วันนี้ทีมงาน ShineStock☀ ไปฟังสัมมนาฟรีที่ตลาดหลักทรัพย์(#mindsetระดับล่าง ) ได้ไอเดียมาค่อนข้างมาก
โดยบริษัทที่มาร่วมแชร์ในวันนี้คือ CK-GUNKUL-MEGA-BKD
มาดูกันครับว่าน่าสนใจรึเปล่า
☀1) มองภาพรวมเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน มีศักยภาพในการเติบโตสูงอีกมากในอนาคตอันใกล้นี่ครับเนื่องจาก
- ทั้งๆที่จำนวนประชากรที่มากกว่าไทย แต่รายได้ประชากรและโครงสร้างพื้นฐานยังน้อยกว่าไทยมาก(ยังต้องมีการลงทุน/บริโภคสูงขึ้นอีกเยอะมาก)
- การลดกำแพงภาษีและเงื่อนไขในการขนถ่ายสินค้าและแรงงานระหว่างกัน จะช่วยให้การเข้าไปหาโอกาสมีมากขึ้น
- ที่น่าสนใจคือกลุ่ม CLMV ที่ไทยได้เปรียบทางภูมิศาสตร์(อยู่ตรงกลาง)เพื่อเชื่อมต่อ/ขนส่ง และไทยมีคุณภาพสินค้าที่ดี
-ยังรวมถึงโอกาสของ Asian+6 คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ที่จะมีความร่วมมือกันในอนาคต
☀2)CK
2.1 ธุรกิจของ CK มี 2 อย่าง คือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจการลงทุน(เน้นเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น น้ำปะปา ทางด่วน โรงไฟฟ้า รถไฟฟ้า)
2.2 การลงทุนในเพื่อนบ้านที่ผ่านมา
- CK จะแหย่เข้าไปเริ่มจากการรับเหมาก่อน มีทั้งเวียดนาม กัมพูชา และลาว สักพักถึงจะเริ่มเอาธุรกิจการลงทุนเข้าไป
- ในลาวมีโครงการลงทุนเขื่อนที่สร้างเสร็จแล้ว 1 แห่ง คือ น้ำงึม 2 กำลังการผลิตไฟฟ้า 600MW สัมปทาน 27 ปี เริ่มจ่ายไฟเมื่อ 2011(สร้างมาตั้งแต่ปี 2005) รายได้ต่อปี 4,000 ล้าน อัตรากำไรสุทธิ 30%
- โครงการในลาวที่กำลังสร้างคือไซยบุรี(progress 50%) ขนาด 1200MW จ่ายไฟได้ปี 2019 อันนี้รูปแบบเขื่อนจะเป็นแบบฝายชะลอน้ำที่ปล่อยใ้ห้น้ำไหลผ่านตลอด 24 ชม. ทำให้ผลิตไฟได้นานมากกว่าหากเทียบกับเขื่อนน้ำงึม2ที่ไม่สามารถปล่อยน้ำได้ตลอด
- ในพม่ากำลังอยู่ระหว่างศึกษาสัมปทานน้ำประปาแบบTTW ในเมืองเมาะลำไย(เมืองใหญ่อันดับ 3 ในพม่า) และศึกษาโครงการเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าชนิดต่างๆ โดยเฉพาะแม่น้ำสาละวินมีศักยภาพในการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าได้ถึง 20,000MW!
