ้มไม่ได้ สรีดาเป็นเพื่อนที่ภควัตสนิทสนมมาด้วยตั้งแต่วัยเยาว์เธอเป็นลูกสาวของเถ้าแก่ร้านขายไข่มุก เมื่อสรีดาเรียนจบมัธยมปลายก็ไปเรียนต่อปริญญาที่ประเทศสิงคโปร์ทางด้านการออกแบบเครื่องประดับและอัญมณีส่วนภควัตไปเรียนที่กรุงเทพฯจนจบวิศวกรรมศาสตร์และกลับมาทำงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตส่วนสรีดาก็ช่วยบิดาทำกิจการขายอัญมณี
ดวงตะวันเริ่มลับสันเขาทอแสงสีแดงครึ้มๆไปทั่วบริเวณ อากาศในป่าเย็นเร็วเมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้วแสงที่หม่นและความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมไปทั่วทั่งป่า ภควัตกับคณะเพิ่งเดินทางมาถึงแคมป์ที่ใช้เป็นที่พักชั่วคราวระหว่างงานก่อสร้างเขื่อน เรือนพักหลายหลังปลูกสร้างเรียงรายอยู่ตามแนวเชิงเขา ที่ใช้เป็นที่ทำการ โรงเก็บเครื่องจักรและที่พักคนงานปลูกสร้างอยู่ด้านหน้า
“ หนาวเหมือนกันนะ ”
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งบอกเพราะอากาศที่เริ่มเย็นลงทุกขณะ
“ นี่แหละภาคเหนือล่ะ ฤดูหนาวพอพระอาทิตย์ตกดินมันก็เริ่มหนาวอย่างนี้แหละ แต่มันก็ดีนะไม่ต้องใช้แอร์ให้เปลืองพลังงาน ”
“ หนาวแบบนี้ใครจะนอนเปิดแอร์ก็เอาเถอะผมไม่เอาด้วยคนละ ”
“ ถึงจะเอาก็ไม่มีหรอกคุณลือ มีแต่แอ่อี๊แอจะเอาไหม ”
“ แอ่อี๊แออะไรของคุณ คุณโชค ”
“ ก็แอ่อี๊แอ ไง ”
สมโชคหัวเราะชอบใจบุญลือยืนงงเพราะไม่รู้ว่าสมโชคหมายถึงอะไรก็ได้แต่เกาหัวแบบงงๆ
กว่าภควัตจะอาบน้ำและเข้านอนก็ดึกทีเดียวเพราะมัวแต่คุยกับเพื่อนๆที่ร่วมงานด้วยกัน
...พิมพ์พิลาสฒ์...
เหนือมนตรา ตอนที่ 1
... ความหวังเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นลูก หวังแค่ให้แม่มีความสุขกับงานที่แม่รัก ...
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามผลงานของแม่เรื่อยมานะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ
ขึ้น 13 ค่ำ แสงจันทร์บนท้องฟ้าทอแสงหม่นเพราะยังไม่สดใสเต็มที่ นวลแสงแห่งจันทรายามดึกสงัดสะท้อนกับท้องน้ำเวิ้งว้างกว้างไกล เงาดำทะมึนจากทิวเขาลูกใหญ่ที่โอบล้อมอ่างน้ำธรรมชาตินี้เหมือนอ้อมกอดของพญายักษ์ที่กอดดวงแก้วแวววาวเอาไว้กับอกอย่างหวงแหน ณ เนินดินจุดชมวิว ร่างบางระหงที่ยืนนิ่งทอดสายตามองเวิ้งน้ำนานเหมือนร่างนั้นไร้ชีวิตหากเส้นผมยาวสลวยไม่ปลิวพลิ้ว ร่างนั้นก็คงไม่ต่างจากรูปปั้นเลย พลันอรูปผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นไม่ห่างจากผู้ที่ยืนนิ่ง สายลมที่เคยพัดเอื่อยบัดนี้ทวีความรุนแรงจนร่างบางแทบจะปลิว
