'องค์หญิง'ระทม ติดหล่มหุ้นมังกร

ขณะที่กระแสข่าว คู่รัก-คู่ร้าง "โตโน่-แตงโม" ได้ปกคลุมแทบจะเต็มพื้นที่ทุกตารางเมตรเมืองไทยตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ในเมืองจีน "เจ้า เหว่ย" นักแสดงเจ้าบทบาทระดับแม่เหล็กที่โด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะบทบาทที่ติดตาจดจำกันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง "องค์หญิงกำมะลอ" My Fair Princess ก็กำลังอยู่ในกระแส "ติดหล่ม" วิกฤตตลาดหุ้นเมืองจีนอย่างแสนสาหัส

ท่ามกลางบทวิเคราะห์จำนวนมากที่คาดการณ์ถึงสถานการณ์การดำดิ่งของตลาดหุ้นของจีนคราวนี้ ที่อาจส่งผลกระทบและสั่นคลอนความมั่นคงของเศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

ว่ากันว่าในจำนวนประชากรชาวจีน 1,300 ล้านคนทั่วประเทศนั้น มีนักลงทุนชาวจีนในตลาดหุ้นถึง 90 ล้านคน

ไม่เพียง "เจ้า เหว่ย" ที่กำลังเผชิญกับปัญหาหนักอกระดับชาติจากปรากฏการณ์หุ้นดำดิ่งครั้งสำคัญนี้ แต่ยังมีเหล่าบรรดานักแสดงชื่อดังในวงการบันเทิงจีนอย่าง ฟ่าน ปิง ปิง และจาง จื่อ อี๋ ก็ล้วนติดหล่มในวิกฤตหุ้นแผ่นดินใหญ่ในขณะนี้ด้วย

สอดคล้องกับข้อมูลของสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ดาราสาวสวยอย่าง "ฟ่าน ปิง ปิง" ขาดทุนถึง 655 ล้านบาทหรือกว่า 120 ล้านหยวน เช่นเดียวกับ "จาง จื่อ อี๋" และครอบครัวที่ขาดทุนถึง 400 ล้านหยวน ตีเป็นเงินไทยก็มากกว่า 2,186 ล้านบาท จากปัญหาตลาดหุ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ครั้งสำคัญนี้

แต่ที่เรียกเสียงฮือฮากว่าใครในวิกฤตนี้ เห็นจะเป็น "องค์หญิงกำมะลอ"
© ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ องค์หญิง "ระทม" ติดหล่ม...หุ้นมังกร
รายงานข่าวสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา "เจ้า เหว่ย" และสามีนักธุรกิจหนุ่ม "หวง หยูหลง" สูญเงินรวมกันแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาทไทย หรือประมาณ 4,000 ล้านหยวน จากการถือหุ้น Alibaba Pictures ซึ่งเจ้า เหว่ย และสามี เข้าไปถือหุ้นเป็นอันดับ 2 รองจาก "แจ็ค หม่า" เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา


หุ้นดังกล่าวเคยมีมูลค่าสูงถึง 4.40 เหรียญฮ่องกงต่อหุ้น...แต่วันนี้มูลค่าหุ้นได้ดำดิ่งเหลือเพียงแค่ 1.6 เหรียญฮ่องกง

ไม่กี่เดือนก่อน เว็บไซต์นิตยสารฟอร์บส Forbes เพิ่งจัดอันดับ "เจ้า เหว่ย" ว่าเป็นนักแสดงหญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก จากทรัพย์สินของเธอและสามีรวมกันประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ด้วยบทบาทนักแสดง ความขยัน และฉลาดในการลงทุนธุรกิจ ส่งผลให้ "เจ้า เหว่ย" เป็นนักแสดงที่โด่งดังมากที่สุดคนหนึ่งในจีน จากรายได้การแสดง รายได้จากการโฆษณาตั้งแต่สินค้าสุขภาพความงาม ไวน์ รถจักรยานยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์, โทรศัพท์มือถือ, จิวเวลรี่ และสินค้าแฟชั่นหรู เป็นต้น

เมื่อยากจะคาดเดาว่าปรากฏการณ์หุ้นจีนดำดิ่งจะไหลลามไปมากน้อยและกินเวลายาวนานแค่ไหน ย่อมสร้างความหวั่นวิตกให้ทั่วโลกต้องจับตา เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า "พลังซื้อ" ที่มหาศาลของชาวจีนที่เดินทางออกไปท่องเที่ยวทั่วโลกนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดและกำลังซื้อที่สำคัญ

เฉกเช่นเดียวกับ "เมืองไทย" ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สดใสนี้ อุตสาหกรรม "ท่องเที่ยว" กลายเป็นเครื่องยนต์เดียวที่เป็นความหวังโดยเฉพาะตลาดหลักอย่างนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งคาดว่าจะเดินทางเข้ามา 7 ล้านคนในปีนี้ สอดรับกับตัวเลขการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามา มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อวันสูงเป็นอันดับหนึ่ง คือ 6,346 บาทต่อคนต่อวัน มากกว่าค่าเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวทุกชาติที่อยู่ประมาณ 4,950 บาทต่อคนต่อวัน

เมื่อรายได้จากการท่องเที่ยว 2.3 ล้านล้านบาท มาจากทัวริสต์จีนถึง 18% หรือกว่า 3.3 แสนล้านบาท

การติดหล่มของ "จีน" ครานี้ จึงชวนให้ "ไทย" ตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ไม่น้อย

ที่มา:http://www.msn.com/th-th/money/news/%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%97%e0%b8%a1-%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b8%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a3/ar-AAd33qR?ocid=mailsignoutmd

ดังนั้น :นักลงทุนไทย เม่าไทยอย่าเพิ่งตื่นตะหนกครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่