เอาไว้พิจารณาประกอบก่อนคอมเม้นท์นักกีฬานะคะ

กระทู้สนทนา
กระทู้นี้แบบว่าตั้งมาเพราะเห็นใจนักกีฬามากอ่ะ

วันนี้ไปทำงาน ด้วยหน้าที่ ทำให้กลับมาไม่ทันดูวอลเลย์บอล เลยเข้ามาอ่านเพื่อจะดูผลการแข่งขัน ก็ตกใจค่ะ ที่มีคนมาวิพากษ์วิจารณ์กันแบบ...
แต่ก็มีกระทู้ดี ๆ ความเห็นที่ดี ๆ ที่อ่านแล้วรู้สึกดีหน่อย

ความจริงนักกีฬาเรา เราก็ต้องยอมรับนะ เราก็มีอะไรที่เป็นรองเขาอยู่ แต่ด้วยหัวใจ สมอง ฝีมือที่มีอยู่ก็พอสู้กับเขาได้สูสี สู้ได้อย่างสนุก

สนามที่ 3 ก็สู้ได้สนุกนะ แต่เราก็คงสังเกตเห็นว่านักกีฬาเราก็ดูแบบ...อีกนิดหนึ่งนะ...แต่ไม่ได้ ซึ่งก็เป็นความจริง แต่เราควรจะมองสภาพการณ์แวดล้อมของสิ่งต่าง ๆ นะ

นักกีฬาเราไม่ได้ใจไม่สู้นะ แต่การเล่น หรือแข่งขันกีฬา ก็ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง และเราควรจะเห็นใจพวกเธออย่างมาก ๆ อย่างน้อยก็คิดสักนิดก่อนพิมพ์วิจารณ์อะไร

ส่วนตัวแล้ว คิดว่านักกีฬายังมีอาการเมาเวลา (jet lag) อยู่ จากการเดินทางข้ามทวีปไปมา
ปกติแล้ว ร่างกายจะปรับสภาพโดยมี การพักผ่อนที่เพียงพอ ไม่มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานมาก โดยใช้เวลา 1 วัน ต่อ 1-2 เส้นเวลา (เส้นเวลาก็คือเส้นเมริเดียน 15องศาลองติจูด ไอ้เส้นตั้ง ๆ อ่ะจ้ะ) โดยทางเดินทางไปทางตะวันตก จะปรับตัวได้ง่ายกว่าการเดินทางไปด้านตะวันออก

อาการเจ็ทแลค ที่พบได้บ่อยคือ นาฬิกาชีวภาพในร่างกายเปลี่ยนแปลง ฮอร์โมนหลั่งผิดปกติ มีผลทำให้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ กังวล หงุดหงิด ซึมเศร้าง่าย นอนไม่หลับ ง่วงกลางวัน มีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ และ พฤติกรรม การตัดสินใจและปฏิกิริยาตอบโต้ช้าลง มีการเปลี่ยนแปลงของประสิทธิภาพในการทำงาน สมาธิไม่ดี ความจำระยะสั้นเสื่อมลง ระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่ายแปรปรวน ภูมิต้านทานโรคก็จะต่ำลง ทำให้ป่วยไข้ง่าย เมื่อเจอสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป (น้องปูป่วยเลย ที่นี้ต้องรอฟังคำวินิจฉัยของแพทย์ล่ะค่ะ ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร)

สำหรับคนเดินทาง ต้องการรักษาอาการเจ็ทแลค วิธีปฏิบัติคือ
- นอน ค่ะ อันนี้เรื่องจริง นอนในที่ที่มีแสงสว่างน้อย ๆ ทำกิจกรรมในที่ร่ม ๆ เพราะแสงแดดจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้มีอาการเจ็ทแลกอยู่ แสงสว่าง เป็นตัว
กระตุ้นที่สำคัญต่อการปรับเวลา การควบคุมอย่างระมัดระวังต่อการได้รับหรือหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าๆ
-นอนให้เร็วขึ้น
-ปรับเวลาในการออกกำลังกายให้น้อยลง
-รับประทานอาหารให้เร็วขึ้นกว่าเดิมประมาณ 30-60 นาที
-อาจใช้ยานอนหลับออกฤทธิ์สั้น (Short acting) ช่วยในการปรับเวลาและเวลาพักผ่อน
( Cr. ถอดความมาจาก นพ.มานพ จิตต์จรัส . http://haamor.com/th/เจทแลค)

