จากมติชนออนไลน์
พีดับบลิวซีเผยไม่เกิน 10 ปี เศรษฐีพันล้านจากเอเชียแซงหน้ามะกัน พบตัวเลขเศรษฐีใหม่อายุน้อยที่รวยด้วยลำแข้งในเอเชียสูงถึง 36% จึงสร้างกระแสให้เด็กเจนวายไทยเอาอย่างจีน หวังรวยทางลัด แห่เข้าเทรดหุ้น
นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พีดับบลิวซี ประเทศไทย เปิดเผยว่า อีก 5-10 ปีข้างหน้า จำนวนมหาเศรษฐีในเอเชียจะแซงหน้าสหรัฐ ส่วนหนึ่งเพราะการเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจของโลกมาเป็นบูรพาภิวัฒน์ ถือเป็นหนึ่งในกระแส "เมกะเทรนด์" ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะฝั่งเอเชีย ขณะที่ศูนย์กลางอำนาจทางการเงินเริ่มย้ายฐานมาทวีปนี้ จำนวนชนชั้นกลางมีมากขึ้น อำนาจการใช้จ่ายก็มากตามไปด้วย ทำให้นักธุรกิจฝั่งเอเชียเริ่มหันมาตั้งต้นธุรกิจและสร้างฐานะความมั่งคั่งด้วยตนเอง จากการทำธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภค-บริโภค และรองลงมาคือเทคโนโลยีและไอที
ทั้งนี้ ผลสำรวจ Billionaires: Master architects of great wealth and lasting legacies ประจำปี 2558 โดยพีดับบลิวซีพบว่า สัดส่วนมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตนเองในเอเชียมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 36% ของเศรษฐีพันล้านทั่วโลก และมหาเศรษฐีในภูมิภาคนี้ถึง 25% เติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน เมื่อเทียบกับสหรัฐแค่ 8% และยุโรปเพียง 6% ขณะที่อายุเฉลี่ยของเศรษฐีพันล้านชาวเอเชียก็น้อยกว่ามหาเศรษฐีจากสองทวีปถึง 10 ปี โดยอายุเฉลี่ยที่ 57 ปี ซึ่งเทรนด์หนุ่ม-สาวกลายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ตั้งแต่อายุยังน้อยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเด็กสมัยนี้เริ่มหันมาทำธุรกิจหรือลงทุนตั้งแต่จบทำงานใหม่ๆ
นายศิระกล่าวว่า สำหรับประเทศไทย แนวโน้มเศรษฐีหน้าใหม่เกิดมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มเจนวายหันมาลงทุนสร้างความมั่งคั่งผ่านตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น ตามกระแสต้องการรวยด้วยตัวเองหรือรวยทางลัด โดยไม่ต้องอาศัยทำงานในออฟฟิศ ประกอบกับมีความนิยมในตัวนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมั่งคั่งตั้งแต่อายุยังน้อย ตลาดหุ้นไทยจึงกลายเป็นแหล่งคนรุ่นใหม่เข้ามาแสวงหาความมั่งคั่งเหมือนกับเศรษฐีใหม่ในจีนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากผลสำรวจพบว่าไตรมาสแรกของปี2558จีนมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นทุกสัปดาห์หลังรัฐบาลจีนปฏิรูปตลาดทุนในประเทศ ส่งผลให้ชาวจีนหันมาเล่นหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ เพียง 5 เดือนแรกปีนี้มีบัญชีหุ้นเปิดใหม่ทะลุ 30 ล้านบัญชี แต่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมที่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการลงทุนอย่างแท้จริง อาจกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนเกิดฟองสบู่
"Gen Y"โหนกระแส"เทรดหุ้น"หวังรวยทางลัดเหมือนเด็กจีน ชี้ศก.วัยเอ๊าะเอเชียครอง36%
พีดับบลิวซีเผยไม่เกิน 10 ปี เศรษฐีพันล้านจากเอเชียแซงหน้ามะกัน พบตัวเลขเศรษฐีใหม่อายุน้อยที่รวยด้วยลำแข้งในเอเชียสูงถึง 36% จึงสร้างกระแสให้เด็กเจนวายไทยเอาอย่างจีน หวังรวยทางลัด แห่เข้าเทรดหุ้น
นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พีดับบลิวซี ประเทศไทย เปิดเผยว่า อีก 5-10 ปีข้างหน้า จำนวนมหาเศรษฐีในเอเชียจะแซงหน้าสหรัฐ ส่วนหนึ่งเพราะการเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจของโลกมาเป็นบูรพาภิวัฒน์ ถือเป็นหนึ่งในกระแส "เมกะเทรนด์" ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะฝั่งเอเชีย ขณะที่ศูนย์กลางอำนาจทางการเงินเริ่มย้ายฐานมาทวีปนี้ จำนวนชนชั้นกลางมีมากขึ้น อำนาจการใช้จ่ายก็มากตามไปด้วย ทำให้นักธุรกิจฝั่งเอเชียเริ่มหันมาตั้งต้นธุรกิจและสร้างฐานะความมั่งคั่งด้วยตนเอง จากการทำธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภค-บริโภค และรองลงมาคือเทคโนโลยีและไอที
ทั้งนี้ ผลสำรวจ Billionaires: Master architects of great wealth and lasting legacies ประจำปี 2558 โดยพีดับบลิวซีพบว่า สัดส่วนมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตนเองในเอเชียมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 36% ของเศรษฐีพันล้านทั่วโลก และมหาเศรษฐีในภูมิภาคนี้ถึง 25% เติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน เมื่อเทียบกับสหรัฐแค่ 8% และยุโรปเพียง 6% ขณะที่อายุเฉลี่ยของเศรษฐีพันล้านชาวเอเชียก็น้อยกว่ามหาเศรษฐีจากสองทวีปถึง 10 ปี โดยอายุเฉลี่ยที่ 57 ปี ซึ่งเทรนด์หนุ่ม-สาวกลายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ตั้งแต่อายุยังน้อยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเด็กสมัยนี้เริ่มหันมาทำธุรกิจหรือลงทุนตั้งแต่จบทำงานใหม่ๆ
นายศิระกล่าวว่า สำหรับประเทศไทย แนวโน้มเศรษฐีหน้าใหม่เกิดมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มเจนวายหันมาลงทุนสร้างความมั่งคั่งผ่านตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น ตามกระแสต้องการรวยด้วยตัวเองหรือรวยทางลัด โดยไม่ต้องอาศัยทำงานในออฟฟิศ ประกอบกับมีความนิยมในตัวนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมั่งคั่งตั้งแต่อายุยังน้อย ตลาดหุ้นไทยจึงกลายเป็นแหล่งคนรุ่นใหม่เข้ามาแสวงหาความมั่งคั่งเหมือนกับเศรษฐีใหม่ในจีนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากผลสำรวจพบว่าไตรมาสแรกของปี2558จีนมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นทุกสัปดาห์หลังรัฐบาลจีนปฏิรูปตลาดทุนในประเทศ ส่งผลให้ชาวจีนหันมาเล่นหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ เพียง 5 เดือนแรกปีนี้มีบัญชีหุ้นเปิดใหม่ทะลุ 30 ล้านบัญชี แต่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมที่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการลงทุนอย่างแท้จริง อาจกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนเกิดฟองสบู่