เพื่อน ๆ หลายคนคงสนุกสนานกับการเปิดตัวฮีโร่คนใหม่ Ant-Man ซึ่งฉายปิดเฟสสองของหนัง Marvel Cinematic Universe (ขอเรียกย่อว่า MCU) จิจ้าประทับใจการสร้างแบรนด์ให้ยิ่งใหญ่เพิ่มมูลค่าอย่างถล่มทลาย จุดประกายแบบแผนธุรกิจการสร้างหนังแบบโยงใยขายยกแพ็คให้หลายสตูดิโอต้องเดินเกมตาม (ชายตามอง Warner Bros. และ DC)
คือนอกจากหนังจะสร้างมาสนุกโดนใจผู้ชมแล้ว มี 3 ข้อที่เราสังเกตว่าทาง Marvel นำมาใช้แล้วเปรี้ยงปังนำไปปรับใช้ได้น่าสนใจดี
'Building Brand through Diversification'
การเข็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ออกมาเป็นสิบเรื่องแล้วจะคงระดับความตื่นเต้นของคนดูให้กลับมาอีกไม่ใช่เรื่องง่าย โดยธรรมชาติมนุษย์ก็ต้องเบื่อความซ้ำซากจำเจ ถ้าเทียบเป็นกราฟ Product Life Cycle วันหนึ่งสินค้าก็ต้องถึงเวลา obsolete ไป แล้วจะทำไงให้กราฟระฆังยังไม่รีบคว่ำ มีชีวิตยืนยาวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายต่อได้เรื่อย ๆ
ความฉลาดของ Marvel คือการสร้างความหลากหลายในตัวสินค้า หนังแต่ละเรื่องมี Identity เฉพาะตัวช่วยให้คนดูรู้สึกว่าเป็นหนังใหม่ที่ไม่ใช่แค่ใส่สูตรเดิมแล้วเปลี่ยนตัวละคร สังเกตว่าแต่ละเรื่องจะมี Sub-genre (แนวหนังย่อย) แทรกรองจากการเป็นหนังแอ๊คชั่นผจญภัย เช่น Thor จะติดกลิ่นจักร ๆ วงศ์ ๆ Captain America ภาคแรกมีกลิ่นอายย้อนยุคส่วนภาคสองเป็น Political Thriller และล่าสุดกับ Ant-Man ที่มีแกนเรื่องเป็น Heist Movie (หนังจารกรรม)
นางยังเดินหน้าต่อด้วยการเปิดกรุคุ้ยฮีโร่เกรดรองคนรู้จักน้อยหน่อยมาเสริมทัพเพื่อสร้างความแตกต่างหลากหลายให้ Lineup ของจักรวาล ตัวอย่างความสำเร็จขั้นพีคคือ Guardians of the Galaxy ที่ฉีกแนวเป็นหนังตลกในห้วงอวกาศ และจะตามมาด้วย Doctor Strange กับแนวสยองขลังขมังเวทย์, Black Panther ไอ้เสือผิวสีและ Captain Marvel หนังฮีโร่สาวฉายเดี่ยวคนแรกของค่าย หลากหลายทั้งแนวหนัง, เชื้อชาติและเพศให้ไม่น่าเบื่อ
ถึงจะแตกไลน์แต่ใช่ว่าดังแล้วจะแยกวง Marvel สร้างจักรวาลโดยการจับตัวละครมา Cross กันไปมาเพื่อต่อยอดความสำเร็จเพิ่มความนิยมให้ตัวละครใหม่ ๆ ให้ตัวละครที่ดังอยู่แล้วเป็นป๋าดัน เช่นการโผล่หน้ามาแจมของ Ant-Man และ Black Panther ใน Captain America ภาค 3 (ยังไม่นับ Iron Man ที่จะมาเป็นปรปักษ์หลักของเรื่อง) การเชื่อมโยงนี้ทำให้หนังคนดูรู้สึกว่าหนังทุกเรื่องของ Marvel เป็น Must See ที่ชั้นไม่ควรพลาดชมเพื่อความต่อเนื่องของเรื่องราว
