🍁🍁🍁--อำนาจมาจากปวงประชา อำนาจมาพร้อมการรับฟังและความรับผิดชอบ "" จักรพรรดิ์ถังไท่จง ""--🍁🍁🍁

กระทู้คำถาม
ขอบคุณบทความ
Credit : http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?id=64150

ผู้ที่ถืออำนาจไม่อาจปฎิเสธความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ต่อประชาชน





หลี่ซื่อหมิน หรือ ที่เรารู้จักกันในนาม ถังไท่จง (ค.ศ.599-649) คือ ฮ่องเต้ผู้ถูกยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์จีน

เรื่องราวเริ่มตั้งแต่ที่ หลี่ยวน หรือ ถังเกาจู่ ปฐมจักรพรรดิแห่ง ราชวงศ์ถัง มีทายาทที่เกิดจากพระมเหสี 4 คน คือ

-คนแรกนาม หลี่เจี้ยนเฉิง
-คนที่สองนาม หลี่ซื่อหมิน
-คนที่สามนาม หลี่เสวียนป้า (เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปีดี)
-คนที่สี่นาม หลี่หยวนจี๋
หลังจากราชวงศ์สุยสิ้นภายใต้เงื้อมมือของขุนนางตระกูลหลี่นำโดยหลี่ยวน เมื่อตั้งราชวงศ์ถังขึ้นได้สักพักหนึ่งถังเกาจู่ หลี่ยวนที่มีบุตรชายคนโต หลี่เจี้ยนเฉิง เป็นผู้คุมทัพซ้าย และบุตรชายคนรอง หลี่ซื่อหมิน เป็นผู้คุมทัพขวา ก็พระราชทานตำแหน่งให้บุตรทั้งสาม โดยแต่งตั้ง หลี่เจี้ยนเฉิงเป็นรัชทายาท หลี่ซื่อหมินเป็น ฉินอ๋อง และหลี่หยวนจี๋เป็นฉีอ๋อง 

ด้วยความที่ทั้ง หลี่เจี้ยนเฉิงและ หลี่ซื่อหมิน ต่างเป็นผู้มีความสามารถ มักใหญ่ใฝ่สูง และต่างก็เปรียบเป็นมือซ้ายและมือขวาช่วยเหลือบิดาให้สามารถครองแผ่นดินได้สำเร็จด้วยกันทั้งคู่ ทำให้เกิดการเขม่นกันขึ้นมาระหว่างพี่ - น้องจนกลายเป็น "ศึกสายเลือด" ในที่สุด 


พี่น้อง 3 คนถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายหนึ่ง หลี่หยวนจี๋ก็เข้าข้างพี่ชายคนโตหลี่เจี้ยนเฉิง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง คือ หลี่ซื่อหมินนั้นถูกโดดเดี่ยว 

มีนักประวัติศาสตร์จีนวิเคราะห์เอาไว้ว่าสาเหตุที่น้องเล็กหลี่หยวนจี๋ ที่ขึ้นชื่อในวรยุทธ์อันสูงส่งมาเข้ากับหลี่เจี้ยนเฉิงนั้น ประการหนึ่งก็เนื่องมาจาก หลี่หยวนจี๋มองเห็นว่า สติปัญญา ความสามารถและชื่อเสียงของหลี่ซื่อหมินนั้นเหนือกว่าตนมาก 

หากตนเข้ากับฝ่ายหลี่ซื่อหมิน ถึงแม้จะปราบหลี่เจี้ยนเฉิงได้สำเร็จตนก็ไม่มีวันจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่หากตนร่วมมือกับพี่ใหญ่ปะทะกับพี่รอง ในภายภาคหน้าโอกาสขึ้นเป็นฮ่องเต้ของตนน่าจะมีสูงกว่า 

ด้านพระบิดา หลี่ยวน เมื่อรับทราบถึงความขัดแย้งระหว่างพี่ - น้อง ที่รุนแรงถึงขั้นกลายเป็นศึกสายเลือดเช่นนี้ ก็มิอาจเข้าข้างใครได้มาก 

