เหนือมนตรา ตอนที่ 1

กระทู้สนทนา
**บทละครเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แม่ภาคภูมิใจมากที่สุด แม่เคยเล่าว่าเรื่องนี้ใช้เวลาเขียนมากกว่า 10 ปี บทละครเรื่อง " เหนือมนตรา " เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพญานาค แม่เชื่อว่าพญานาคมีอยู่จริงจึงเขียนขึ้นมาพร้อมความศรัทธาพร้อมความรักในงานเขียนบทละคร  วันนี้เข้าวันที่ 6 แล้วที่แม่หมดสติอยู่ในห้องไอซียู หนูก็มีความเชื่อและความศรัทธาเช่นกันว่าแม่จะฟื้นขึ้นมาดูความสำเร็จของหนูในเรื่องการเรียน ฟื้นมาอ่านคอมเม้นของผู้คน  ที่เข้ามาคอมเม้น  ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเชิงชื่นชอบผลงานของแม่ ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมจะบอกแม่ตลอดว่าลงพันทิปแล้วนะเรื่องต่อๆไปแม่ต้องฟื้นมาดูผลงานของแม่ด้วย ยังมีอีกหลายเรื่องที่แม่ยังเขียนไม่จบแม่ต้องตื่นมาเขียนให้จบนะ

... ความหวังเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นลูก หวังแค่ให้แม่มีความสุขกับงานที่แม่รัก ...

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามผลงานของแม่เรื่อยมานะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ




เหนือมนตรา



ขึ้น 13 ค่ำ แสงจันทร์บนท้องฟ้าทอแสงหม่นเพราะยังไม่สดใสเต็มที่  นวลแสงแห่งจันทรายามดึกสงัดสะท้อนกับท้องน้ำเวิ้งว้างกว้างไกล  เงาดำทะมึนจากทิวเขาลูกใหญ่ที่โอบล้อมอ่างน้ำธรรมชาตินี้เหมือนอ้อมกอดของพญายักษ์ที่กอดดวงแก้วแวววาวเอาไว้กับอกอย่างหวงแหน  ณ  เนินดินจุดชมวิว  ร่างบางระหงที่ยืนนิ่งทอดสายตามองเวิ้งน้ำนานเหมือนร่างนั้นไร้ชีวิตหากเส้นผมยาวสลวยไม่ปลิวพลิ้ว  ร่างนั้นก็คงไม่ต่างจากรูปปั้นเลย  พลันอรูปผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นไม่ห่างจากผู้ที่ยืนนิ่ง  สายลมที่เคยพัดเอื่อยบัดนี้ทวีความรุนแรงจนร่างบางแทบจะปลิว

“ เจ้าน่าจะมีความละอายบ้างนะ  ที่จมอยู่กับการรอคอยอย่างไม่สมหวังเช่นนี้ ”

ร่างบางยังคงยืนนิ่งสงบเหมือนไม่รับฟังถ้อยคำของผู้ที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปเลย

“ มันไม่มีวันกลับมา  และเจ้าก็ไม่มีวันสมหวังกับการรอคอยที่ไม่มีจุดสิ้นสุด  การรอคอยที่เหมือนกับปลายเชือกที่ถูกตัดขาดออกจากกันแล้ว ”

ร่างที่ยืนต้านแรงลมจนเส้นผมพลิ้วกระจายยังยืนนิ่ง

“ แม้จันทราจะทอแสงเต็มดวงอีกกี่วัฏจักรเจ้าก็จะพบแต่ความว่างเปล่า  แต่ใจของเจ้าจะยิ่งเร่าร้อนทรมาน  เจ้าไม่วันวันสมหวัง  ไม่มี ”


ร่างที่ยืนนิ่งหันขวับ  ประกายตาวาววับจับจ้องมองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างชิงชังที่สุด

“ เจ้าพี่ล่ะ  จะมีวันสมหวังบ้างหรือ  วันของข้าอาจจะมี  แต่วันของเจ้าพี่ไม่มี  ข้ายืนยันได้ว่า  ไม่มี ”