“ เจ้าน่าจะมีความละอายบ้างนะ ที่จมอยู่กับการรอคอยอย่างไม่สมหวังเช่นนี้ ”
ร่างบางยังคงยืนนิ่งสงบเหมือนไม่รับฟังถ้อยคำของผู้ที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปเลย
“ มันไม่มีวันกลับมา และเจ้าก็ไม่มีวันสมหวังกับการรอคอยที่ไม่มีจุดสิ้นสุด การรอคอยที่เหมือนกับปลายเชือกที่ถูกตัดขาดออกจากกันแล้ว ”
ร่างที่ยืนต้านแรงลมจนเส้นผมพลิ้วกระจายยังยืนนิ่ง
“ แม้จันทราจะทอแสงเต็มดวงอีกกี่วัฏจักรเจ้าก็จะพบแต่ความว่างเปล่า แต่ใจของเจ้าจะยิ่งเร่าร้อนทรมาน เจ้าไม่วันวันสมหวัง ไม่มี ”
ร่างที่ยืนนิ่งหันขวับ ประกายตาวาววับจับจ้องมองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างชิงชังที่สุด
“ เจ้าพี่ล่ะ จะมีวันสมหวังบ้างหรือ วันของข้าอาจจะมี แต่วันของเจ้าพี่ไม่มี ข้ายืนยันได้ว่า ไม่มี ”
กล่าวจบร่างงามก็หันหลังจะวิ่งหนีไปจากตรงนั้น แต่ไม่ไวกว่าผู้ที่ถูกย้อน ข้อมือบอบบางถูกคว้าเอาไว้แล้วกระชากร่างเธอเข้ามาจนประชิดอก แววตาวาววับจ้องมองร่างน้อยที่ตกตะลึงแล้วพูดเสียงรอดไรฟันอย่างโกรธเกรี้ยวเต็มที่
“ นักขวราช เจ้าไม่มีวันชนะพี่ เจ้าต้องการให้พี่แพ้ แต่ไม่มีวัน ไม่มีวัน ไม่มีใครจะเอาชนะพี่ได้ เจ้าคอยดูไป เจ้าจะต้องเป็นของพี่ทั้งกายและใจ ”
กล่าวจบก็ผลักร่างน้อยจนเซถลาลงไปฟุบกับพื้น นักขวราชเงยหน้ามองผู้ที่ยืนจังก้านัยน์ตาวาวแล้วเถียงกลับอย่างเจ็บแค้น
“ ไม่มีวัน ข้าได้ฝังหัวใจรักของข้าไปกับสุดที่รักของข้าแล้ว ถึงเขาจะไม่กลับมาแต่ความรักของข้าก็เต็มเปี่ยมประดุจคงคาที่ไม่มีวันเหือดแห้งไปจากโลกนี้ ”
เจ้าหัตถากานต์พญานาคราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครใต้พิภพธารา พระองค์งดงามด้วยรูปโฉมและเก่งกาจด้วยพละกำลังทรงมีความสามารถในศาสตราวุธแทบทุกชนิด เป็นเจ้าผู้ครองนครที่เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถ แต่พระองค์กลับพ่ายแพ้สูญเสียความรักให้แก่เพื่อนรักต่างนครจนต้องทนทรมานอย่างแสนสาหัส ตราบเท่าทุกวันนี้ความหลังสร้างบาดแผลในใจทั้งของพระองค์และองค์นักขวราชพระคู่หมายจนยากที่จะประสานเข้าหากันได้ ทั้งสองพระองค์ต่างอยู่ด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้นซึ่งกันและกัน นักขวราชเกลียดชังเจ้าหัตถากานต์เพราะเห็นกับตาว่าเจ้าหัตถากานต์ฆ่าชายคนรักของนางและทำลายให้เขาหลุดพ้นออกไปจากวงศ์วานแห่งพญานาคแต่พระนางก็ยังรอคอยว่าวันหนึ่งชายคนรักของพระนางจะกลับมาหาพระนาง ยิ่งรอคอยก็ยิ่งเจ็บด้วยกันทั้งองค์หัตถากานต์และองค์นักขราช เจ็บที่รักไม่สมหวัง เจ็บที่มีแต่ความแค้นไม่สร่างซา