แต่ก็รู้สึกหวั่นพระทัยอยู่เช่นกันว่า หากปฏิบัติตามประเพณีดั้งเดิม คือ บุตรคนโตจะต้องเป็นรัชทายาทเป็นผู้สืบราชวงศ์ ก็กลัวอีกว่า หลี่เจี้ยนเฉิงที่มีนิสัยลุ่มหลงในสุรานารีจะนำพาราชวงศ์ถังของตนไปสู่จุดจบอย่างรวดเร็วดังเช่น ราชวงศ์สุยที่ หยางกว่าง เล่นละครตบตาพระบิดา ฮ่องเต้สุยเหวินตี้ จนได้ตำแหน่งฮ่องเต้ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ได้ออกหน้าห้ามปรามศึกสายเลือดครั้งนี้อย่างโจ่งแจ้งเท่าใดนัก

กระบวนการรุกไล่ของพี่ใหญ่และน้องเล็ก ต่อพี่รองหลี่ซื่อหมินนั้น มีตั้งแต่การทูลพระบิดาขอกำลังพลของหลี่ซื่อหมินไปออกรบจนไปถึงการร่วมมือกับสนมคนโปรดของพระบิดาใส่ร้ายหลี่ซื่อหมินว่ากำลังคิดไม่ซื่อ วางแผนยึดอำนาจจากพระบิดา 

จนกระทั่งวันหนึ่งของเดือน 6 ค.ศ.626 หลี่ซื่อหมินจึงจัดการรุกฆาต ถือโอกาสที่พี่ใหญ่ - หลี่เจี้ยนเฉิง และน้องสี่
 - หลี่หยวนจี๋เดินทางเข้าวัง วางกำลังและมือสังหารซุ่มไว้ที่ประตูเสวียนอู่ 

จากนั้น จึงลงมือขั้นเด็ดขาดสังหารคนทั้งสองเสีย โดย หลี่ซื่อหมินนั้นเป็นคนยิงธนูสังหารพี่ชายแท้ๆ ของตนเอง ขณะที่ น้องเล็กผู้มีวิทยายุทธ์สูงล้ำนั้นถูกปลิดชีพโดยขุนพลคู่ใจของหลี่ซื่อหมินนาม เว่ยฉือจิ้งเต๋อ

จากนั้นเว่ยฉือจิ้งเต๋อก็เข้ากราบทูลกับองค์ฮ่องเต้ถังเกาจู่ ว่ารัชทายาทหลี่เจี้ยนเฉิง กับองค์ชายหลี่หยวนจี๋นั้นก่อกบฎ แต่ถูกฉินอ๋องหลี่ซื่อหมิน ระแคะระคายเสียก่อนจึงจัดการไปเรียบร้อยแล้ว 

-----ศึกสายเลือดแห่งราชวงศ์ถัง ครั้งนี้มีชื่อเสียงระบือจวบจนปัจจุบัน โดยเป็นที่รู้จักกันในนาม เหตุการณ์ ณ ประตูเสวียนอู่เหมิน-----

เหตุการณ์ที่ประตูเสวียนอู่เหมินนี้เองที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนส่งให้ฮ่องเต้ถังเกาจู่ต้องสละราชสมบัติในที่สุด อันเนื่องมาจากแรงกดดันที่มาจากหลี่ซื่อหมิน 

โดยในปีต่อมา (ค.ศ.627) ฮ่องเต้ถังเกาจู่ก็สละราชสมบัติ และ หลี่ซื่อหมินก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ที่สองแห่งราชวงศ์ถัง นามว่า ถังไท่จง โดยใช้นามรัชสมัยว่า เจินกวน

เพราะเหตุอันใดที่ทำให้หลี่ซื่อหมินตัดใจสังหารพี่ - น้องร่วมท้องของตนเองได้อย่างไม่ลังเล ? 

หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้ว เหตุการณ์ความขัดแย้งที่นำมาสู่การฆ่าพี่ - ฆ่าน้อง จะว่าไปก็ถือเป็นการฝืนประเพณี ธรรมเนียม และระบบคุณธรรมของสังคมจีนอย่างใหญ่หลวง 

ไม่ว่าจะมองผ่านแง่มุมของธรรมเนียมปฏิบัติในการให้บุตรชายคนโตสืบทอดอำนาจและทรัพย์สมบัติของตระกูล หรือ ในเชิงปรัชญาผ่านคำสอนของลัทธิขงจื๊อที่เน้นย้ำให้น้องเคารพต่อพี่ชายที่มีอาวุโสสูงกว่า อันเป็นสิ่งที่สังคมจีนยึดถือและเคร่งครัดมาจนปัจจุบัน 

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถทำความเข้าใจถึงจิตใจของพญาอินทรี  ที่ทำให้เกิดศึกสายเลือดที่เกิดขึ้น
ความเลือนลาง ความที่ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดนี่แลที่ทำ ประวัติศาสตร์จึงยังคงมีสเน่ห์ และน่าพิศวงสำหรับคนที่สนใจจะศึกษามัน ......
 

23 ปีของรัชสมัยเจินกวน ประเทศจีนภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ถังไท่จง นับว่า มีความรุ่งเรืองก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุดอีกยุคหนึ่ง (โดยในสมัยถังนอกจาก รัชสมัยเจินกวน ของฮ่องเต้ถังไท่จง แล้วก็ยังมี รัชสมัยไคหยวน ของฮ่องเต้ถังเสวียนจง ที่ประเทศจีนถือว่า รุ่งเรืองสุดขีดทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม) 


ทั้งนี้เนื่องจากองค์ถังไท่จงฮ่องเต้แลเห็นว่า หลังจากผ่านช่วงความวุ่นวายในยุคเปลี่ยนราชวงศ์จากสุยมาเป็นถัง ประชาชนได้รับความลำบากอย่างมากและบ้านเมืองก็ทรุดโทรมอย่างหนักจากสงคราม 
--------------------------------------------------
พระองค์จึงปรึกษาหารือกับบรรดาขุนนางเกี่ยวกับความรุ่งเรืองและล่มสลายของราชวงศ์ต่างๆ โดยเฉพาะ การนำเอาความล้มเหลวและความฟอนเฟะของฮ่องเต้สุยหยางตี้แห่งราชวงศ์สุย มาเป็นบทเรียน 


พระถังซันจั๋งอัญเชิญพระไตรปิฎก
ฮ่องเต้ถังไท่จงทรงเปรียบเปรยไว้ว่า แท้จริงแล้วผู้ปกครอง (สมัยนั้นหมายถึง ฮ่องเต้ - กษัตริย์) นั้นเป็นเสมือนผู้พึ่งพาประชาชน

น้ำทำให้เรือลอยขึ้นได้ ก็ย่อมสามารถทำให้เรือจมลงได้เช่นกัน (สุ่ยเหนิงไจ้โจว อี้เหนิงฟู่โจว) 

ทั้งยังเคยตรัสไว้ด้วยว่า 

ผู้ปกครองจะต้องมีทั้งคุณธรรมและความสามารถประชาชนจึงจะยอมยกให้เป็นนาย เมื่อใดที่ผู้ปกครองไร้คุณธรรม ขาดความสามารถ ประชาชนก็จะทอดทิ้ง (โหย่วเต้าเจ๋อเหรินทุยเอ๋อเหวยจู่ อู๋เต้าเจ๋อเหรินชี่เอ๋อเหวยย่ง) 

นอกจากนี้ ในความเห็นของฮ่องเต้ถังไท่จง ผู้ปกครองที่มีคุณธรรม นั้น จะต้องไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่เพิ่มภาระและลดการเบียดเบียนประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด 

รวมถึงจะต้องเลือกใช้ขุนนางที่ใจซื่อมือสะอาดมาช่วยปกครองบ้านเมือง 

ปรัชญาการปกครองเช่นนี้ในสมัยเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว นับว่าเป็นความคิดที่ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยส่วนหนึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อที่เน้น การใช้คุณธรรมในการปกครองประเทศ 

โดย เมิ่งจื่อ (หนึ่งในปราชญ์จีนผู้สืบทอดแนวคิดต่อจากขงจื๊อ) มีคำสอนหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึง ปรัชญาในการปกครองอันยิ่งใหญ่ระบุว่า 

ประชาชนสำคัญที่สุด ประเทศชาติสำคัญรองลงมา ผู้ปกครอง (ฮ่องเต้) สำคัญน้อยที่สุด (หมินเหวยกุ้ย เส้อจี้ชื่อจือ จุนเหวยชิง) 