กล่าวจบร่างงามก็หันหลังจะวิ่งหนีไปจากตรงนั้น  แต่ไม่ไวกว่าผู้ที่ถูกย้อน  ข้อมือบอบบางถูกคว้าเอาไว้แล้วกระชากร่างเธอเข้ามาจนประชิดอก  แววตาวาววับจ้องมองร่างน้อยที่ตกตะลึงแล้วพูดเสียงรอดไรฟันอย่างโกรธเกรี้ยวเต็มที่

“ นักขวราช  เจ้าไม่มีวันชนะพี่  เจ้าต้องการให้พี่แพ้  แต่ไม่มีวัน  ไม่มีวัน  ไม่มีใครจะเอาชนะพี่ได้  เจ้าคอยดูไป  เจ้าจะต้องเป็นของพี่ทั้งกายและใจ ”

กล่าวจบก็ผลักร่างน้อยจนเซถลาลงไปฟุบกับพื้น  นักขวราชเงยหน้ามองผู้ที่ยืนจังก้านัยน์ตาวาวแล้วเถียงกลับอย่างเจ็บแค้น

“ ไม่มีวัน  ข้าได้ฝังหัวใจรักของข้าไปกับสุดที่รักของข้าแล้ว  ถึงเขาจะไม่กลับมาแต่ความรักของข้าก็เต็มเปี่ยมประดุจคงคาที่ไม่มีวันเหือดแห้งไปจากโลกนี้ ”

เจ้าหัตถากานต์พญานาคราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครใต้พิภพธารา  พระองค์งดงามด้วยรูปโฉมและเก่งกาจด้วยพละกำลังทรงมีความสามารถในศาสตราวุธแทบทุกชนิด  เป็นเจ้าผู้ครองนครที่เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถ  แต่พระองค์กลับพ่ายแพ้สูญเสียความรักให้แก่เพื่อนรักต่างนครจนต้องทนทรมานอย่างแสนสาหัส  ตราบเท่าทุกวันนี้ความหลังสร้างบาดแผลในใจทั้งของพระองค์และองค์นักขวราชพระคู่หมายจนยากที่จะประสานเข้าหากันได้  ทั้งสองพระองค์ต่างอยู่ด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้นซึ่งกันและกัน  นักขวราชเกลียดชังเจ้าหัตถากานต์เพราะเห็นกับตาว่าเจ้าหัตถากานต์ฆ่าชายคนรักของนางและทำลายให้เขาหลุดพ้นออกไปจากวงศ์วานแห่งพญานาคแต่พระนางก็ยังรอคอยว่าวันหนึ่งชายคนรักของพระนางจะกลับมาหาพระนาง  ยิ่งรอคอยก็ยิ่งเจ็บด้วยกันทั้งองค์หัตถากานต์และองค์นักขราช  เจ็บที่รักไม่สมหวัง  เจ็บที่มีแต่ความแค้นไม่สร่างซา

เจ้าหัตถากานต์คืนร่างเป็นพญานาคตนใหญ่เกล็ดสีขาววาววับประดุจไข่มุกพร่างพราวไปทั้งองค์ หงอนสีทองดวงเนตรสีแดงทับทิมเป็นองค์พญานาคที่งดงามที่สุด  ทรงเลื้อยลงสู่ท้องน้ำที่กว้างใหญ่ดำผุดฟาดหัวฟาดหางอย่างโกรธเกรี้ยวสุดขีดจนท้องน้ำที่เคยนิ่งสงบเกิดคลื่นขนาดใหญ่ดังตึงตังไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ

รถญี่ปุ่นสีแดงคันงามขับลดเลี้ยวไปตามถนนที่โรยกรวดภายในอาณาบริเวณบ้านที่ร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดและจอดสนิทหน้าเรือนปั้นหยาใต้ถุนสูง  ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งยิ้มรอชายหนุ่มที่กลับมาเหมือนเช่นทุกวัน

“ หิวจังเลยครับอา ”