- ก่อนเข้าไปเพื่อนบ้านต้องศึกษา "กฎระเบียบ-ภาษี-นิสัยของคนประเทศนั้น"
- อย่าไปบอกลาวว่าเราเป็นพี่น้อง คนลาวจะไม่ชอบ ให้มองว่าเราเสมอกัน อย่าไปดูถูกเค้าเพราะเค้าก็มีความรู้พอๆกับเรา
2.3 โครงการในอนาคต AEC+ไทย
- การประมูลรถไฟฟ้าสายสีชมพู-ส้ม-เหลือง
- การได้สัญญาเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย
- การเข้าไปประมูลงานก่อสร้างทั้งถนนและสะพาน ในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรองรับการเชื่อมต่อในภูมิภาค
- การลงทุน ทั้งประปาและโรงไฟฟ้าที่มีโอกาสเยอะมากๆ เพราะจากการคาดการณ์ใช้ไฟฟ้าทุกประเทศในอาเซียนอีก 20ปี จะสูงขึ้น 90%ในไทย และ 200-400% ในพม่า-กัมพูชา-เวียดนาม
- การปรับโครงสร้างภายในองค์กร เช่น การควบรวม BMCL+BECL เพื่อไปลงทุนทางด่วน/รถไฟฟ้าในเพื่อนบ้าน
☀3)GUNKUL
3.1โครงสร้างธุรกิจแบ่งเป็นการรับเหมาก่อสร้างระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า(47%) + ธุรกิจการลงทุน(1% ยังน้อยอยู่แต่จะเพิ่มแบบมีนัยยะใน 2-3 ปีนี้ เน้นในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน)+ธุรกิจ Trading อุปกรณ์ไฟฟ้าระบบสายส่ง(50%)
3.2การลงทุนในเพื่อนบ้านที่ผ่านมา
-มีธุรกิจในพม่ามา 18 ปีแล้ว เจ๊งไป 8 ปีแรก ได้ที่ขาดทุนคืนมาทั้งหมดในช่วง 5 ปีหลัง ทำให้ Gunkul เชียวชาญมาในพม่า
-โดย Gunkul มีบริษัทด้าน Logistic และโรงไฟฟ้า 50MW ในพม่า(กำไรจากโรงไฟฟ้าปีละ 2 ล้านusd)
-พม่าห้ามต่างชาติทำบริษัทเทรดดิ้ง>>ทำได้แต่เป็น Distributor ในการกระจายสินค้าเท่านั้น และรัฐมีการจำกัดปริมานนำเข้า=ปริมานส่งออก ทำให้มีการขายโควต้ากันในพม่า
-พม่ามีพื้นที่มากกว่าไทย 30% มีประชากรเยอะกว่าไทยโดยมีประชากรรวมแล้ว 70-80 ล้านคน แต่พม่ามีโรงไฟฟ้าเพียง 6000MW เทียบกับไทยมี 36,000MW(4เท่า)
-จากข้อมูลนั้นๆ ทำให้งานเรื่องการวางระบบสายส่งในพม่ามีโอกาสอีกเยอะมาก
-ใครอยากสร้างโรงไฟฟ้าในพม่าต้องโฟกัสตามนิคมหรือเมืองเป็นจุดๆ เพราะ loss ระหว่างทางสูงมากถึง 15%
-พอพม่าเปิดประเทศได้ 3 ปี ญี่ปุ่น พยายามเข้าไปเป็นพวง คือ ทำตั้งแต่สร้างนิคม-รับเหมาเอง-ยันจบ มีนิคมของญี่ปุ่นที่สำเร็จไปแล้ว(จำชื่อไม่ได้) ทำให้ Gunkul ต้องมองและวางยุทธศาสตร์ใหม่
-ของไทยมีนิคมทวายที่ใหญ่มากๆ หากเอานิคม 37 แห่งของไทยมารวมกันยังใหญ่ไม่เท่า แต่พอมันใหญ่เกินไปเลยยังกักๆกันอยู่ไ่ม่มีใครกล้าลงมือสักที ถ้าสำเร็จจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทีเดียว
-การลงทุนใน CLMV "ไม่ง่าย-เขาไม่โง่-อย่าไปเอาเปรียบเขา"