ปรัชญาในการบริหารแผ่นดินของฮ่องเต้ถังไท่จง ถูกถ่ายทอดลงมาสู่ภาคปฏิบัติอย่างเห็นผลจนกระทั่งมีคำกล่าวว่าในช่วงเวลา 23 ปีของรัชสมัยเจินกวน (ค.ศ.626-649) การเมืองใสสะอาด สังคมมั่นคงปลอดภัย เศรษฐกิจรุ่งเรือง แสนยานุภาพของอาณาจักรแผ่ขยาย 

นอกจากปรัชญาและวิธีการ ในการบริหารที่ยึดหลัก "ปกครองแผ่นดินโดยธรรม" แล้วนักประวัติศาสตร์จีนรุ่นต่อๆ มายังวิเคราะห์ถึงเคล็ดลับความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดินของ ฮ่องเต้ถังไท่จงไว้ด้วยว่า ยังมีปัจจัยหลักๆ อีกสองประการด้วยกันคือ 

ประการแรก การให้โอกาสและเลือกใช้คนอย่างเหมาะสม 

ขณะที่ยังเป็นฉินอ๋อง ถังไท่จงได้ ซื้อใจ - รวบรวม บัณฑิตทางบุ๋นเอาไว้มากมาย โดยเปิดหอวรรณกรรมให้บัณฑิตเหล่านี้ได้มาสนทนา - ถกเถียงเรื่องราวต่างๆ กันจนคนเหล่านี้ถูกขนานนามว่า สิบแปดบัณฑิต อย่างเช่น ฝังเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย บุคคลสองผู้นี้ถือว่าเป็นบัณฑิตคู่กายของถังไท่จงในเวลาต่อมา เป็นต้น 

ขณะที่ในเชิงบู๊ ถังไท่จงก็ได้รวบรวมจอมยุทธ์เก่งๆ เข้ามาเป็นพรรคพวกหลายต่อหลายคน อย่างเช่น เว่ยฉือจิ้งเต๋อ ฉินฉง หรืออีกนามหนึ่งคือ ฉินซูเป่า เป็นต้น 

สำหรับ เว่ยฉือจิ้งเต๋อ และฉินฉง จอมยุทธ์สองคนนี้นอกจากจะจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะขุนพลเอกของฮ่องเต้ถังไท่จงแล้ว ต่อมายังปรากฎนามในนวนิยายอมตะอย่าง "ไซอิ๋ว" อีกด้วย โดยในตอนหนึ่งระบุว่า 

"ครั้งหนึ่งองค์ฮ่องเต้ถังไท่จงทรงประชวร และทรงพระสุบินไปว่าที่ประตูด้านนอกของตำหนักที่ประทับมีภูติผีมาร้องเรียกโหยหวน จนพระองค์รู้สึกไม่สบายพระทัยอย่างยิ่ง (ต่อมามีการเสริมแต่งเรื่องราวเล่าเพิ่มอีกว่าภูติผีที่ว่าก็ คือพระเชษฐา หลี่เจี้ยนเฉิง และพระอนุชา หลี่หยวนจี๋ ที่ถูกสังหาร ณ ประตูเสวียนอู่ - ผู้เขียน) 

วันต่อมาเมื่อพระองค์ตรัสเรื่องนี้ให้บรรดาขุนนางทราบ ฉินฉงจึงอาสากับเว่ยฉือจิ้งเต๋อมาเฝ้าประตูพระตำหนักให้พระองค์ โดยหลังจากขุนพลสองคนนี้มาเฝ้าประตูตำหนักให้ฮ่องเต้ก็บรรทมอย่างเป็นสุข อย่างไรก็ตามการเรียกคนทั้งสองมาอยู่เวรยามให้ฮ่องเต้ทุกคืนเป็นเวลาติดต่อกันนั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ฮ่องเต้ถังไท่จงจึงทรงรับสั่งให้ช่างหลวงวาดภาพขุนพลทั้งสองและปิดไว้ที่ประตูตำหนักแทน ..." 

