สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิป
คืนวันที่ 10 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา จขกท และเพื่อนๆอีก 4 คน แบกเป้นั่งรถบัสไปกันเอง ถึงมาเลเซียเช้าวันที่ 11 กรกฎาคม เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวที่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
พวกเราได้จองที่พักในตัวเมือง ย่าน Bukit Bintang มีชื่อว่า Sky Hotel มาล่วงหน้าแล้ว เป็นโรงแรมที่ทำเลดีมาก เพราะอยู่ในย่านที่หาของกินได้ง่ายและใกล้แหล่งจับจ่าย เดินแค่ไม่กี่นาที ไม่กี่บล็อก ก็ถึงห้างใหญ่ๆหลายๆห้าง พวกเราก็แฮปปี้ดี๊ด้า เพราะจะได้เดินช็อปปิ้งกัน
วันแรก หลังจากเพื่อนชาวมาเลเซีย คนท้องถิ่น มารับและพาไปเที่ยวนอกเมืองทั้งวัน ส่วนช่วงค่ำๆพวกเราก็กลับมาช็อปกันเอง จนถึงประมาณสี่ทุ่ม ห้างเริ่มปิดเราก็เดินกลับโรงแรม ถ่ายรูปเล่น หาอะไรกินแถวนั้น สนุกสนานเฮฮา ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ
วันที่สองของการท่องเที่ยวในกัวลาลัมเปอร์ คือวันที่. 12 กรกฎาคม หลังจากเดินเที่ยว CC Tower ( ตึกแฝด ปิโตรนาส ) จนห้างปิด พวกเราก็นั่งรถเมล์ฟรีกลับมายังย่านดังบริเวณใกล้ที่พักของเรา ระหว่างทางที่รถเมล์เริ่มขับเข้าเขต Bukit Bintang รถติดเหมือนกรุงเทพฯเลย และมีเพื่อนในกลุ่มเห็นเหมือนมีคนเดินประท้วงอะไรบางอย่าง เราก็หันไปดูกัน แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าคือการประท้วงถือป้ายทั่วไป
เมื่อถึงจุดหมายที่พวกเราต้องลงเพราะเป็นป้ายสุดท้าย ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบๆ เที่ยงคืน กลุ่มเราผู้หญิงล้วนทั้ง 5 คน ยังได้ของฝากไม่ครบ ระหว่างทางเดินกลับที่พัก ก็เลยเดินแวะตามร้านค้าต่างๆ KK market และ 7-11 ซื้อของแปลกๆกลับบ้าน เดินเมาท์ ดูความแตกต่างของแต่ละอย่างที่ไม่เหมือนของไทยเรา เพราะพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินทางกลับบ้านแล้ว ส่วน จขกท ยังไม่ได้ชอกโกแลตที่ถูกใจกลับไปฝากที่บ้าน ท่ามกลางร้านรวงที่ทยอยปิดร้านโชคดีที่ยังมีร้านชอกโกแลตเปิดอยู่ร้านนึง เราจึงพุ่งตรงเข้าไปทันที
ระหว่างที่กำลังเลือกซื้อชอกโกแลตอยู่ เจ้าของร้านก็ปิดประตูเหล็กบังตาลงทับชั้นกระจกหน้าร้านอีกชั้น ทั้งๆที่มีลูกค้าคือกลุ่มเราอยู่ โดยไม่สนใจคำทักท้วงว่าเรายังซื้อของกันไม่เสร็จ ระหว่างนั้นมีสามีภรรยาอีกคู่นึง ยืนเคาะเรียกให้เปิดประตู เพื่อที่จะเข้ามาในร้าน เจ้าของร้านเปิดประตูเหล็กครึ่งหนึ่งเพื่อให้เข้ามา ผู้ชายคนนั้นบอกว่า “Fighting outside” ข้างนอกมีเหตุทะเลาะวิวาทกัน
ตอนนั้นสิ่งที่เราเห็นคือ คนวิ่งพล่านด้านนอก มีเสียงทำลายข้าวของและเราอยู่ห่างจากเหตุการณ์นั้นแค่ประตูกั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ประตูเหล็กที่ถูกยกขึ้นครึ่งบานถูกปิดลงอีกครั้ง