-ทุกโครงการที่ Gunkul จะลงทุนในต่างประเทศ IRR ต้องไม่น้อยกว่า 14% และต้องสร้างเสร็จเร็วเพื่อไม่ให้เงินจมถ้าจะให้ทำเขื่อนอย่าง CK ที่ต้องรอ 6-8ปีกว่าจะสร้างเสร็จเราไม่ลงทุน
-นอกจากพม่า ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าโซล่าที่ญี่ปุ่น 67MW ที่กำลังสร้างน่าจะรับรู้รายได้ใน ปี2559 รูปแบบสัญญาเป็น FIT
-ปี58 รายได้รวมน่าจะแตะ 5,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิจะก้าวกระโดดในปี 59 หลังโรงไฟฟ้าต่างๆทยอย COD
3.3 สิ่งที่ Gunkul จะเดินต่อไปในอนาคต
-ใน 4-5 ปีหน้า ต้องการนำบริษัทเข้า SET50 ต้องมี Mkt.cap 55,000 ล้านบาท
-รายได้ส่วนใหญ่จะปรับไปเป็นมาจากโรงไฟฟ้าโดยมีเป้าหมายรวม 500MW โดยมีโครงการในมือที่ผลิตแล้วและกำลังก่อสร้างน่าจะเกือบ 150MW จากแผน 396MW ภายในปี 2561(2018) ทั้งโครงการในญี่ปุ่น พม่าและในไทย ทำให้กำไรและเงินสดที่จะได้รับในแต่ละปีเติบโตแบบก้าวกระโดดและมั่นคงในระยะยาว
-การทำ Asian Grid คือ การเชื่อมระบบสายส่งไฟฟ้าของประเทศเพื่อนบ้านเข้าด้วยกัน ทำให้ทุกประเศต้องปรับปรุงสายส่งให้ตรงกัน เป็นโอกาสสำหรับงานรับเหมาของ Gunkul
-ปัญหาสายส่งไม่พอในอีสานลงไปภาคกลาง เพราะลาวผลิตไฟฟ้าได้มาก แต่ส่งไปภาคใต้ที่ขาดแคลนไม่ได้ ก็เป็นโอกาสสำหรับงานรับเหมาของ Gunkul ที่การไฟฟ้าต้องสร้างให้เสร็จภายในปี 61
☀4)MEGA
4.1ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายยา วิตามินและอาหารเสริม มีทั้งแบรนด์ตัวเอง(94%)และทำ OEM ให้คนอื่น(6%) โดยมีโรงงานผลิตในไทยพึ่งปรับปรุงเสร็จเมื่อปีที่แล้ว สามารถรองรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้ 2 เท่าจากยอดขายปัจจุบัน
4.2การลงทุนในเพื่อนบ้านที่ผ่านมา
-MEGA ไปพม่า เวียดนาม มาเกือบ 20 ปีแล้ว มีประสบการณ์สูง ใช้เงินลงทุนไม่เยอะเพราะเราไปตั้งแค่สำนักงานและสร้างทีมขายในแต่ละประเทศ
-Mega เน้นขายตามร้านยา ไม่ได้เน้นขายตามโรงพยาบาล ยาส่งนใหญ่เป็นอาหารเสริม หรือไม่ก็ยาแก้ปวดเล็กๆน้อยๆ
-ในประเทศ CLMV นำเข้ายาเองไม่ได้ต้องผ่านบริษัทท้องถิ่น(เสียค่า fee) แต่เราไปทำเรื่อง Distribution ได้และเน้นการสร้างแบรนด์ยา/อาหารเสริมของตัวเอง
-ที่พม่า mega มีบริษัท logistic service เป็นของตัวเองเพื่อกระจายสินค้าเข้าร้านยา มี warehouse ใน 7 เมือง เพื่อส่งสินค้าของตัวเองและรับจ้างลูกค้ารายอื่นๆที่มาขยายตลาดในพม่า(mega กิน%จากปริมานที่ขนส่ง)
-นอกจากนี้ยังโฟกัสไปที่แอฟริกาซึ่งถือเป็นตลาดที่มีโอกาสโตสูงเช่นกันมีสัดส่วนรายได้ 11% ยูเครนมีเล็กน้อย 2%ของรายได้รวม
-ธุรกิจของเราต้องสร้างทีม+สร้างคนเพื่อขายและให้บริการต้อง Connect กับลูกค้า คือ ร้านยาและหมอ>>copy ไม่ยากทำให้คู่แข่งเยอะ