ดูดิ ขนาดโปสเตอร์ Ant-Man ยังจับอุปกรณ์ป๋าดันทั้งสามมาร่วมฟีจเจอริ่งทิงนองนอย
Marvel กับแผนธุรกิจครองจักรวาลอันเลิศเลอ
คือนอกจากหนังจะสร้างมาสนุกโดนใจผู้ชมแล้ว มี 3 ข้อที่เราสังเกตว่าทาง Marvel นำมาใช้แล้วเปรี้ยงปังนำไปปรับใช้ได้น่าสนใจดี
การเข็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ออกมาเป็นสิบเรื่องแล้วจะคงระดับความตื่นเต้นของคนดูให้กลับมาอีกไม่ใช่เรื่องง่าย โดยธรรมชาติมนุษย์ก็ต้องเบื่อความซ้ำซากจำเจ ถ้าเทียบเป็นกราฟ Product Life Cycle วันหนึ่งสินค้าก็ต้องถึงเวลา obsolete ไป แล้วจะทำไงให้กราฟระฆังยังไม่รีบคว่ำ มีชีวิตยืนยาวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายต่อได้เรื่อย ๆ
ความฉลาดของ Marvel คือการสร้างความหลากหลายในตัวสินค้า หนังแต่ละเรื่องมี Identity เฉพาะตัวช่วยให้คนดูรู้สึกว่าเป็นหนังใหม่ที่ไม่ใช่แค่ใส่สูตรเดิมแล้วเปลี่ยนตัวละคร สังเกตว่าแต่ละเรื่องจะมี Sub-genre (แนวหนังย่อย) แทรกรองจากการเป็นหนังแอ๊คชั่นผจญภัย เช่น Thor จะติดกลิ่นจักร ๆ วงศ์ ๆ Captain America ภาคแรกมีกลิ่นอายย้อนยุคส่วนภาคสองเป็น Political Thriller และล่าสุดกับ Ant-Man ที่มีแกนเรื่องเป็น Heist Movie (หนังจารกรรม)
นางยังเดินหน้าต่อด้วยการเปิดกรุคุ้ยฮีโร่เกรดรองคนรู้จักน้อยหน่อยมาเสริมทัพเพื่อสร้างความแตกต่างหลากหลายให้ Lineup ของจักรวาล ตัวอย่างความสำเร็จขั้นพีคคือ Guardians of the Galaxy ที่ฉีกแนวเป็นหนังตลกในห้วงอวกาศ และจะตามมาด้วย Doctor Strange กับแนวสยองขลังขมังเวทย์, Black Panther ไอ้เสือผิวสีและ Captain Marvel หนังฮีโร่สาวฉายเดี่ยวคนแรกของค่าย หลากหลายทั้งแนวหนัง, เชื้อชาติและเพศให้ไม่น่าเบื่อ
ถึงจะแตกไลน์แต่ใช่ว่าดังแล้วจะแยกวง Marvel สร้างจักรวาลโดยการจับตัวละครมา Cross กันไปมาเพื่อต่อยอดความสำเร็จเพิ่มความนิยมให้ตัวละครใหม่ ๆ ให้ตัวละครที่ดังอยู่แล้วเป็นป๋าดัน เช่นการโผล่หน้ามาแจมของ Ant-Man และ Black Panther ใน Captain America ภาค 3 (ยังไม่นับ Iron Man ที่จะมาเป็นปรปักษ์หลักของเรื่อง) การเชื่อมโยงนี้ทำให้หนังคนดูรู้สึกว่าหนังทุกเรื่องของ Marvel เป็น Must See ที่ชั้นไม่ควรพลาดชมเพื่อความต่อเนื่องของเรื่องราว
ดูดิ ขนาดโปสเตอร์ Ant-Man ยังจับอุปกรณ์ป๋าดันทั้งสามมาร่วมฟีจเจอริ่งทิงนองนอย