จากคำบอกเล่าของคนในร้านคือ ภายนอกเป็นการต่อสู้กันของคนในท้องถิ่นไม่พอใจคนเชื้อสายจีนมาเล ต่อมาก็มีเสียงเขย่าประตู เงาคนวิ่งหน้าร้าน และ เสียงปืนดังอีกสองสามนัด ตอนนั้นยอมรับเลยว่าตกใจเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะออกจากร้านนี้และกลับโรงแรมได้
พวกเราเองก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เพื่อนคนนึงเป็นคนจีน ตอนนั้นเราพยายามหลบตัว ตามชั้นวางของ เราถามพนักงานในร้าน ว่าควรทำอย่างไร เค้าบอกว่าเราคงต้องนอนในร้านแล้วแหละ คืนนี้ออกไปไหนไม่ได้ เพราะอันตรายมาก ออกไปอาจจะเกิดลูกหลง เราพยายามควบคุมสติ ว่าอย่างน้อยเราก็ปลอดภัยที่อยู่ในร้าน ส่วนคู่สามีภรรยาก็อยู่ในชะตากรรมเดียวกับพวกเรา คือคนอินโดนีเซีย
ครู่หนึ่ง มีเสียงรถตำรวจดังขึ้น เราก็รอให้สถานการณ์สงบลง เมื่อดูเหมือนจะปลอดภัย เจ้าของร้านยอมเปิดประตูเหล็กออก เรา 5 สาวเลยตัดสินใจกลับโรงแรม แต่ว่าสิ่งที่เราพบคือ เส้นทางที่เราเดินกลับโรงแรม ตำรวจได้กั้นด้วยพลาสติกสีเหลือง กั้นบริเวณนั้น ไม่ให้เดินผ่าน เหมือนในหนังฆาตกรรม เส้นทางดูโล่งจนผิดปกติ เราเห็นตำรวจซึ่งลักษณะคล้ายตำรวจจราจร ทำท่าคล้ายการให้ใบสั่งรถที่จอดข้างทาง เราจึงเดินไปหาตำรวจ เพื่อให้นำทางไปที่โรงแรมของเรา
ทันทีที่เราบอกชื่อโรงแรม ตำรวจผู้นั้นหยุดเขียน พลางเก็บกระดาษปากกาหันมาคุยกับเราอย่างเคร่งเครียดทันที เขาแนะนำให้เรา ไปหาร้านกาแฟที่เปิด24ชม. นั่งซัก 3 ชม. เนื่องจากบริเวณโรงแรม คือจุดที่เกิดเหตจลาจลซึ่งอันตรายมากๆ



ตอนนั้นเรารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยแน่ๆ ผู้หญิง 5 คนเดินอยู่บนทางเปลี่ยวในต่างประเทศ ร้านค้าต่างๆปิดประตูหนีหมดแล้ว บนทางเดินที่เงียบและไร้ที่กำบัง ระหว่างทางมีแต่คนท้องถิ่น แขกมาเล มองเราด้วยสายตาแปลกๆซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า เราจะไปหาที่ปลอดภัยได้ที่ไหน
เราพยายามเดินต่อไปเพราะคิดว่าต้องมีร้านเปิด 24 ชม.อยู่บ้าง
และแล้วเราก็เดินมาเจอร้าน KFC 24ชม. แต่เมื่อเข้าไปในร้านที่เราคิดว่าจะเป็นที่กำบังให้เรานั้น กลับแย่กว่าเดิม
เพื่อนในกลุ่มเผลอพูดภาษาจีนสื่อสารกัน จากนั้นกลุ่มคนท้องถิ่นที่อยู่ในร้านKFC ก็มองเราด้วยสายตาแปลกๆหันไปพูดภาษาท้องถิ่นกัน และในKFC เป็นกระจกใสรอบร้าน หากจะมีกลุ่มหัวรุนแรงเข้ามาก็จะเห็นเราได้ทุกเมื่อ เราอาจถูกพาตัวออกไปได้โดยง่ายๆ