-ยอดขายยาในไทย 4,500 ล้านusd
ในพม่า 500 ล้านusd ในเวียดนาม 2,000ล้านusd ทั้งๆที่ 2 ประเทศมีประชากรมากกว่าไทย ทำให้มีโอกาสเติบโตสูง
-ในไทยมีคู่แข่งโรงงานผลิตยา 180 แห่ง เป็นรายใหญ่ 10 เจ้า ที่เหลือเป็นรายเล็กๆ
-ในธุรกิจยา+อาหารเสริมคู่แข่งเยอะมากๆคนที่มี market share มากสุดในโลกยังมีแค่ 5-6% เท่านั้นเอง
-มองว่าคู่แข่งที่จะเข้าไปพม่า เวียดนามรายใหม่ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปีกว่าจะลงตัว
4.3ทิศทางของ Mega ในอนาคต
-ทำรายได้ให้มากขึ้นเป็น 2 เท่าใน 4-5 ปีหน้า
-เน้นลงทุนขยายตลาดในต่างประเทศ โดยในพม่า-เวียดนาม-กัมพูชา ยังมี Growth ที่สูงแต่ในประเทศไทยเริ่มชะลอตัว
-ฟิลิปปินส์และอินโดก็เป็นที่ๆจะไปบุกตลาด โดยในอินโด mega อาจสร้างโรงงานผลิตยาด้วยเพราะที่นั่นห้ามนำเข้ายา
-แอฟริกาโซนกลางเริ่มที่ประเทศไนจีเรีย ถือเป็นตลาดที่ mega โฟกัสมากเช่นกันมีทีมขายแล้ว และจะขยายไปยังประเทศรอบข้าง
-บริษัท logistic ของเราในพม่าก็มีโอกาสโตได้อีกเพราะบริษัทอื่นๆที่เริ่มขยับเข้าไปพม่ามาใช้บริการมากขึ้น
-เน้นการเพิ่มสินค้าใหม่ๆและซื้อลิขสิทธิ์ยาใหม่ๆ เน้นการทำ Marketing มากกว่าการลงทุนใน Asset
-งบ R&D ประมาน 3% ของยอดขาย
☀5)BKD
5.1ธุรกิจรับเหมา ตกแต่งภายในอาคารแบบครบวงจร คือ ผลิตในโรงงานเป็น lot ใหญ่ นำไปติดตั้งใช้เวลาไม่นาน
5.2การลงทุนในเพื่อนบ้านที่ผ่านมา
-เมื่อ 10 ปีก่อนเคยไปทำ Showroom ที่ดูไบแต่ขาดทุน 8 หลักภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ทำให้ได้บทเรียนว่าจะไม่เสี่ยง ไม่ไปแบบเต็มตัวอีก
-BKD พึ่งจะเข้าไปประเทศเพื่อนบ้านที่แรกคือ กัมพูชา ไม่เหมือนกับ 3 บริษัทที่มาวันนี้ เพราะประสบการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านสูงกว่า bkd มากๆ
-โครงการสร้างหมู่บ้านในกัมพูชาเป็นของ ชิบหมง กรุ๊ป ที่เป็นบริษัทใหญ่ของที่นู้น โดยเราพยายามเซฟตัวเองมากที่สุดจากบทเรียนครั้งก่อน คือ รับเงินก่อน 95% ก่อนที่จะส่งของ
-โดย BKD ลงนามในเฟสแรก 1พันหลังมูลค่างาน 1,000 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปี q4/58 ไปจนถึงปี 2561
-ลักษณะงานจะเป็น ผลิต Futniture เตรียมของทุกอย่างที่โรงงาน>>รับเงิน 95%>>export และส่งคนงานไปติดตั้งแบบ pre-fab ที่หน้างาน
-อัตรากำไรจองต่างประเทศเราตั้งไว้ 2 เท่าหากเทียบกับมนประเทศ คือ gross และ net margin = 40% และ 20% ตามลำดับ
-ใช้คนงานจากไทย(แต่อาจเป็นคนพม่า-กัมพูชา) เพราะ Partner ไม่เชื่อฝีมือคนงานในกัมพูชาที่ทักษะยังไม่สูงพอ
-Partner ที่นู้นจะเตรียมที่อยู่และอาหารให้คนงานเราทั้งหมด
5.3โครงการที่เป็นไปได้ในอนาคต