บอกเสียงใสตั้งแต่ยังก้าวขึ้นบันไดบ้าน   ผู้เป็นอายิ้มอย่างเอ็นดู

“ กับข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ถ้าหิวก็กินได้เลย  อาจะให้เรือนมันตั้งสำรับให้เลยนะ ”
“ ดีครับอา  วันนี้ผมหิวจริงๆเพราะไม่ได้กินข้าวมื้อเที่ยง ”
“ แล้วทำไมไม่กิน  งานมันมากขนาดไหนถึงต้องอดข้าวอดน้ำ ”
“ วันนี้ไปดูปริมาณน้ำที่ท้ายเขื่อนแล้วเขาก็ปิ้งเนื้อลูกวัวกินกัน  ผมก็เลยอดเพราะมีแต่รายการเนื้อวัวทั้งนั้น ”
“ มิน่า  งั้นก็ไปล้างไม้ล้างมือเลยแล้วมากินข้าว ”

ผู้เป็นอารีบเข้าครัวสั่งให้เด็กรับใช้จัดหาสำรับกับข้าวให้หลานชายกินทันที  หลังจากเรียบร้อยกับอาหารมื้อเย็นชายหนุ่มก็ออกมานั่งเล่นที่ระเบียงบ้านรับลมพัดอ่อนๆยามเย็นอย่างสบายใจ

“ อากาศบ้านเราเย็นสบายดีจัง  ไม่รู้ทางเหนือจะสบายแบบนี้ไหม ”

เขาพูดลอยๆแล้วล้มตัวลงนอนเอามือทั้งสองประสานรองศีรษะตัวเองทอดสายตามองท้องฟ้าเบื้องหน้า  ผู้เป็นอาที่กำลังนั่งห่อลูกหยีกวนอยู่ใกล้ๆหันมองหลานชาย

“ อยู่ดีๆพูดถึงอากาศทางเหนือจะไปเที่ยวหรือไง ”
“ เปล่าครับ  แต่เขาจะสร้างเขื่อนที่โน่น  และผมก็ต้องไปเป็นวิศวกรดูแลการก่อสร้างคนหนึ่ง ”
“ แล้วจะไปเมื่อไหร่ ”
“ เร็วๆนี้แหละครับ  อาจจะเป็นเดือนหน้าเลยด้วยซ้ำ ”
“ เร็วๆนี้  แล้วเรื่องเรียนต่อจะว่าอย่างไรถ้าวัจไปรับงานเขาน่ะ ”
“ ก็คงต้องเลื่อนออกไปก่อน  ตอนนี้ผมก็อยากทำงานสักพักหนึ่งก่อนด้วย ”
“ จะทำงาน  แล้วอุตส่าห์ขายที่ขายทางเตรียมตัวจะไปเรียน  แล้วจะขอทำงานก่อนไม่เสียดายหรือไง  งานเมื่อไหร่จะทำก็ได้  น่าจะเรียนให้มันจบๆซะก่อนจะได้ไม่เสียความตั้งใจเอาไว้แต่แรก ”
“ ตอนแรกผมก็จะปฏิเสธแต่ท่านรองบอกว่าเป็นวิศวกรได้ทำงานใหญ่มีโอกาสอย่างนี้แล้วไม่ควรจะปฏิเสธ  งานอย่างนี้ไม่ใช่มีโอกาสกันทุกคนผมน่าจะไปทำก่อน ”
“ วัจก็เลยเลือกจะทำงานก่อนว่างั้นเถอะ ”
“ ผมอยากหาประสบการณ์และที่สำคัญ  เงินตอบแทนมันก็น่าสนใจมากบางทีผมอาจไม่ต้องใช้เงินที่ขายที่เพื่อไปเรียนต่อเลย ”
“ เอา  ถ้าอยากทำงานก่อนอาก็ไม่ว่าอะไร  วัจโตแล้วคิดอะไรทำอะไรอาเชื่อว่าวัจคิดเป็นแล้ว ”
“ ขอบคุณครับอาที่เข้าใจผม ”
“ แล้วเรื่องจะไปทำงานที่เหนือนี่คุยกับหนูดาเขาหรือยัง ”
“ ทำไมต้องคุยกับเขาด้วยล่ะครับ ”
“ อ้าว  เป็นแฟนกันไม่คุยไม่บอกให้เขารู้ก่อนหรือ ”
“ แฟนที่ไหนครับอา  ผมกับดาเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นนะครับ ”
“ ยังจะมาปิดอา  เพื่อนอะไรนอนแทบจะหนุนตักกัน  อาน่ะไม่ว่าหรอกนะถ้าวัจจะรักจะชอบหนูดา ”
“ ไปใหญ่แล้วอา  ผมกับดาเป็นเพื่อนกันจริงๆ ที่อาเห็นมันก็แค่เราสนิทกันเท่านั้น  ผมรักดาแบบแฟนไม่ได้หรอกครับ ”