พวกเรายืนอยู่กับที่ในKFC จขกท ตัดสินใจขึ้นไปชั้นบน เผื่อว่าจะปลอดภัยกว่า แต่สิ่งที่เห็นคือ ร้านที่บอกว่าเปิด 24 ชม. พนง กลับบอกว่าชั้นสอง Close ปิด ความกลัวแล่นขึ้นมาจับใจ มีคนต่างถิ่นเป็นกลุ่มๆ ยืนอยู่ด้านนอก แม้แต่ขอทานที่นั่งขาบวมอยู่หน้าKFC ที่เราเห็นขากลับโรงแรมทุกที ก็พับเสื่อหายไปกันหมดแล้ว ตอนนั้นพวกเราหวาดกลัวทวีคูณ โดยเฉพาะเพื่อนชาวจีนที่ไม่สามารถเข้าใจภาษาไทยที่เราพูด และไม่สามารถพูดภาษาจีนได้ และเรารู้ว่าในร้าน KFC นี่อันตรายยิ่งกว่าร้านขายชอกโกแลตหลายเท่า
ตอนนั้น จขกท รู้อย่างเดียวว่า เราต้องไปจากที่นี่ และด้วยความที่หน้าตาดูไม่จีนที่สุดในกลุ่ม ตัดสินใจเดินออกไปดูนอกร้าน KFC โชคดีที่เห็นร้านขายน้ำหอมแห่งหนึ่งเข้าที่ยังเปิดอยู่ อย่างน้อย เราก็มีที่กำบัง มีที่แอบให้พ้นสายตาได้บ้าง พวกเราจึงพากันเดินไปหลบในร้านนั้น
ทำทีว่าเดินเลือกของ ในใจของทุกคนวุ่นวายในตอนนั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย ทั้งกลัว เพื่อนคนจีนยิ่งกลัวใหญ่ เราพยายามสอบถามข้อมูลกับพนักงาน ว่าที่นี่ปลอดภัยหรือไม่ เพราะแม้แต่ คนทางร้านก็ยังจับประตูร้านเตรียมจะปิดอยู่ทุกเวลา
พนักงานบอกว่า
“คุณหลบที่นี่ได้ถึงตีสอง ร้านเปิดถึงเวลานั้น แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณจะปลอดภัยรึเปล่า เพราะฉันไม่รู้ว่าคนอื่นในร้านเป็นอย่างไร”
และเพื่อนอีกคนในกลุ่มเดินเข้าไปหลังร้านพยายามจะถามข้อมูลอื่นๆ แต่ พนักงานหลายคนทำเหมือนฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง และไม่อยากคุยด้วย
ในตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวว่า ไม่มีร้านกาแฟหรือร้านไหนๆจะปลอดภัยกับเราอีกต่อไป สิ่งที่เราต้องการคือที่กำบังทั้งคืน จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากต้องหาโรงแรมใหม่
ตลอดเวลาที่เราอยู่ในร้านก็มีเสียงเฮ และเสียงปืนเป็นระยะๆ พร้อมทั้งเสียงไซเรนรถตำรวจที่เพิ่มมากขึ้น
ในที่สุดเราก็ตัดสินใจถามถึง โรงแรมที่ปลอดภัย ที่เราจะเข้าไปได้
พนักงานคนหนึ่งคิดอยู่ซักพัก แนะนำว่า “ถ้าคุณเดินออกไป ผ่านMcDonald ไป พอจะมีโรงแรมอยู่”
นั่นทำให้พวกเรามีความหวังเพิ่มมากขึ้น ตอนนั้น เพื่อนคนจีนกลัวมากจนขยับตัวๆไม่ได้ เราก็มึนๆเพราะความเหนื่อยล้า และความกลัว แต่เราอยู่ที่นี่ไม่ได้ ออกไปก็อาจเจอกับลูกหลง ทางเดินด้านหน้ามืดและเปลี่ยว เราจึงตัดสินใจจูงมือกันทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวเดินออกจากร้าน
ต้องขอขอบคุณพนักงานในร้านนั้นจริงๆที่ช่วยให้ข้อมูลแก่เรา และยังแนะนำสิ่งที่ดีให้
ระหว่างทางเดินมีกลุ่มชนพื้นเมืองเดินตามเรา สี่ถึงห้าคน ตอนนั้นพยายามพูดภาษาอังกฤษ ให้เหมือนนักท่องเที่ยว แต่หน้าตาพวกเราจีนมาก
โชคยังดี ที่เดินไปซักพักเราเจอกับตำรวจ พวกที่ตามเราหายเข้าตรอกไปหมด เราขอคำแนะนำเรื่องโรงแรมที่ปลอดภัย