-ดูในพม่าไว้เพราะเคยไป Survey พบว่ามีงานเยอะมากๆ แต่เจอจีนเป็นคู่แข่งซึ่งดัมพ์ราคาลงมาจนเราไม่มีกำไร จนเรายอมถอยหากเจอจีน
-แต่เราก็ยังมองโอกาสและหาตลาดใน segment ที่สูงขึ้นคือ mid-high เพราะฝีมือและราคาเราน่าจะสู้ได้
-งานของกัมพูชา หากสำเร็จด้วยดีในเฟสแรก อาจได้รับงานในเฟส 2-5 อีกจากลูกค้าคนเดิม โดยเฟสนึงมีประมาณ 800 หลัง
-หากจะไปต่างประเทศอีกจะต้องไม่เสี่ยง เน้นแบบส่งออก หรือจับมือกับ local partner ไม่เข้าไปแบบเต็มตัวเพราะได้บทเรียนจากดูไบ
เมื่อพวก #mindsetระดับล่าง รวมตัวกัน สาระเพียบกว่าคอร์สเสียเงินอีก
โดยบริษัทที่มาร่วมแชร์ในวันนี้คือ CK-GUNKUL-MEGA-BKD
มาดูกันครับว่าน่าสนใจรึเปล่า
☀1) มองภาพรวมเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน มีศักยภาพในการเติบโตสูงอีกมากในอนาคตอันใกล้นี่ครับเนื่องจาก
- ทั้งๆที่จำนวนประชากรที่มากกว่าไทย แต่รายได้ประชากรและโครงสร้างพื้นฐานยังน้อยกว่าไทยมาก(ยังต้องมีการลงทุน/บริโภคสูงขึ้นอีกเยอะมาก)
- การลดกำแพงภาษีและเงื่อนไขในการขนถ่ายสินค้าและแรงงานระหว่างกัน จะช่วยให้การเข้าไปหาโอกาสมีมากขึ้น
- ที่น่าสนใจคือกลุ่ม CLMV ที่ไทยได้เปรียบทางภูมิศาสตร์(อยู่ตรงกลาง)เพื่อเชื่อมต่อ/ขนส่ง และไทยมีคุณภาพสินค้าที่ดี
-ยังรวมถึงโอกาสของ Asian+6 คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ที่จะมีความร่วมมือกันในอนาคต
☀2)CK
2.1 ธุรกิจของ CK มี 2 อย่าง คือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจการลงทุน(เน้นเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น น้ำปะปา ทางด่วน โรงไฟฟ้า รถไฟฟ้า)
2.2 การลงทุนในเพื่อนบ้านที่ผ่านมา
- CK จะแหย่เข้าไปเริ่มจากการรับเหมาก่อน มีทั้งเวียดนาม กัมพูชา และลาว สักพักถึงจะเริ่มเอาธุรกิจการลงทุนเข้าไป
- ในลาวมีโครงการลงทุนเขื่อนที่สร้างเสร็จแล้ว 1 แห่ง คือ น้ำงึม 2 กำลังการผลิตไฟฟ้า 600MW สัมปทาน 27 ปี เริ่มจ่ายไฟเมื่อ 2011(สร้างมาตั้งแต่ปี 2005) รายได้ต่อปี 4,000 ล้าน อัตรากำไรสุทธิ 30%
- โครงการในลาวที่กำลังสร้างคือไซยบุรี(progress 50%) ขนาด 1200MW จ่ายไฟได้ปี 2019 อันนี้รูปแบบเขื่อนจะเป็นแบบฝายชะลอน้ำที่ปล่อยใ้ห้น้ำไหลผ่านตลอด 24 ชม. ทำให้ผลิตไฟได้นานมากกว่าหากเทียบกับเขื่อนน้ำงึม2ที่ไม่สามารถปล่อยน้ำได้ตลอด
- ในพม่ากำลังอยู่ระหว่างศึกษาสัมปทานน้ำประปาแบบTTW ในเมืองเมาะลำไย(เมืองใหญ่อันดับ 3 ในพม่า) และศึกษาโครงการเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าชนิดต่างๆ โดยเฉพาะแม่น้ำสาละวินมีศักยภาพในการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าได้ถึง 20,000MW!
