พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบอุปนนิสัยของพราหมณ์ผู้นี้แล้ว เสด็จไปบิณฑบาตที่นาของ
พราหมณ์ ขณะกำลังประชุมพวกพ้อง ทำมงคลแรกนากันอยู่อย่างเอิกเกริก
พราหมณ์ได้เห็นพระองค์มาประทับยืนบิณฑบาตอยู่ใกล้ ๆ จึงกล่าวบริภาษพระองค์ขึ้นก่อนดังต่อไปนี้:
“สมณะ! เราย่อมไถนา ย่อมหว่าน, ครั้นไถแล้วหว่านแล้ว จึงได้บริโภค. สมณะ!
ถึงแม้ท่านก็จงไถหว่านเข้าซิ ครั้นไถแล้วหว่านแล้ว จักได้บริโภคถิด ฯ”.
พราหมณ์! ถึงแม้เรา ก็ย่อมไถนา ย่อมหว่าน, ครั้นไถแล้วหว่านแล้ว
จึงได้บริโภคเหมือนกัน.
“ก็พวกเราไม่เห็นแอก ไถ ผาล ปฏัก หรือควายทั้งหลายของพระโคดมเลย. แต่พระโคดมซิ
มากล่าวอยู่ดังนี้”.ครั้นพราหมณ์กล่าวดังนี้แล้ว ได้กล่าวคำที่ผูกเป็นกาพย์สืบไป เป็นการโต้ตอบกัน :
“ท่านปฏิญญาตัวเองว่าเป็นชาวนา แต่เข้าพเจ้ามิได้เห็นไถของท่าน. ท่านผู้เป็น
ชาวนา ถูกข้าพเจ้าถามแล้ว จงบอก ไฉน โดยวิธีที่ข้าพเจ้าจะรู้จักการไถหว่านของท่านได้เถิด”.
“ศรัทธาเป็นพืช”,พระองค์ตอบ, “ความเผาผลาญ
กิเลสเป็นน้ำฝน, ปัญญาของเราเป็นแอก และคันไถ,
หิริเป็นงอนไถ, ใจเป็นเชือกชัก, สติของเราเป็นผาลและปฏัก,
เรามีกายคุ้มครองแล้ว มีวาจาคุ้มครองแล้ว เป็นผู้
สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เป็นรั้วนา,
เราทำความสัจจ์(ด้วยคำสัตย์) ให้เป็นผู้ถากหญ้าทิ้ง (คือวาจาสับปรับ)
ความยินดีในพระนิพพาน (ที่เราได้รู้รสแล้ว) เป็นกำหนดการเลิก
ทำนา, ความเพียรของเรา เป็นผู้ลากแอกไปให้สมหวัง ลากไปสู่
แดนอันเป็นความเกษมจากโยคะ, ไปมาอยู่ ๆ ไม่เวียนกลับ,
ยังที่ซึ่งบุคคลไปถึงแล้วย่อมไม่เศร้าโศก. การทำนา
ที่ไถแล้วอย่างนี้ นาที่เราทำนั้นย่อมมีความเป็นอมตะ คือความ
ไม่ตายเป็นผล, ครั้นบุคคลทำนาอย่างนี้เสร็จแล้ว ย่อมหลุดพ้น
จากความทุกข์ ทั้งปวงได้ ฯ”.
กสิภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า ท่านพระโคดมผู้เป็นชาวนา ขอจง
บริโภคอมฤตผลที่ท่านพระโคดมไถนั้นเถิด ฯ

บาลี พราหมณสํยุตต์ สคาถ. สํ. ๑๕/๖๗๒-๖๗๔/๒๕ ตรัสแก่พราหมณ์กสิภารทวาช ที่นาตำบล
พราหมณคาม ทักขิณาคิรีชนบท แคว้นมคธ.
ทรงทำนาที่มีอมตะเป็นผล.
พราหมณ์ ขณะกำลังประชุมพวกพ้อง ทำมงคลแรกนากันอยู่อย่างเอิกเกริก
พราหมณ์ได้เห็นพระองค์มาประทับยืนบิณฑบาตอยู่ใกล้ ๆ จึงกล่าวบริภาษพระองค์ขึ้นก่อนดังต่อไปนี้:
“สมณะ! เราย่อมไถนา ย่อมหว่าน, ครั้นไถแล้วหว่านแล้ว จึงได้บริโภค. สมณะ!
ถึงแม้ท่านก็จงไถหว่านเข้าซิ ครั้นไถแล้วหว่านแล้ว จักได้บริโภคถิด ฯ”.
พราหมณ์! ถึงแม้เรา ก็ย่อมไถนา ย่อมหว่าน, ครั้นไถแล้วหว่านแล้ว
จึงได้บริโภคเหมือนกัน.
“ก็พวกเราไม่เห็นแอก ไถ ผาล ปฏัก หรือควายทั้งหลายของพระโคดมเลย. แต่พระโคดมซิ
มากล่าวอยู่ดังนี้”.ครั้นพราหมณ์กล่าวดังนี้แล้ว ได้กล่าวคำที่ผูกเป็นกาพย์สืบไป เป็นการโต้ตอบกัน :
“ท่านปฏิญญาตัวเองว่าเป็นชาวนา แต่เข้าพเจ้ามิได้เห็นไถของท่าน. ท่านผู้เป็น
ชาวนา ถูกข้าพเจ้าถามแล้ว จงบอก ไฉน โดยวิธีที่ข้าพเจ้าจะรู้จักการไถหว่านของท่านได้เถิด”.
“ศรัทธาเป็นพืช”,พระองค์ตอบ, “ความเผาผลาญ
กิเลสเป็นน้ำฝน, ปัญญาของเราเป็นแอก และคันไถ,
หิริเป็นงอนไถ, ใจเป็นเชือกชัก, สติของเราเป็นผาลและปฏัก,
เรามีกายคุ้มครองแล้ว มีวาจาคุ้มครองแล้ว เป็นผู้
สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เป็นรั้วนา,
เราทำความสัจจ์(ด้วยคำสัตย์) ให้เป็นผู้ถากหญ้าทิ้ง (คือวาจาสับปรับ)
ความยินดีในพระนิพพาน (ที่เราได้รู้รสแล้ว) เป็นกำหนดการเลิก
ทำนา, ความเพียรของเรา เป็นผู้ลากแอกไปให้สมหวัง ลากไปสู่
แดนอันเป็นความเกษมจากโยคะ, ไปมาอยู่ ๆ ไม่เวียนกลับ,
ยังที่ซึ่งบุคคลไปถึงแล้วย่อมไม่เศร้าโศก. การทำนา
ที่ไถแล้วอย่างนี้ นาที่เราทำนั้นย่อมมีความเป็นอมตะ คือความ
ไม่ตายเป็นผล, ครั้นบุคคลทำนาอย่างนี้เสร็จแล้ว ย่อมหลุดพ้น
จากความทุกข์ ทั้งปวงได้ ฯ”.
กสิภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า ท่านพระโคดมผู้เป็นชาวนา ขอจง
บริโภคอมฤตผลที่ท่านพระโคดมไถนั้นเถิด ฯ
บาลี พราหมณสํยุตต์ สคาถ. สํ. ๑๕/๖๗๒-๖๗๔/๒๕ ตรัสแก่พราหมณ์กสิภารทวาช ที่นาตำบล
พราหมณคาม ทักขิณาคิรีชนบท แคว้นมคธ.