อารมณ์ขัน ไม่ได้หนีหายไปไหน
เรื่องของอารมณ์ขัน คงไม่เป็นการพูดเกินจริงไป ถ้าจะกล่าวว่าคนไทยเรามีเป็นเอกลักษณ์ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้
เพียงแต่ว่าสมัยนี้อาจดูเหมือนจะลดน้อยลงไปบ้าง ซึ่งอาจเป็นเพราะสังคมที่ต้องแข่งขันกันตลอดเวลาหรือเปล่า ก็ยากจะคาดเดา
บ้างก็มีภาระจำเป็นที่ต้องหารายได้ให้มากขึ้นเพื่อเก็บเงินไปซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ เพราะกลัวจะถูกหาว่าล้าหลัง
บ้างก็หาเงินไปช่วยเพิ่มรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ครูบางคนที่โยกตำราและย้ายตัวเองมาสอนนอกโรงเรียนแทน เพราะกลัวลูกจะสู้คนอื่นไม่ได้
ก็ว่ากันไปตามครรลองของการดิ้นรน เพื่อเกาะกระแสสังคมตามแต่ความคิดของใครจะโน้มเอียงไปทางใด
แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าคนไทยเรายังคงความมีอารมณ์ขัน และสามารถพบเห็นได้ทั่วไปนะ
ความเอื้อเฟื้อเจือรอยยิ้มยังคงมีอยู่ในสังคมไม่น้อย ขึ้นอยู่กับว่าตัวของเรามองโลกในแง่มุมใด
หนังสือประเภทขำขันอาจขายได้น้อยลงเพราะคนนิยมไปเขี่ยจอโทรศัพท์เล่นไลน์ ซึ่งก็มักจะมีการแชร์เรื่องราวขำ ๆ มาให้อ่านกัน
ก็ยังไม่เคยได้เจอใครที่อ่านเรื่องขำ ๆ แล้วโยนโทรศัพท์ทิ้ง ทั้งที่คนอื่นเขายิ้มหรือหัวเราะ
แต่ก็ไม่แน่นะครับ อาจจะมีบางคนก็ได้ที่อ่านแล้วยัวะ อยากทุบโทรศัพท์แต่ดึงสติได้ทันเพราะคิดได้ว่ายังผ่อนไม่หมด
.......
เมื่อปีที่แล้ว ผมไปทำธุระแถวลำลูกกา ระหว่างรถติดไฟแดงก็เหลือบไปเห็นแผ่นป้ายนี้เข้า
ก็ยิ้มกับตัวเอง เพราะวันนั้นไปคนเดียวไม่รู้จะยิ้มกับใคร
ผมเชื่อว่าหากคนเราพยายามคิดบวก มองโลกในแง่ดีบ้าง
เราก็อาจพอจะดึงความมีอารมณ์ขันออกมาเพื่อสุขภาพจิตที่ดีได้เหมือนกันนะครับ
แผ่นป้ายตามรูปข้างล่างนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ใครจะนำไอเดียไปทำบ้าง ผมว่าก็ไม่เลวนะ
......
ราตรีสวัสดิ์ครับ
ขีด ๆ เขียน ๆ (2)
เรื่องของอารมณ์ขัน คงไม่เป็นการพูดเกินจริงไป ถ้าจะกล่าวว่าคนไทยเรามีเป็นเอกลักษณ์ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้
เพียงแต่ว่าสมัยนี้อาจดูเหมือนจะลดน้อยลงไปบ้าง ซึ่งอาจเป็นเพราะสังคมที่ต้องแข่งขันกันตลอดเวลาหรือเปล่า ก็ยากจะคาดเดา
บ้างก็มีภาระจำเป็นที่ต้องหารายได้ให้มากขึ้นเพื่อเก็บเงินไปซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ เพราะกลัวจะถูกหาว่าล้าหลัง
บ้างก็หาเงินไปช่วยเพิ่มรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ครูบางคนที่โยกตำราและย้ายตัวเองมาสอนนอกโรงเรียนแทน เพราะกลัวลูกจะสู้คนอื่นไม่ได้
ก็ว่ากันไปตามครรลองของการดิ้นรน เพื่อเกาะกระแสสังคมตามแต่ความคิดของใครจะโน้มเอียงไปทางใด
แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าคนไทยเรายังคงความมีอารมณ์ขัน และสามารถพบเห็นได้ทั่วไปนะ
ความเอื้อเฟื้อเจือรอยยิ้มยังคงมีอยู่ในสังคมไม่น้อย ขึ้นอยู่กับว่าตัวของเรามองโลกในแง่มุมใด
หนังสือประเภทขำขันอาจขายได้น้อยลงเพราะคนนิยมไปเขี่ยจอโทรศัพท์เล่นไลน์ ซึ่งก็มักจะมีการแชร์เรื่องราวขำ ๆ มาให้อ่านกัน
ก็ยังไม่เคยได้เจอใครที่อ่านเรื่องขำ ๆ แล้วโยนโทรศัพท์ทิ้ง ทั้งที่คนอื่นเขายิ้มหรือหัวเราะ
แต่ก็ไม่แน่นะครับ อาจจะมีบางคนก็ได้ที่อ่านแล้วยัวะ อยากทุบโทรศัพท์แต่ดึงสติได้ทันเพราะคิดได้ว่ายังผ่อนไม่หมด
.......
เมื่อปีที่แล้ว ผมไปทำธุระแถวลำลูกกา ระหว่างรถติดไฟแดงก็เหลือบไปเห็นแผ่นป้ายนี้เข้า
ก็ยิ้มกับตัวเอง เพราะวันนั้นไปคนเดียวไม่รู้จะยิ้มกับใคร
ผมเชื่อว่าหากคนเราพยายามคิดบวก มองโลกในแง่ดีบ้าง
เราก็อาจพอจะดึงความมีอารมณ์ขันออกมาเพื่อสุขภาพจิตที่ดีได้เหมือนกันนะครับ
แผ่นป้ายตามรูปข้างล่างนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ใครจะนำไอเดียไปทำบ้าง ผมว่าก็ไม่เลวนะ
......
ราตรีสวัสดิ์ครับ