- ก่อนเข้าไปเพื่อนบ้านต้องศึกษา "กฎระเบียบ-ภาษี-นิสัยของคนประเทศนั้น"
- อย่าไปบอกลาวว่าเราเป็นพี่น้อง คนลาวจะไม่ชอบ ให้มองว่าเราเสมอกัน อย่าไปดูถูกเค้าเพราะเค้าก็มีความรู้พอๆกับเรา
2.3 โครงการในอนาคต AEC+ไทย
- การประมูลรถไฟฟ้าสายสีชมพู-ส้ม-เหลือง
- การได้สัญญาเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย
- การเข้าไปประมูลงานก่อสร้างทั้งถนนและสะพาน ในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรองรับการเชื่อมต่อในภูมิภาค
- การลงทุน ทั้งประปาและโรงไฟฟ้าที่มีโอกาสเยอะมากๆ เพราะจากการคาดการณ์ใช้ไฟฟ้าทุกประเทศในอาเซียนอีก 20ปี จะสูงขึ้น 90%ในไทย และ 200-400% ในพม่า-กัมพูชา-เวียดนาม
- การปรับโครงสร้างภายในองค์กร เช่น การควบรวม BMCL+BECL เพื่อไปลงทุนทางด่วน/รถไฟฟ้าในเพื่อนบ้าน
☀3)GUNKUL
3.1โครงสร้างธุรกิจแบ่งเป็นการรับเหมาก่อสร้างระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า(47%) + ธุรกิจการลงทุน(1% ยังน้อยอยู่แต่จะเพิ่มแบบมีนัยยะใน 2-3 ปีนี้ เน้นในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน)+ธุรกิจ Trading อุปกรณ์ไฟฟ้าระบบสายส่ง(50%)
3.2การลงทุนในเพื่อนบ้านที่ผ่านมา
-มีธุรกิจในพม่ามา 18 ปีแล้ว เจ๊งไป 8 ปีแรก ได้ที่ขาดทุนคืนมาทั้งหมดในช่วง 5 ปีหลัง ทำให้ Gunkul เชียวชาญมาในพม่า
-โดย Gunkul มีบริษัทด้าน Logistic และโรงไฟฟ้า 50MW ในพม่า(กำไรจากโรงไฟฟ้าปีละ 2 ล้านusd)
-พม่าห้ามต่างชาติทำบริษัทเทรดดิ้ง>>ทำได้แต่เป็น Distributor ในการกระจายสินค้าเท่านั้น และรัฐมีการจำกัดปริมานนำเข้า=ปริมานส่งออก ทำให้มีการขายโควต้ากันในพม่า
-พม่ามีพื้นที่มากกว่าไทย 30% มีประชากรเยอะกว่าไทยโดยมีประชากรรวมแล้ว 70-80 ล้านคน แต่พม่ามีโรงไฟฟ้าเพียง 6000MW เทียบกับไทยมี 36,000MW(4เท่า)
-จากข้อมูลนั้นๆ ทำให้งานเรื่องการวางระบบสายส่งในพม่ามีโอกาสอีกเยอะมาก
-ใครอยากสร้างโรงไฟฟ้าในพม่าต้องโฟกัสตามนิคมหรือเมืองเป็นจุดๆ เพราะ loss ระหว่างทางสูงมากถึง 15%
-พอพม่าเปิดประเทศได้ 3 ปี ญี่ปุ่น พยายามเข้าไปเป็นพวง คือ ทำตั้งแต่สร้างนิคม-รับเหมาเอง-ยันจบ มีนิคมของญี่ปุ่นที่สำเร็จไปแล้ว(จำชื่อไม่ได้) ทำให้ Gunkul ต้องมองและวางยุทธศาสตร์ใหม่
-ของไทยมีนิคมทวายที่ใหญ่มากๆ หากเอานิคม 37 แห่งของไทยมารวมกันยังใหญ่ไม่เท่า แต่พอมันใหญ่เกินไปเลยยังกักๆกันอยู่ไ่ม่มีใครกล้าลงมือสักที ถ้าสำเร็จจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทีเดียว
-การลงทุนใน CLMV "ไม่ง่าย-เขาไม่โง่-อย่าไปเอาเปรียบเขา"
-ทุกโครงการที่ Gunkul จะลงทุนในต่างประเทศ IRR ต้องไม่น้อยกว่า 14% และต้องสร้างเสร็จเร็วเพื่อไม่ให้เงินจมถ้าจะให้ทำเขื่อนอย่าง CK ที่ต้องรอ 6-8ปีกว่าจะสร้างเสร็จเราไม่ลงทุน