สุดท้ายเราก็ได้หลุมหลบภัยแห่งใหม่ชื่อว่า Le apple เป็นโรงแรมใหญ่ เข้าซอยไม่ถึงสิบก้าวและมีความปลอดภัยสูง เมื่อเราไปถึงโรงแรมมองผ่านประตูกระจกพบว่าภายในมืดสนิท เราพบยามคนหนึ่ง เขาปลดล็อคประตูให้เราจากด้านใน เรามั่นใจว่าเราพบสถานที่ปลอดภัยแล้ว แม้ว่าภายนอกยังมีคนชุดดำวิ่งตะโกนผ่านกระจกใสของโรงแรมก็ตาม
ตลอดเวลาที่เราเดินบนถนน ชีวิตเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เราไม่สามารถไว้ใจใครได้ สิ่งที่เรากลัวคือลูกหลง เราไม่รู้จักเมืองนี้ดีพอ
ตอนกลางวันหรือคืนก่อน เราเดินไปมาหัวเราะเฮฮา โดยไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่เคยรู้เลยว่าคนมุสลิมมาเลเดิมบางคนจะเกลียดโกรธคนจีนมาเลขนาดนี้
และเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาจะมีอะไรเกิดขึ้น ตลอดทั้งคืนนั้นมีเสียงปืนดังทั้งคืน และเราจะกลับบ้านได้ไหมในวันพรุ่งนี้
(ขอขอบคุณโรงแรม Le Apple อีกครั้งที่เปิดประตูให้เราเข้าพัก 5 คนในหนึ่งห้อง ในคืนนั้น)
และขอบคุณพวกเรา ที่มีกันและกัน ไม่ทิ้งกันไปไหน จนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย




และอยากบอกว่าไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน อย่างแรกที่ต้องติดตัวไว้คือพาสปอต และสติค่ะ
‘’’’’’’’’
เมื่อกลับบ้านมาอ่านข่าวเราถึงได้รู้ว่า สิ่งที่เป็นชนวนของเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นในห้าง Low Yat ซึ่งเดินถัดไปไม่ถึงนาทีก็ถึงโรงแรมของเรา และเรื่องราวเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เราเดินทางไปถึง ขณะที่เรากำลังถ่ายรูปกันอยู่หน้าห้าง ภายในห้างเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ในวันที่12 ถ้าเรากลับโรงแรมเร็วกว่านั้น เราอาจจะเป็นอันตรายเช่นกัน เพราะเค้าชุมมุมกันตั้งแต่สองทุ่มและรวมตัวกันใหม่ในเวลาประมาณเที่ยงคืน
ในคืนนั้นมีผู้บาดเจ็บ มีการทุบตีผู้ที่สัญจรไปมาด้วยหมวกกันน๊อค ใช้ปืน ทุบรถ และมีระเบิด
ขอบคุณทุกสิ่งอย่างที่ทำให้เรารอดมาได้
ถ้ารู้ คงไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ในกัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย
คืนวันที่ 10 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา จขกท และเพื่อนๆอีก 4 คน แบกเป้นั่งรถบัสไปกันเอง ถึงมาเลเซียเช้าวันที่ 11 กรกฎาคม เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวที่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
พวกเราได้จองที่พักในตัวเมือง ย่าน Bukit Bintang มีชื่อว่า Sky Hotel มาล่วงหน้าแล้ว เป็นโรงแรมที่ทำเลดีมาก เพราะอยู่ในย่านที่หาของกินได้ง่ายและใกล้แหล่งจับจ่าย เดินแค่ไม่กี่นาที ไม่กี่บล็อก ก็ถึงห้างใหญ่ๆหลายๆห้าง พวกเราก็แฮปปี้ดี๊ด้า เพราะจะได้เดินช็อปปิ้งกัน