เจ้าหัตถากานต์คืนร่างเป็นพญานาคตนใหญ่เกล็ดสีขาววาววับประดุจไข่มุกพร่างพราวไปทั้งองค์ หงอนสีทองดวงเนตรสีแดงทับทิมเป็นองค์พญานาคที่งดงามที่สุด ทรงเลื้อยลงสู่ท้องน้ำที่กว้างใหญ่ดำผุดฟาดหัวฟาดหางอย่างโกรธเกรี้ยวสุดขีดจนท้องน้ำที่เคยนิ่งสงบเกิดคลื่นขนาดใหญ่ดังตึงตังไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ
รถญี่ปุ่นสีแดงคันงามขับลดเลี้ยวไปตามถนนที่โรยกรวดภายในอาณาบริเวณบ้านที่ร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดและจอดสนิทหน้าเรือนปั้นหยาใต้ถุนสูง ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งยิ้มรอชายหนุ่มที่กลับมาเหมือนเช่นทุกวัน
“ หิวจังเลยครับอา ”
บอกเสียงใสตั้งแต่ยังก้าวขึ้นบันไดบ้าน ผู้เป็นอายิ้มอย่างเอ็นดู
“ กับข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าหิวก็กินได้เลย อาจะให้เรือนมันตั้งสำรับให้เลยนะ ”
“ ดีครับอา วันนี้ผมหิวจริงๆเพราะไม่ได้กินข้าวมื้อเที่ยง ”
“ แล้วทำไมไม่กิน งานมันมากขนาดไหนถึงต้องอดข้าวอดน้ำ ”
“ วันนี้ไปดูปริมาณน้ำที่ท้ายเขื่อนแล้วเขาก็ปิ้งเนื้อลูกวัวกินกัน ผมก็เลยอดเพราะมีแต่รายการเนื้อวัวทั้งนั้น ”
“ มิน่า งั้นก็ไปล้างไม้ล้างมือเลยแล้วมากินข้าว ”
ผู้เป็นอารีบเข้าครัวสั่งให้เด็กรับใช้จัดหาสำรับกับข้าวให้หลานชายกินทันที หลังจากเรียบร้อยกับอาหารมื้อเย็นชายหนุ่มก็ออกมานั่งเล่นที่ระเบียงบ้านรับลมพัดอ่อนๆยามเย็นอย่างสบายใจ
“ อากาศบ้านเราเย็นสบายดีจัง ไม่รู้ทางเหนือจะสบายแบบนี้ไหม ”
เขาพูดลอยๆแล้วล้มตัวลงนอนเอามือทั้งสองประสานรองศีรษะตัวเองทอดสายตามองท้องฟ้าเบื้องหน้า ผู้เป็นอาที่กำลังนั่งห่อลูกหยีกวนอยู่ใกล้ๆหันมองหลานชาย
“ อยู่ดีๆพูดถึงอากาศทางเหนือจะไปเที่ยวหรือไง ”
“ เปล่าครับ แต่เขาจะสร้างเขื่อนที่โน่น และผมก็ต้องไปเป็นวิศวกรดูแลการก่อสร้างคนหนึ่ง ”
“ แล้วจะไปเมื่อไหร่ ”
“ เร็วๆนี้แหละครับ อาจจะเป็นเดือนหน้าเลยด้วยซ้ำ ”
“ เร็วๆนี้ แล้วเรื่องเรียนต่อจะว่าอย่างไรถ้าวัจไปรับงานเขาน่ะ ”
“ ก็คงต้องเลื่อนออกไปก่อน ตอนนี้ผมก็อยากทำงานสักพักหนึ่งก่อนด้วย ”
“ จะทำงาน แล้วอุตส่าห์ขายที่ขายทางเตรียมตัวจะไปเรียน แล้วจะขอทำงานก่อนไม่เสียดายหรือไง งานเมื่อไหร่จะทำก็ได้ น่าจะเรียนให้มันจบๆซะก่อนจะได้ไม่เสียความตั้งใจเอาไว้แต่แรก ”
“ ตอนแรกผมก็จะปฏิเสธแต่ท่านรองบอกว่าเป็นวิศวกรได้ทำงานใหญ่มีโอกาสอย่างนี้แล้วไม่ควรจะปฏิเสธ งานอย่างนี้ไม่ใช่มีโอกาสกันทุกคนผมน่าจะไปทำก่อน ”