อาสาวจ้องหน้าหลานชายภควัตถึงกับหัวเราะที่อามองเขาแบบนั้น

“ ทำไมอามองผมแบบนั้นล่ะครับ ”
“ แล้วจะให้อามองวัจแบบไหน  อาไม่เข้าใจจริงๆนะว่าเด็กๆสมัยนี้เขาคบกันเขาคิดกันอย่างไร  สนิทกันจนน่าเกลียดแล้วมาบอกว่าไม่ได้คบกันแบบคนรัก ”
“ ก็ผมกับดาสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ เรารักกันเกินกว่าความเป็นเพื่อนไม่ลงหรอกครับ ”
“ วัจคิดไปคนเดียวหรือเปล่า  อาดูเหมือนหนูดาเขารักวัจนะ ”
“ ดาน่ะหรือครับรักผม  ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่  ดาเขาเห็นผมเป็นเพื่อนเขามาตลอดเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ”

อาเนียมถอนใจยาวภควัตหัวเราะที่อาทำท่าอ่อนใจอย่างนั้น

“ อาว่านิสัยวัจจะเหมือนพ่อซะละมัง ”
“ นิสัยเหมือนพ่ออย่างไรครับ ”
“ ก็เจ้าชู้น่ะสิ ”
“ พ่อของผมเจ้าชู้หรือครับ ”
“ เมียแต่งหนึ่งเมียเก็บเป็นโหล  วันที่พ่อวัจตายน่ะบรรดาเมียๆโผล่มาเป็นสิบ  ดีนะที่แม่เราตายไปพร้อมกับพ่อวัจด้วยไม่อย่างนั้นคงอกแตกตาย  นี่ก็คงเชื้อไม่ทิ้งแถว ”
“ อ้าว ”

******

“ วัจ  อาเนียมบอกว่าเธอจะไปทำงานที่ภาคเหนือเหรอ ”

สรีดาเพื่อนสาวคนสนิทของภควัตถาม

“ ใช่ ”
“ ไปทำงานไกลบ้านไม่เป็นห่วงอาเนียมหรือ ”
“ เป็นห่วงสิ  แต่มีดาอยู่ทั้งคนผมสบายใจอยู่แล้ว  ใช่ไหม ”
“ พูดแบบนี้บังคับให้ดาต้องเป็นคนคอยมาดูแลอาเนียมเลยใช่ไหม  ไม่ค่อยเลยนะเธอ ”
“ ผมรู้ว่าดารักอาเนียมเหมือนญาติผู้ใหญ่ของดาคนหนึ่ง  ถึงผมจะไปไหนไกลๆผมก็ไม่เป็นห่วงหรอก  ดาเป็นหูเป็นตาแทนผมได้ ”
“ เราเป็นอะไรกันล่ะถึงต้องมาเป็นหูเป็นตาแทนให้น่ะ ”
“ เป็นแฟนกันเอาไหมล่ะ ”
“ บ้า  พูดเป็นเล่นไปใครเขาอยากจะเป็นแฟนกับเธอ  แค่คิดก็ไม่รุ่งแล้ว ”
“ นึกแล้วเชียวว่าเธอต้องพูดแบบนี้  ทำไมผมไม่ดีตรงไหนถึงจะเป็นแฟนกับผมไม่ได้ ”