วันแรก หลังจากเพื่อนชาวมาเลเซีย คนท้องถิ่น มารับและพาไปเที่ยวนอกเมืองทั้งวัน ส่วนช่วงค่ำๆพวกเราก็กลับมาช็อปกันเอง จนถึงประมาณสี่ทุ่ม ห้างเริ่มปิดเราก็เดินกลับโรงแรม ถ่ายรูปเล่น หาอะไรกินแถวนั้น สนุกสนานเฮฮา ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ
วันที่สองของการท่องเที่ยวในกัวลาลัมเปอร์ คือวันที่. 12 กรกฎาคม หลังจากเดินเที่ยว CC Tower ( ตึกแฝด ปิโตรนาส ) จนห้างปิด พวกเราก็นั่งรถเมล์ฟรีกลับมายังย่านดังบริเวณใกล้ที่พักของเรา ระหว่างทางที่รถเมล์เริ่มขับเข้าเขต Bukit Bintang รถติดเหมือนกรุงเทพฯเลย และมีเพื่อนในกลุ่มเห็นเหมือนมีคนเดินประท้วงอะไรบางอย่าง เราก็หันไปดูกัน แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าคือการประท้วงถือป้ายทั่วไป
เมื่อถึงจุดหมายที่พวกเราต้องลงเพราะเป็นป้ายสุดท้าย ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบๆ เที่ยงคืน กลุ่มเราผู้หญิงล้วนทั้ง 5 คน ยังได้ของฝากไม่ครบ ระหว่างทางเดินกลับที่พัก ก็เลยเดินแวะตามร้านค้าต่างๆ KK market และ 7-11 ซื้อของแปลกๆกลับบ้าน เดินเมาท์ ดูความแตกต่างของแต่ละอย่างที่ไม่เหมือนของไทยเรา เพราะพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินทางกลับบ้านแล้ว ส่วน จขกท ยังไม่ได้ชอกโกแลตที่ถูกใจกลับไปฝากที่บ้าน ท่ามกลางร้านรวงที่ทยอยปิดร้านโชคดีที่ยังมีร้านชอกโกแลตเปิดอยู่ร้านนึง เราจึงพุ่งตรงเข้าไปทันที
ระหว่างที่กำลังเลือกซื้อชอกโกแลตอยู่ เจ้าของร้านก็ปิดประตูเหล็กบังตาลงทับชั้นกระจกหน้าร้านอีกชั้น ทั้งๆที่มีลูกค้าคือกลุ่มเราอยู่ โดยไม่สนใจคำทักท้วงว่าเรายังซื้อของกันไม่เสร็จ ระหว่างนั้นมีสามีภรรยาอีกคู่นึง ยืนเคาะเรียกให้เปิดประตู เพื่อที่จะเข้ามาในร้าน เจ้าของร้านเปิดประตูเหล็กครึ่งหนึ่งเพื่อให้เข้ามา ผู้ชายคนนั้นบอกว่า “Fighting outside” ข้างนอกมีเหตุทะเลาะวิวาทกัน
ตอนนั้นสิ่งที่เราเห็นคือ คนวิ่งพล่านด้านนอก มีเสียงทำลายข้าวของและเราอยู่ห่างจากเหตุการณ์นั้นแค่ประตูกั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ประตูเหล็กที่ถูกยกขึ้นครึ่งบานถูกปิดลงอีกครั้ง
จากคำบอกเล่าของคนในร้านคือ ภายนอกเป็นการต่อสู้กันของคนในท้องถิ่นไม่พอใจคนเชื้อสายจีนมาเล ต่อมาก็มีเสียงเขย่าประตู เงาคนวิ่งหน้าร้าน และ เสียงปืนดังอีกสองสามนัด ตอนนั้นยอมรับเลยว่าตกใจเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะออกจากร้านนี้และกลับโรงแรมได้
พวกเราเองก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เพื่อนคนนึงเป็นคนจีน ตอนนั้นเราพยายามหลบตัว ตามชั้นวางของ เราถามพนักงานในร้าน ว่าควรทำอย่างไร เค้าบอกว่าเราคงต้องนอนในร้านแล้วแหละ คืนนี้ออกไปไหนไม่ได้ เพราะอันตรายมาก ออกไปอาจจะเกิดลูกหลง เราพยายามควบคุมสติ ว่าอย่างน้อยเราก็ปลอดภัยที่อยู่ในร้าน ส่วนคู่สามีภรรยาก็อยู่ในชะตากรรมเดียวกับพวกเรา คือคนอินโดนีเซีย