-นอกจากพม่า ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าโซล่าที่ญี่ปุ่น 67MW ที่กำลังสร้างน่าจะรับรู้รายได้ใน ปี2559 รูปแบบสัญญาเป็น FIT
-ปี58 รายได้รวมน่าจะแตะ 5,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิจะก้าวกระโดดในปี 59 หลังโรงไฟฟ้าต่างๆทยอย COD
3.3 สิ่งที่ Gunkul จะเดินต่อไปในอนาคต
-ใน 4-5 ปีหน้า ต้องการนำบริษัทเข้า SET50 ต้องมี Mkt.cap 55,000 ล้านบาท
-รายได้ส่วนใหญ่จะปรับไปเป็นมาจากโรงไฟฟ้าโดยมีเป้าหมายรวม 500MW โดยมีโครงการในมือที่ผลิตแล้วและกำลังก่อสร้างน่าจะเกือบ 150MW จากแผน 396MW ภายในปี 2561(2018) ทั้งโครงการในญี่ปุ่น พม่าและในไทย ทำให้กำไรและเงินสดที่จะได้รับในแต่ละปีเติบโตแบบก้าวกระโดดและมั่นคงในระยะยาว
-การทำ Asian Grid คือ การเชื่อมระบบสายส่งไฟฟ้าของประเทศเพื่อนบ้านเข้าด้วยกัน ทำให้ทุกประเศต้องปรับปรุงสายส่งให้ตรงกัน เป็นโอกาสสำหรับงานรับเหมาของ Gunkul
-ปัญหาสายส่งไม่พอในอีสานลงไปภาคกลาง เพราะลาวผลิตไฟฟ้าได้มาก แต่ส่งไปภาคใต้ที่ขาดแคลนไม่ได้ ก็เป็นโอกาสสำหรับงานรับเหมาของ Gunkul ที่การไฟฟ้าต้องสร้างให้เสร็จภายในปี 61
☀4)MEGA
4.1ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายยา วิตามินและอาหารเสริม มีทั้งแบรนด์ตัวเอง(94%)และทำ OEM ให้คนอื่น(6%) โดยมีโรงงานผลิตในไทยพึ่งปรับปรุงเสร็จเมื่อปีที่แล้ว สามารถรองรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้ 2 เท่าจากยอดขายปัจจุบัน
4.2การลงทุนในเพื่อนบ้านที่ผ่านมา
-MEGA ไปพม่า เวียดนาม มาเกือบ 20 ปีแล้ว มีประสบการณ์สูง ใช้เงินลงทุนไม่เยอะเพราะเราไปตั้งแค่สำนักงานและสร้างทีมขายในแต่ละประเทศ
-Mega เน้นขายตามร้านยา ไม่ได้เน้นขายตามโรงพยาบาล ยาส่งนใหญ่เป็นอาหารเสริม หรือไม่ก็ยาแก้ปวดเล็กๆน้อยๆ
-ในประเทศ CLMV นำเข้ายาเองไม่ได้ต้องผ่านบริษัทท้องถิ่น(เสียค่า fee) แต่เราไปทำเรื่อง Distribution ได้และเน้นการสร้างแบรนด์ยา/อาหารเสริมของตัวเอง
-ที่พม่า mega มีบริษัท logistic service เป็นของตัวเองเพื่อกระจายสินค้าเข้าร้านยา มี warehouse ใน 7 เมือง เพื่อส่งสินค้าของตัวเองและรับจ้างลูกค้ารายอื่นๆที่มาขยายตลาดในพม่า(mega กิน%จากปริมานที่ขนส่ง)
-นอกจากนี้ยังโฟกัสไปที่แอฟริกาซึ่งถือเป็นตลาดที่มีโอกาสโตสูงเช่นกันมีสัดส่วนรายได้ 11% ยูเครนมีเล็กน้อย 2%ของรายได้รวม
-ธุรกิจของเราต้องสร้างทีม+สร้างคนเพื่อขายและให้บริการต้อง Connect กับลูกค้า คือ ร้านยาและหมอ>>copy ไม่ยากทำให้คู่แข่งเยอะ
-ยอดขายยาในไทย 4,500 ล้านusd
ในพม่า 500 ล้านusd ในเวียดนาม 2,000ล้านusd ทั้งๆที่ 2 ประเทศมีประชากรมากกว่าไทย ทำให้มีโอกาสเติบโตสูง
-ในไทยมีคู่แข่งโรงงานผลิตยา 180 แห่ง เป็นรายใหญ่ 10 เจ้า ที่เหลือเป็นรายเล็กๆ
-ในธุรกิจยา+อาหารเสริมคู่แข่งเยอะมากๆคนที่มี market share มากสุดในโลกยังมีแค่ 5-6% เท่านั้นเอง