ด้วยความนิยมและอิทธิพลของเรื่องไซอิ๋วนี้เองทำให้ตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา ฉินฉง กับ เว่ยฉือจิ้งเต๋อ จึงค่อยๆ เปลี่ยนสถานะกลายเป็น "เทพผู้คุ้มครองประตู" สำหรับชาวจีนไปในที่สุด 

-----ต่อข้างล่างครับ-----
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
สำหรับการคัดเลือกคนเข้ามารับใช้พระองค์นั้น ฮ่องเต้ถังไท่จงมีหลักการอันเป็นที่เลื่องลืออยู่ด้วยกัน 4 ประการคือ 

-ไม่จำกัดว่าเขาผู้นั้นจะเกิดที่ใด
-ไม่จำกัดว่าเขาผู้นั้นจะเกิดในตระกูลเช่นไร
-ไม่จำกัดว่าเขาผู้นั้นจะเป็นชนเผ่าไหน
-ไม่จำกัดว่าเขาผู้นั้นจะเคยเป็นศัตรูกับเราหรือไม่
โดยข้อสุดท้าย "ไม่จำกัดว่าเขาผู้นั้นจะเคยเป็นศัตรูกับเราหรือไม่" นั้น สาามารถพิสูจน์ได้จากหลักฐานที่ระบุว่ามีคนเก่งจำนวนมากมายที่แต่เดิมเคยสังกัดอยู่กับศัตรู แต่ในที่สุด หลี่ซื่อหมินก็ไม่คิดแค้นรับเข้ามาเป็นพวก 

จนในเวลาต่อมาคนเหล่านี้ได้กลายเป็น ขุนนาง - ขุนพลคู่กายพระองค์ ยกตัวอย่างเช่น 
ฉินฉง โดย ฉินฉง นอกจากเคยรับราชการให้ฮ่องเต้สุย แล้วยังเคยไปเข้าพวกกับ หลี่มี่ แห่งกองกำลังหว่ากัง รวมถึงหวังซื่อชง อีกด้วย 

นอกจากนี้แล้วหนึ่งในจำนวน "ปรปักษ์" ที่ต่อมากลายเป็น "มิตร" ที่มีชื่อเสียงที่สุดนั้นก็รวมไปถึง ขุนนางผู้หนึ่งนาม เว่ยเจิง ด้วย 

เคล็ดลับในการบริหารราชการแผ่นดินให้ อีกประการหนึ่งของฮ่องเต้ถังไท่จงก็คือ การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 

สำหรับขุนนางที่ขึ้นชื่อที่สุดว่าถวายคำแนะนำให้แก่ ถังไท่จงอย่างตรงไปตรงมา ยึดความถูกต้องเป็นหลัก โดยมิได้คิดประจบสอพลอต่อองค์ฮ่องเต้นั้นก็คือ ขุนนางนักคิดและนักประวัติศาสตร์ผู้ทรนงแห่งราชวงศ์ถัง เว่ยเจิง (ค.ศ.580-643) 

เดิมทีเว่ยเจิง เป็นที่ปรึกษาของรัชทายาท หลี่เจี้ยนเฉิง (ก่อนหน้าเคยอยู่กับหลี่มี่ แห่งกองกำลังหว่ากัง เช่นกัน) 

เมื่อเว่ยเจิงสังเกตเห็นว่า สติปัญญาของหลี่ซื่อหมินนั้นล้ำเลิศทั้งยังเริ่มสะสมกำลังเพื่อมาต่อกรกับรัชทายาท เว่ยเจิงจึงแนะนำให้หลี่เจี้ยนเฉิง วางยุทธศาสตร์จัดการกับหลี่ซื่อหมินอย่างจริงจัง แต่หลี่เจี้ยนเฉิงก็ยังตกลงปลงใจไม่ได้ว่าจะทำเช่นไรดีกับน้องชาย 

ในเวลาต่อมา หลังจากเกิดเหตุการณ์ ณ ประตูเสวียนอู่แล้ว เว่ยเจิงจำก็ต้องเข้ามารับใช้รัชทายาทองค์ใหม่ โดยครั้งหนึ่ง หลี่ซื่อหมินได้ถามเว่ยเจิงตรงๆ ว่า 

"เจ้าส่งเสริมให้พวกข้าพี่น้องต้องรบราฆ่าฟันกันเอง เพราะเหตุใด ?" 