ภควัตพูดแล้วแกล้งทำตาเจ้าชู้ใส่สรีดาถึกกับขำก๊ากผลักเขาออกห่างทันที

“ บ้าแล้ว  ดูทำท่าเข้าถ้าดาเป็นแฟนกับเธอมีหวังท้องขึ้นตาย ”
“ ทำไมล่ะ ”
“ ไม่รู้  รู้แต่รับไม่ได้ย่ะ ”
“ นี่เรามาพูดกันจริงๆจังๆดีกว่า  ระหว่างที่ผมไปทำงานที่ภาคเหนือผมฝากดาช่วยมาดูแลอาเนียมบ้างนะ ”
“ มันก็แน่อยู่แล้วล่ะ  ว่าแต่วัจจะเดินทางไปเมื่อไหร่ล่ะ ”
“ คงจะต้นเดือนหน้านี้แน่นอน  ไปแรกๆคงกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆไม่ได้เพราะไปเริ่มลุยงานกัน ”
“ ลุยแต่งานนะอย่าไปลุยจีบสาวเหนือเสน่ห์แรงจนลืมสาวเมืองใต้ก็แล้วกัน ”
“ ที่พูดเนี่ยหึงเหรอ ”
“ บ้าเรื่องอะไรดาจะไปหึงเธอ ”
“ จะไปรู้เหรอ  ดาอาจจะแอบรักผมก็ได้นี่ใครจะไปรู้ ”
“ บ้าแล้ววัจนี่  พูดอะไรบ้าๆ ”

เสียงหนุ่มสาวหัวเราะกันดังลั่นอาเนียมอดยิ้มไม่ได้  สรีดาเป็นเพื่อนที่ภควัตสนิทสนมมาด้วยตั้งแต่วัยเยาว์เธอเป็นลูกสาวของเถ้าแก่ร้านขายไข่มุก  เมื่อสรีดาเรียนจบมัธยมปลายก็ไปเรียนต่อปริญญาที่ประเทศสิงคโปร์ทางด้านการออกแบบเครื่องประดับและอัญมณีส่วนภควัตไปเรียนที่กรุงเทพฯจนจบวิศวกรรมศาสตร์และกลับมาทำงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตส่วนสรีดาก็ช่วยบิดาทำกิจการขายอัญมณี

ดวงตะวันเริ่มลับสันเขาทอแสงสีแดงครึ้มๆไปทั่วบริเวณ  อากาศในป่าเย็นเร็วเมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้วแสงที่หม่นและความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมไปทั่วทั่งป่า  ภควัตกับคณะเพิ่งเดินทางมาถึงแคมป์ที่ใช้เป็นที่พักชั่วคราวระหว่างงานก่อสร้างเขื่อน  เรือนพักหลายหลังปลูกสร้างเรียงรายอยู่ตามแนวเชิงเขา  ที่ใช้เป็นที่ทำการ  โรงเก็บเครื่องจักรและที่พักคนงานปลูกสร้างอยู่ด้านหน้า

“ หนาวเหมือนกันนะ ”

เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งบอกเพราะอากาศที่เริ่มเย็นลงทุกขณะ

“ นี่แหละภาคเหนือล่ะ  ฤดูหนาวพอพระอาทิตย์ตกดินมันก็เริ่มหนาวอย่างนี้แหละ  แต่มันก็ดีนะไม่ต้องใช้แอร์ให้เปลืองพลังงาน ”
“ หนาวแบบนี้ใครจะนอนเปิดแอร์ก็เอาเถอะผมไม่เอาด้วยคนละ ”
“ ถึงจะเอาก็ไม่มีหรอกคุณลือ  มีแต่แอ่อี๊แอจะเอาไหม ”
“ แอ่อี๊แออะไรของคุณ  คุณโชค ”
“ ก็แอ่อี๊แอ  ไง ”

สมโชคหัวเราะชอบใจบุญลือยืนงงเพราะไม่รู้ว่าสมโชคหมายถึงอะไรก็ได้แต่เกาหัวแบบงงๆ
กว่าภควัตจะอาบน้ำและเข้านอนก็ดึกทีเดียวเพราะมัวแต่คุยกับเพื่อนๆที่ร่วมงานด้วยกัน





...พิมพ์พิลาสฒ์...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่