ครู่หนึ่ง มีเสียงรถตำรวจดังขึ้น เราก็รอให้สถานการณ์สงบลง เมื่อดูเหมือนจะปลอดภัย เจ้าของร้านยอมเปิดประตูเหล็กออก เรา 5 สาวเลยตัดสินใจกลับโรงแรม แต่ว่าสิ่งที่เราพบคือ เส้นทางที่เราเดินกลับโรงแรม ตำรวจได้กั้นด้วยพลาสติกสีเหลือง กั้นบริเวณนั้น ไม่ให้เดินผ่าน เหมือนในหนังฆาตกรรม เส้นทางดูโล่งจนผิดปกติ เราเห็นตำรวจซึ่งลักษณะคล้ายตำรวจจราจร ทำท่าคล้ายการให้ใบสั่งรถที่จอดข้างทาง เราจึงเดินไปหาตำรวจ เพื่อให้นำทางไปที่โรงแรมของเรา
ทันทีที่เราบอกชื่อโรงแรม ตำรวจผู้นั้นหยุดเขียน พลางเก็บกระดาษปากกาหันมาคุยกับเราอย่างเคร่งเครียดทันที เขาแนะนำให้เรา ไปหาร้านกาแฟที่เปิด24ชม. นั่งซัก 3 ชม. เนื่องจากบริเวณโรงแรม คือจุดที่เกิดเหตจลาจลซึ่งอันตรายมากๆ
ตอนนั้นเรารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยแน่ๆ ผู้หญิง 5 คนเดินอยู่บนทางเปลี่ยวในต่างประเทศ ร้านค้าต่างๆปิดประตูหนีหมดแล้ว บนทางเดินที่เงียบและไร้ที่กำบัง ระหว่างทางมีแต่คนท้องถิ่น แขกมาเล มองเราด้วยสายตาแปลกๆซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า เราจะไปหาที่ปลอดภัยได้ที่ไหน
เราพยายามเดินต่อไปเพราะคิดว่าต้องมีร้านเปิด 24 ชม.อยู่บ้าง
และแล้วเราก็เดินมาเจอร้าน KFC 24ชม. แต่เมื่อเข้าไปในร้านที่เราคิดว่าจะเป็นที่กำบังให้เรานั้น กลับแย่กว่าเดิม
เพื่อนในกลุ่มเผลอพูดภาษาจีนสื่อสารกัน จากนั้นกลุ่มคนท้องถิ่นที่อยู่ในร้านKFC ก็มองเราด้วยสายตาแปลกๆหันไปพูดภาษาท้องถิ่นกัน และในKFC เป็นกระจกใสรอบร้าน หากจะมีกลุ่มหัวรุนแรงเข้ามาก็จะเห็นเราได้ทุกเมื่อ เราอาจถูกพาตัวออกไปได้โดยง่ายๆ
พวกเรายืนอยู่กับที่ในKFC จขกท ตัดสินใจขึ้นไปชั้นบน เผื่อว่าจะปลอดภัยกว่า แต่สิ่งที่เห็นคือ ร้านที่บอกว่าเปิด 24 ชม. พนง กลับบอกว่าชั้นสอง Close ปิด ความกลัวแล่นขึ้นมาจับใจ มีคนต่างถิ่นเป็นกลุ่มๆ ยืนอยู่ด้านนอก แม้แต่ขอทานที่นั่งขาบวมอยู่หน้าKFC ที่เราเห็นขากลับโรงแรมทุกที ก็พับเสื่อหายไปกันหมดแล้ว ตอนนั้นพวกเราหวาดกลัวทวีคูณ โดยเฉพาะเพื่อนชาวจีนที่ไม่สามารถเข้าใจภาษาไทยที่เราพูด และไม่สามารถพูดภาษาจีนได้ และเรารู้ว่าในร้าน KFC นี่อันตรายยิ่งกว่าร้านขายชอกโกแลตหลายเท่า
ตอนนั้น จขกท รู้อย่างเดียวว่า เราต้องไปจากที่นี่ และด้วยความที่หน้าตาดูไม่จีนที่สุดในกลุ่ม ตัดสินใจเดินออกไปดูนอกร้าน KFC โชคดีที่เห็นร้านขายน้ำหอมแห่งหนึ่งเข้าที่ยังเปิดอยู่ อย่างน้อย เราก็มีที่กำบัง มีที่แอบให้พ้นสายตาได้บ้าง พวกเราจึงพากันเดินไปหลบในร้านนั้น