เมื่อได้ยินเว่ยเจิงคำถามจากรัชทายาทองค์ใหม่ก็ตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านว่า "หากรัชทายาทองค์ก่อนฟังคำจากเว่ยเจิง พระองค์ก็คงไม่ต้องจบชีวิตดังเช่นวันนี้" 

สติปัญญา ความฉลาดเฉลียวและความซื่อตรงเช่นนี้นี่เองทำให้ หลี่ซื่อหมินถูกพระทัยในสติปัญญาของเว่ยเจิงเป็นอย่างมาก โดยหลังจากที่ครองราชย์แล้วโดยโปรดเกล้าฯ ให้เว่ยเจิงเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด 

ครั้งหนึ่งเมื่อฮ่องเต้ถังไท่จง ตรัสถามว่า ข้าจะแยกแยะถูก - ผิดได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ถูกหลอก เว่ยเจิงจึงตอบว่า 

ฟังรอบด้านย่อมพบความจริง ฟังด้านเดียวกลับกลายโง่งม (เจียนทิงเจ๋อหมิง เพียนซิ่นเจ๋ออ้าน) 

ความหมายของเว่ยเจิงก็ คือ เป็นผู้ปกครองต้องเปิดใจรับฟังความเห็นที่หลากหลาย ทุกด้าน จึงจะเข้าใจความเป็นจริงของเรื่องราว และทำการตัดสินใจที่ถูกต้อง 

แต่หากฟังความเพียงข้างเดียว ฟังแต่ข้อความที่ไพเราะเสนาะหู ย่อมทำให้ป้ำๆ เป๋อๆ นับวันยิ่งเลอะเลือน ส่งผลให้ได้ข้อสรุปที่ผิดพลาด การตัดสินใจก็ผิดพลาด 

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างถวายคำแนะนำด้วยความตรงไปตรงมาของเว่ยเจิง ความที่ไม่ยอมโอนอ่อนตามพระราชประสงค์ ทั้งยังมักจะเสนอความเห็นที่ไม่ค่อยจะเห็นแก่พระพักตร์เจ้าแผ่นดิน จนถึงขั้นหลู่พระเกียรติ ทำให้หลายต่อหลายครั้ง 

องค์ฮ่องเต้ถังไท่จงเกือบจะลงโทษเว่ยเจิงถึงชีวิตอยู่แล้ว แต่ยังดีที่พระมเหสีขององค์ถังไท่จงนั้นเป็นสตรีที่เข้าอกเข้าใจและหวังดีต่อบ้านเมือง จึงช่วยทัดทานเอาไว้ได้ 

มีสถิติบันทึกไว้ว่าในช่วงที่รับใช้ฮ่องเต้ถังไท่จง เว่ยเจิงเสนอความคิดเห็นคัดค้านมากมายหลายร้อยเรื่อง โดยแต่ละเรื่องล้วนเป็นคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองและองค์ฮ่องเต้อย่างมหาศาล 

ขณะที่หลายเรื่องก็เป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่เว่ยเจิงยินยอมแม้แต่จะเอาศีรษะของตนเองเข้าแลก 

เมื่อเว่ยเจิงเสียชีวิตลงในปี ค.ศ.643 องค์ฮ่องเต้ถังไท่จง เสียพระทัยอย่างมาก จนถึงกับรับสั่งว่า 




-------จากประวัติศาสตร์ มามองดูปัจจุบัน ผู้นำที่ดี คนที่กล้าเข้ามาถืออำนาจย่อมไม่สามารถปฎิเสธความรับผิดชอบและโยนความผิดความบกพร่องทุกอย่างให้คนอื่น ทั้งที่ตนแสวงหาอำนาจมาครอบครอง------- 

-------ตัวอย่างที่ชัดเจน "ถังไท่จง"จักรพรรดิ์แห่งต้าถัง ไม่ใช่เป็นเพียงความหวังในการยุติความวุ่นวายของประชาชน เมื่อท่านตัดสินใจแตกหักกับพี่น้อง เพื่อรักษาอาณาจักรในอนาคต ท่านยอมรับความเห็นต่าง ท่านยอมรับความผิดพลาด ท่านยอมรับในประชาชน ท่านเลือกที่จะเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อคน"แซ่หลี่ "แต่เพื่อประชาชน-----
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่