“ วัจก็เลยเลือกจะทำงานก่อนว่างั้นเถอะ ”
“ ผมอยากหาประสบการณ์และที่สำคัญ เงินตอบแทนมันก็น่าสนใจมากบางทีผมอาจไม่ต้องใช้เงินที่ขายที่เพื่อไปเรียนต่อเลย ”
“ เอา ถ้าอยากทำงานก่อนอาก็ไม่ว่าอะไร วัจโตแล้วคิดอะไรทำอะไรอาเชื่อว่าวัจคิดเป็นแล้ว ”
“ ขอบคุณครับอาที่เข้าใจผม ”
“ แล้วเรื่องจะไปทำงานที่เหนือนี่คุยกับหนูดาเขาหรือยัง ”
“ ทำไมต้องคุยกับเขาด้วยล่ะครับ ”
“ อ้าว เป็นแฟนกันไม่คุยไม่บอกให้เขารู้ก่อนหรือ ”
“ แฟนที่ไหนครับอา ผมกับดาเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นนะครับ ”
“ ยังจะมาปิดอา เพื่อนอะไรนอนแทบจะหนุนตักกัน อาน่ะไม่ว่าหรอกนะถ้าวัจจะรักจะชอบหนูดา ”
“ ไปใหญ่แล้วอา ผมกับดาเป็นเพื่อนกันจริงๆ ที่อาเห็นมันก็แค่เราสนิทกันเท่านั้น ผมรักดาแบบแฟนไม่ได้หรอกครับ ”
อาสาวจ้องหน้าหลานชายภควัตถึงกับหัวเราะที่อามองเขาแบบนั้น
“ ทำไมอามองผมแบบนั้นล่ะครับ ”
“ แล้วจะให้อามองวัจแบบไหน อาไม่เข้าใจจริงๆนะว่าเด็กๆสมัยนี้เขาคบกันเขาคิดกันอย่างไร สนิทกันจนน่าเกลียดแล้วมาบอกว่าไม่ได้คบกันแบบคนรัก ”
“ ก็ผมกับดาสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ เรารักกันเกินกว่าความเป็นเพื่อนไม่ลงหรอกครับ ”
“ วัจคิดไปคนเดียวหรือเปล่า อาดูเหมือนหนูดาเขารักวัจนะ ”
“ ดาน่ะหรือครับรักผม ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ดาเขาเห็นผมเป็นเพื่อนเขามาตลอดเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ”
อาเนียมถอนใจยาวภควัตหัวเราะที่อาทำท่าอ่อนใจอย่างนั้น
“ อาว่านิสัยวัจจะเหมือนพ่อซะละมัง ”
“ นิสัยเหมือนพ่ออย่างไรครับ ”
“ ก็เจ้าชู้น่ะสิ ”
“ พ่อของผมเจ้าชู้หรือครับ ”
“ เมียแต่งหนึ่งเมียเก็บเป็นโหล วันที่พ่อวัจตายน่ะบรรดาเมียๆโผล่มาเป็นสิบ ดีนะที่แม่เราตายไปพร้อมกับพ่อวัจด้วยไม่อย่างนั้นคงอกแตกตาย นี่ก็คงเชื้อไม่ทิ้งแถว ”
“ อ้าว ”
******
“ วัจ อาเนียมบอกว่าเธอจะไปทำงานที่ภาคเหนือเหรอ ”
สรีดาเพื่อนสาวคนสนิทของภควัตถาม
“ ใช่ ”
“ ไปทำงานไกลบ้านไม่เป็นห่วงอาเนียมหรือ ”
“ เป็นห่วงสิ แต่มีดาอยู่ทั้งคนผมสบายใจอยู่แล้ว ใช่ไหม ”
“ พูดแบบนี้บังคับให้ดาต้องเป็นคนคอยมาดูแลอาเนียมเลยใช่ไหม ไม่ค่อยเลยนะเธอ ”
“ ผมรู้ว่าดารักอาเนียมเหมือนญาติผู้ใหญ่ของดาคนหนึ่ง ถึงผมจะไปไหนไกลๆผมก็ไม่เป็นห่วงหรอก ดาเป็นหูเป็นตาแทนผมได้ ”
“ เราเป็นอะไรกันล่ะถึงต้องมาเป็นหูเป็นตาแทนให้น่ะ ”
“ เป็นแฟนกันเอาไหมล่ะ ”
“ บ้า พูดเป็นเล่นไปใครเขาอยากจะเป็นแฟนกับเธอ แค่คิดก็ไม่รุ่งแล้ว ”
