ผมไม่หวังนิพพานแล้วครับ
ผมออกจากศาสนาพุทธด้วยก็เหตุเพราะผมไม่ได้หวังนิพพาน
ผมพอใจกับการมองโลกแบบของผมซึ่งแตกต่างจากพุทธ
กิเลสและความทุกข์อยู่ร่วมกับเราได้ถ้าเข้าใจ
เรามาอยู่ในตัวมนุษย์โดยที่ไม่รู้ว่า ทุกอย่างมีวิธีการทำงานและดำเนินการอย่างไร เราแค่มาอาศัยอยู่ในสิ่งที่ผ่านการออกแบบและแก้ไขมานับล้านปี จนมีการทำงานที่เฉพาะเจาะจงอย่างมีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็น กิเลส ทุกข์ สุข เศร้า เหงา ดีใจ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
เราไม่ได้เป็นคนออกแบบ แต่เราเป็นส่วนหนึ่งในระบบที่ดำเนินมาแล้วและจะดำเนินต่อไป
ฉะนั้นการทำความเข้าใจในระบบที่เราอาศัยอยู่เป็นสิ่งที่สำคัญ
จนผมได้ข้อสรุปว่า ผมไม่ต้องการนิพพาน เพราะผมเข้าใจในสภาพและเหตุผลของสิ่งต่างๆ ผมรู้จักกิเลสและความทุกข์อย่างมีเหตุผลตามหน้าที่ของมัน มันก็จึงไม่จำเป็นจะต้องละหรือตัดอะไร และผมคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือถูก
สำหรับธรรมชาติไม่มีผิดหรือถูก มีเพียงแค่ทำตามหน้าที่ที่ธรรมชาติกำหนดมาเท่านั้น เช่น ผู้ล่ากับผู้ถูกล่า การเข้าใจธรรมชาติโดยใช้มุมมองเดียวกับธรรมชาตินั่นคือสิ่งที่ผมเอามาใช้ในการดำรงชีวิต
ซึ่งมันขัดกับพุทธที่จะต้องตัดกิเลสเพื่อไม่ให้เกิดทุกข์
กิเลสกับความทุกข์ผมไม่ได้มีความรังเกียจมันเลย ไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดี เพราะมันเป็นเครื่องมือนึงของธรรมชาติที่ใช้ควบคุมสิ่งมีชีวิต ถ้าจะพูดให้เห็นภาพคือ "มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่มันเป็นธุรกิจ" ธุรกิจบางวิธีอาจจะโหดร้ายแต่มันก็คือธุรกิจ วางใจเป็นกลาง เขาสร้างเราอย่างมีเหตุผล
สิ่งมีชีวิตล้วนมีหน้าที่ตามธรรมชาติกำหนด และความทุกข์สุขนั่นคือตัวกระตุ้นให้เกิดการทำหน้าที่
จุดเด่นของมนุษย์คือ สติปัญญา เราจมูกไม่ดีเท่าหมา ตาไม่ดีเท่าเหยี่ยว แต่สมองเราดีที่สุด
ทำไมเราถึงสมองดี?
เพราะเขาสร้างเราให้เข้าใจธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่ที่ต่างจากสัตว์อื่น มันจึงเกิดเหตุการที่เราเห็นๆอยู่ในชีวิตประจำวัน
ความทุกข์คือสิ่งที่เราจะต้องเจอและต้องเรียนรู้และเข้าใจไปตลอดชีวิต ความทุกข์มีอยู่ในทุกที่ เพราะทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอด
สำหรับผมนิพพานไม่เป็นความอยากอันสูงสุดที่ผมต้องไขว่คว้าอีกแล้ว ธรรมชาติของความอยาก มันก็ดับได้ด้วยความเข้าใจง่ายๆแบบนี้แหล่ะครับ
ทำไมผมถึงไม่หวังนิพพาน
ผมออกจากศาสนาพุทธด้วยก็เหตุเพราะผมไม่ได้หวังนิพพาน
ผมพอใจกับการมองโลกแบบของผมซึ่งแตกต่างจากพุทธ
กิเลสและความทุกข์อยู่ร่วมกับเราได้ถ้าเข้าใจ
เรามาอยู่ในตัวมนุษย์โดยที่ไม่รู้ว่า ทุกอย่างมีวิธีการทำงานและดำเนินการอย่างไร เราแค่มาอาศัยอยู่ในสิ่งที่ผ่านการออกแบบและแก้ไขมานับล้านปี จนมีการทำงานที่เฉพาะเจาะจงอย่างมีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็น กิเลส ทุกข์ สุข เศร้า เหงา ดีใจ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
เราไม่ได้เป็นคนออกแบบ แต่เราเป็นส่วนหนึ่งในระบบที่ดำเนินมาแล้วและจะดำเนินต่อไป
ฉะนั้นการทำความเข้าใจในระบบที่เราอาศัยอยู่เป็นสิ่งที่สำคัญ
จนผมได้ข้อสรุปว่า ผมไม่ต้องการนิพพาน เพราะผมเข้าใจในสภาพและเหตุผลของสิ่งต่างๆ ผมรู้จักกิเลสและความทุกข์อย่างมีเหตุผลตามหน้าที่ของมัน มันก็จึงไม่จำเป็นจะต้องละหรือตัดอะไร และผมคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือถูก
สำหรับธรรมชาติไม่มีผิดหรือถูก มีเพียงแค่ทำตามหน้าที่ที่ธรรมชาติกำหนดมาเท่านั้น เช่น ผู้ล่ากับผู้ถูกล่า การเข้าใจธรรมชาติโดยใช้มุมมองเดียวกับธรรมชาตินั่นคือสิ่งที่ผมเอามาใช้ในการดำรงชีวิต
ซึ่งมันขัดกับพุทธที่จะต้องตัดกิเลสเพื่อไม่ให้เกิดทุกข์
กิเลสกับความทุกข์ผมไม่ได้มีความรังเกียจมันเลย ไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดี เพราะมันเป็นเครื่องมือนึงของธรรมชาติที่ใช้ควบคุมสิ่งมีชีวิต ถ้าจะพูดให้เห็นภาพคือ "มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่มันเป็นธุรกิจ" ธุรกิจบางวิธีอาจจะโหดร้ายแต่มันก็คือธุรกิจ วางใจเป็นกลาง เขาสร้างเราอย่างมีเหตุผล
สิ่งมีชีวิตล้วนมีหน้าที่ตามธรรมชาติกำหนด และความทุกข์สุขนั่นคือตัวกระตุ้นให้เกิดการทำหน้าที่
จุดเด่นของมนุษย์คือ สติปัญญา เราจมูกไม่ดีเท่าหมา ตาไม่ดีเท่าเหยี่ยว แต่สมองเราดีที่สุด
ทำไมเราถึงสมองดี?
เพราะเขาสร้างเราให้เข้าใจธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่ที่ต่างจากสัตว์อื่น มันจึงเกิดเหตุการที่เราเห็นๆอยู่ในชีวิตประจำวัน
ความทุกข์คือสิ่งที่เราจะต้องเจอและต้องเรียนรู้และเข้าใจไปตลอดชีวิต ความทุกข์มีอยู่ในทุกที่ เพราะทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอด
สำหรับผมนิพพานไม่เป็นความอยากอันสูงสุดที่ผมต้องไขว่คว้าอีกแล้ว ธรรมชาติของความอยาก มันก็ดับได้ด้วยความเข้าใจง่ายๆแบบนี้แหล่ะครับ