-มองว่าคู่แข่งที่จะเข้าไปพม่า เวียดนามรายใหม่ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปีกว่าจะลงตัว
4.3ทิศทางของ Mega ในอนาคต
-ทำรายได้ให้มากขึ้นเป็น 2 เท่าใน 4-5 ปีหน้า
-เน้นลงทุนขยายตลาดในต่างประเทศ โดยในพม่า-เวียดนาม-กัมพูชา ยังมี Growth ที่สูงแต่ในประเทศไทยเริ่มชะลอตัว
-ฟิลิปปินส์และอินโดก็เป็นที่ๆจะไปบุกตลาด โดยในอินโด mega อาจสร้างโรงงานผลิตยาด้วยเพราะที่นั่นห้ามนำเข้ายา
-แอฟริกาโซนกลางเริ่มที่ประเทศไนจีเรีย ถือเป็นตลาดที่ mega โฟกัสมากเช่นกันมีทีมขายแล้ว และจะขยายไปยังประเทศรอบข้าง
-บริษัท logistic ของเราในพม่าก็มีโอกาสโตได้อีกเพราะบริษัทอื่นๆที่เริ่มขยับเข้าไปพม่ามาใช้บริการมากขึ้น
-เน้นการเพิ่มสินค้าใหม่ๆและซื้อลิขสิทธิ์ยาใหม่ๆ เน้นการทำ Marketing มากกว่าการลงทุนใน Asset
-งบ R&D ประมาน 3% ของยอดขาย
☀5)BKD
5.1ธุรกิจรับเหมา ตกแต่งภายในอาคารแบบครบวงจร คือ ผลิตในโรงงานเป็น lot ใหญ่ นำไปติดตั้งใช้เวลาไม่นาน
5.2การลงทุนในเพื่อนบ้านที่ผ่านมา
-เมื่อ 10 ปีก่อนเคยไปทำ Showroom ที่ดูไบแต่ขาดทุน 8 หลักภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ทำให้ได้บทเรียนว่าจะไม่เสี่ยง ไม่ไปแบบเต็มตัวอีก
-BKD พึ่งจะเข้าไปประเทศเพื่อนบ้านที่แรกคือ กัมพูชา ไม่เหมือนกับ 3 บริษัทที่มาวันนี้ เพราะประสบการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านสูงกว่า bkd มากๆ
-โครงการสร้างหมู่บ้านในกัมพูชาเป็นของ ชิบหมง กรุ๊ป ที่เป็นบริษัทใหญ่ของที่นู้น โดยเราพยายามเซฟตัวเองมากที่สุดจากบทเรียนครั้งก่อน คือ รับเงินก่อน 95% ก่อนที่จะส่งของ
-โดย BKD ลงนามในเฟสแรก 1พันหลังมูลค่างาน 1,000 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปี q4/58 ไปจนถึงปี 2561
-ลักษณะงานจะเป็น ผลิต Futniture เตรียมของทุกอย่างที่โรงงาน>>รับเงิน 95%>>export และส่งคนงานไปติดตั้งแบบ pre-fab ที่หน้างาน
-อัตรากำไรจองต่างประเทศเราตั้งไว้ 2 เท่าหากเทียบกับมนประเทศ คือ gross และ net margin = 40% และ 20% ตามลำดับ
-ใช้คนงานจากไทย(แต่อาจเป็นคนพม่า-กัมพูชา) เพราะ Partner ไม่เชื่อฝีมือคนงานในกัมพูชาที่ทักษะยังไม่สูงพอ
-Partner ที่นู้นจะเตรียมที่อยู่และอาหารให้คนงานเราทั้งหมด
5.3โครงการที่เป็นไปได้ในอนาคต
-ดูในพม่าไว้เพราะเคยไป Survey พบว่ามีงานเยอะมากๆ แต่เจอจีนเป็นคู่แข่งซึ่งดัมพ์ราคาลงมาจนเราไม่มีกำไร จนเรายอมถอยหากเจอจีน
-แต่เราก็ยังมองโอกาสและหาตลาดใน segment ที่สูงขึ้นคือ mid-high เพราะฝีมือและราคาเราน่าจะสู้ได้
-งานของกัมพูชา หากสำเร็จด้วยดีในเฟสแรก อาจได้รับงานในเฟส 2-5 อีกจากลูกค้าคนเดิม โดยเฟสนึงมีประมาณ 800 หลัง
-หากจะไปต่างประเทศอีกจะต้องไม่เสี่ยง เน้นแบบส่งออก หรือจับมือกับ local partner ไม่เข้าไปแบบเต็มตัวเพราะได้บทเรียนจากดูไบ