“ นึกแล้วเชียวว่าเธอต้องพูดแบบนี้ ทำไมผมไม่ดีตรงไหนถึงจะเป็นแฟนกับผมไม่ได้ ”
ภควัตพูดแล้วแกล้งทำตาเจ้าชู้ใส่สรีดาถึกกับขำก๊ากผลักเขาออกห่างทันที
“ บ้าแล้ว ดูทำท่าเข้าถ้าดาเป็นแฟนกับเธอมีหวังท้องขึ้นตาย ”
“ ทำไมล่ะ ”
“ ไม่รู้ รู้แต่รับไม่ได้ย่ะ ”
“ นี่เรามาพูดกันจริงๆจังๆดีกว่า ระหว่างที่ผมไปทำงานที่ภาคเหนือผมฝากดาช่วยมาดูแลอาเนียมบ้างนะ ”
“ มันก็แน่อยู่แล้วล่ะ ว่าแต่วัจจะเดินทางไปเมื่อไหร่ล่ะ ”
“ คงจะต้นเดือนหน้านี้แน่นอน ไปแรกๆคงกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆไม่ได้เพราะไปเริ่มลุยงานกัน ”
“ ลุยแต่งานนะอย่าไปลุยจีบสาวเหนือเสน่ห์แรงจนลืมสาวเมืองใต้ก็แล้วกัน ”
“ ที่พูดเนี่ยหึงเหรอ ”
“ บ้าเรื่องอะไรดาจะไปหึงเธอ ”
“ จะไปรู้เหรอ ดาอาจจะแอบรักผมก็ได้นี่ใครจะไปรู้ ”
“ บ้าแล้ววัจนี่ พูดอะไรบ้าๆ ”
เสียงหนุ่มสาวหัวเราะกันดังลั่นอาเนียมอดยิ้มไม่ได้ สรีดาเป็นเพื่อนที่ภควัตสนิทสนมมาด้วยตั้งแต่วัยเยาว์เธอเป็นลูกสาวของเถ้าแก่ร้านขายไข่มุก เมื่อสรีดาเรียนจบมัธยมปลายก็ไปเรียนต่อปริญญาที่ประเทศสิงคโปร์ทางด้านการออกแบบเครื่องประดับและอัญมณีส่วนภควัตไปเรียนที่กรุงเทพฯจนจบวิศวกรรมศาสตร์และกลับมาทำงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตส่วนสรีดาก็ช่วยบิดาทำกิจการขายอัญมณี
ดวงตะวันเริ่มลับสันเขาทอแสงสีแดงครึ้มๆไปทั่วบริเวณ อากาศในป่าเย็นเร็วเมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้วแสงที่หม่นและความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมไปทั่วทั่งป่า ภควัตกับคณะเพิ่งเดินทางมาถึงแคมป์ที่ใช้เป็นที่พักชั่วคราวระหว่างงานก่อสร้างเขื่อน เรือนพักหลายหลังปลูกสร้างเรียงรายอยู่ตามแนวเชิงเขา ที่ใช้เป็นที่ทำการ โรงเก็บเครื่องจักรและที่พักคนงานปลูกสร้างอยู่ด้านหน้า
“ หนาวเหมือนกันนะ ”
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งบอกเพราะอากาศที่เริ่มเย็นลงทุกขณะ
“ นี่แหละภาคเหนือล่ะ ฤดูหนาวพอพระอาทิตย์ตกดินมันก็เริ่มหนาวอย่างนี้แหละ แต่มันก็ดีนะไม่ต้องใช้แอร์ให้เปลืองพลังงาน ”
“ หนาวแบบนี้ใครจะนอนเปิดแอร์ก็เอาเถอะผมไม่เอาด้วยคนละ ”
“ ถึงจะเอาก็ไม่มีหรอกคุณลือ มีแต่แอ่อี๊แอจะเอาไหม ”
“ แอ่อี๊แออะไรของคุณ คุณโชค ”
“ ก็แอ่อี๊แอ ไง ”
สมโชคหัวเราะชอบใจบุญลือยืนงงเพราะไม่รู้ว่าสมโชคหมายถึงอะไรก็ได้แต่เกาหัวแบบงงๆ
กว่าภควัตจะอาบน้ำและเข้านอนก็ดึกทีเดียวเพราะมัวแต่คุยกับเพื่อนๆที่ร่วมงานด้วยกัน