ที่นี้มาดูนะคะ จากไทยไปบราซิล นับได้ 10 เส้น ถ้าคำนวณง่าย ๆ ก็น่าจะใช้เวลาปรับตัวประมาณ 4-5 วัน

สาวไทยบินไปถึง มีเวลาปรับตัวก่อนแข่งประมาณ 3-4 วันเอง ไม่เป็นไร พวกนางทนได้ พวกนางเป็นนักกีฬา พวกนางต้องคุ้นชิน พวกนางต้องรู้จักวิธีการดูแลตัวเอง พวกนางต้องอดทน ยากินสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะจ๊ะ (หรือก็ใช้ด้วย) เดี๋ยวตอนตรวจสารก่อนแข่งจะไม่ผ่าน ดีที่ฝนตกแดดน้อย พอมีเวลาปรับตัว ไป...ไปซ้อม
ไปซ้อมซะ ซ้อมให้จงหนัก จะได้ไม่ตกชั้น ซ้อมให้มาก ๆ นะ เธอเจอกะยุโรป บราซิล และเบลเยี่ยมที่พอสูสี แล้วจะได้แข่ง ผลออกมา สาวไทยทำได้ดีเกินคาดแฮะ แข็งแกร่งทนทาน แต่วันหลัง ๆ ดิฉันว่าเธอก็แอบมีเพลีย ๆนะ

ไปเดินทางต่อ ข้ามไปอีก 11 เส้น ไปทางตะวันอออก

โอ้แม่เจ้า กำลังจะปรับตัวได้ บินไปอีกล่ะ ความจริงน่าจะมีเวลาปรับตัว 4-5 วัน แต่ก็มีเวลาประมาณ 2-3 วัน เจอทีมที่แข็งแกร่ง เช่น จีน อเมริกา และญี่ปุ่นที่มีกาวอยู่ใน DNA
จะรออะไร มาถึงยืดเส้นยืดสายคลายกล้ามเนี้อ พักผ่อน ผ่อนคลายพอควร ก็ซ้อมสิคะ รออะไร ซ้อมไป
วันแข่งก็ใช้พลังงานไป ใช้หัวอีก ใจก็สู้อยากชนะ แต่อาการต่าง ๆ นานา เริ่มมาล่ะ เหมือนจะได้ แต่ก็ไม่ได้สักที (แต่ก็สู้ได้สนุกนะ สองวันแรก)
วันที่ 3 อันนี้แม่เราบอกว่า ญี่ปุ่นก็ไม่ได้เล่นดีมาก แต่เราดูดร็อปไป ร่างกาย สภาพสาวไทยลูกหลานเรากรอบแล้วล่ะ คงทนไม่ได้ สมควรได้รับการพักผ่อน แม่เราเทียบอยากให้พวกเธอกลับบ้านมาพักกันเร็ว ๆ เลย (ทีลูกตัวเองไม่เห็นจะสงสารแบบนี้เลย)

มันก็น่าสันนิษฐานได้นะ น่าจากจะมาจากอาการอ่อนเพลียจาก เจทแลคที่สั่งสมไว้ ทั้งร่างกาย จิตใจ สมองมันก็ล้าล่ะ
เมื่อล้าแล้วก็ต้องพัก เพื่อชาร์จพลังใหม่ แต่นี่ได้พักน้อยมาก

มันน่าเห็นใจนะ เราอดนอน นอนน้อย ทำงานหนักกัน สองสามวัน ยังรู้สึกเพลีย หลับต่อหน้าที่ประชุมยังมี บางครั้งหงุดหงิด แต่หน้าก็ต้องยิ้มเพื่องานและเพี่อเงิน บางครั้งไม่ไหวแต่ก็ต้องลากไปจนหมดเวลางาน

แล้วนักวอลเลย์ฯสาวไทยเราล่ะ ร่วมไปถึงผู้ฝึกสอน และทีมงานทุกคนด้วย เขาก็เป็นมนุษย์ มีกลไกการทำงานของร่างกาย คล้าย ๆ เรานะ เห็นใจเขาเถอะ อย่างน้อยเขาก็สายเลือดเชื้อชาติเดียวกับเรานะ ทุ่มเทแค่ไหน ผ่านความลำบากมา ทำให้เราผงาดมาได้ถึงขนาดนี้ แม้เขาจะได้อะไรตอบแทนดี ๆ แต่คิดว่าเขาก็เสียอะไรดี ๆ ไปเหมือนกัน อย่างน้อยก็เวลา ครอบครัว อิสระ ความสนุก เครียดกับความกดดัน มีความกังวลต่าง ๆ

ทุกคนวิจารณ์ได้นะ แต่ก็ควรมีวิจารญาณ ด้วยโซเชี่ยลเนตเวิร์กทำให้โลกเราเร็วขึ้น คำพูดเลยไม่ได้ฆ่าคนอย่างเดียว ตัวหนังสือมันก็ฆ่าได้นะ แม้จะบอกว่านักกีฬาต้องมีจิตใจเข้มแข็ง แต่บ่อยเข้ามันก็ท้อนะ

ที่เขียนมาทั้งหมดก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐาน นักกีฬาอาจมีอาการอ่อนเพลียอย่างที่บอก หรือไม่มีก็ได้

แต่แทนที่เราจะว่าพวกเธอ เราควรจะยกย่องหัวใจเธอมากกว่า ต่อให้พวกเธอทนกับการเดินทางได้ ทนกับความกดดัน และสภาพร่างกายได้ ก็ต้องยอมรับนับถือใจที่อดทนของเธอ

ส่วนพวกเรากองเชียร์ เวลาเดินทางไกลข้ามประเทศ หากมีธุระสำคัญ ถ้าเผื่อเวลาได้ ก็ควรเผื่อนะจ๊ะ ถ้าเผื่อไม่ได้ก็ต้องดูแลตนเองตามคำแนะนำนะ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ นอนพักผ่อนเยอะ ๆ กินอาหารครบ 5 หมู่ จะได้มีแรงทำหน้าที่ตนเอง และก็เชียร์กีฬากันต่อไป

(ความจริงความเห็นแรง ๆ มันก็เป็นสีสันนะ แต่รู้สึกว่าบางอันเนี่ยก็มากไป)

ส่วนเราก็คงไม่เข้าห้องนี้อีกนาน คนจะมีคนอ่านกระทู้เราไม่กี่คน ให้ความเห็นไม่มาก แต่คงมีคนด่าเราว่า ป้าเวิ่นเว้อ มโน เพื่อ...อะไรประมาณนี้

ยังรับไม่ค่อยได้อ่ะ จิตใจติ๋มอ่อนแอ

ป.ล. 1. ชื่นชมกัปตันกิ๊ฟมาก กัปตันก็ยังคงเป็นกัปตัน
       2. ชอบที่นักกีฬาเราควบคุมอารมณ์ได้ ไม่อยากให้รอยยิ้มหาย ถึงคนอื่นจะบอกว่าเรายิ้มพร่ำเพรื่อ แต่รู้มั้ยว่า มันจิตวิทยาอย่างหนึ่ง นอกจากจะทำให้ทีมรู้สึกดี ยังทำให้คู่ต่อสู้อ่านจิตใจเราไม่ได้ มีงานวิจัยบอกแล้วว่า รอยยิ้มนี่แหละ เป็นสิ่งที่ตีความยากที่สุด (ภูมิปัญญาบรรพบุรุษไทยเราเลยนะเนี่ย สำหรับคนที่ชอบว่าเรายิ้มพร่ำเพรื่อ ไม่จริงจัง ไปหางานวิจัยอ่านเองนะ รู้สึกนักวิจัยเป็นนักจิตวิทยาชาวสเปน ...ทำไมเราถึงไม่ทำนะ)
       3. เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสมาคมวอลเลย์ของเรา ถึงยอมเปลี่ยนลำดับสนามการแข่งให้ คืออาจเกรงใจหรือจำยอมอะไรก็แล้วแต่ แต่ทางมีทางออกที่ดีกว่านี้ ก็อยากให้ทบทวนนะ เผื่อมีเหตุการณ์นี้อีก เห็นใจนักกีฬากะทีมงานอ่ะ มันเห็นผลกระทบจริง ๆ นะ อย่างน้อยมันก็ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ และถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ อนาคตสุขภาพนักกีฬาจะไม่ดีเอานะ

นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยทุกคน สู้ สู้ น้าาาาาา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่