ทำทีว่าเดินเลือกของ ในใจของทุกคนวุ่นวายในตอนนั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย ทั้งกลัว เพื่อนคนจีนยิ่งกลัวใหญ่ เราพยายามสอบถามข้อมูลกับพนักงาน ว่าที่นี่ปลอดภัยหรือไม่ เพราะแม้แต่ คนทางร้านก็ยังจับประตูร้านเตรียมจะปิดอยู่ทุกเวลา
พนักงานบอกว่า
“คุณหลบที่นี่ได้ถึงตีสอง ร้านเปิดถึงเวลานั้น แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณจะปลอดภัยรึเปล่า เพราะฉันไม่รู้ว่าคนอื่นในร้านเป็นอย่างไร”
และเพื่อนอีกคนในกลุ่มเดินเข้าไปหลังร้านพยายามจะถามข้อมูลอื่นๆ แต่ พนักงานหลายคนทำเหมือนฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง และไม่อยากคุยด้วย
ในตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวว่า ไม่มีร้านกาแฟหรือร้านไหนๆจะปลอดภัยกับเราอีกต่อไป สิ่งที่เราต้องการคือที่กำบังทั้งคืน จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากต้องหาโรงแรมใหม่
ตลอดเวลาที่เราอยู่ในร้านก็มีเสียงเฮ และเสียงปืนเป็นระยะๆ พร้อมทั้งเสียงไซเรนรถตำรวจที่เพิ่มมากขึ้น
ในที่สุดเราก็ตัดสินใจถามถึง โรงแรมที่ปลอดภัย ที่เราจะเข้าไปได้
พนักงานคนหนึ่งคิดอยู่ซักพัก แนะนำว่า “ถ้าคุณเดินออกไป ผ่านMcDonald ไป พอจะมีโรงแรมอยู่”
นั่นทำให้พวกเรามีความหวังเพิ่มมากขึ้น ตอนนั้น เพื่อนคนจีนกลัวมากจนขยับตัวๆไม่ได้ เราก็มึนๆเพราะความเหนื่อยล้า และความกลัว แต่เราอยู่ที่นี่ไม่ได้ ออกไปก็อาจเจอกับลูกหลง ทางเดินด้านหน้ามืดและเปลี่ยว เราจึงตัดสินใจจูงมือกันทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวเดินออกจากร้าน
ต้องขอขอบคุณพนักงานในร้านนั้นจริงๆที่ช่วยให้ข้อมูลแก่เรา และยังแนะนำสิ่งที่ดีให้
ระหว่างทางเดินมีกลุ่มชนพื้นเมืองเดินตามเรา สี่ถึงห้าคน ตอนนั้นพยายามพูดภาษาอังกฤษ ให้เหมือนนักท่องเที่ยว แต่หน้าตาพวกเราจีนมาก
โชคยังดี ที่เดินไปซักพักเราเจอกับตำรวจ พวกที่ตามเราหายเข้าตรอกไปหมด เราขอคำแนะนำเรื่องโรงแรมที่ปลอดภัย
สุดท้ายเราก็ได้หลุมหลบภัยแห่งใหม่ชื่อว่า Le apple เป็นโรงแรมใหญ่ เข้าซอยไม่ถึงสิบก้าวและมีความปลอดภัยสูง เมื่อเราไปถึงโรงแรมมองผ่านประตูกระจกพบว่าภายในมืดสนิท เราพบยามคนหนึ่ง เขาปลดล็อคประตูให้เราจากด้านใน เรามั่นใจว่าเราพบสถานที่ปลอดภัยแล้ว แม้ว่าภายนอกยังมีคนชุดดำวิ่งตะโกนผ่านกระจกใสของโรงแรมก็ตาม
ตลอดเวลาที่เราเดินบนถนน ชีวิตเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เราไม่สามารถไว้ใจใครได้ สิ่งที่เรากลัวคือลูกหลง เราไม่รู้จักเมืองนี้ดีพอ
ตอนกลางวันหรือคืนก่อน เราเดินไปมาหัวเราะเฮฮา โดยไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่เคยรู้เลยว่าคนมุสลิมมาเลเดิมบางคนจะเกลียดโกรธคนจีนมาเลขนาดนี้
และเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาจะมีอะไรเกิดขึ้น ตลอดทั้งคืนนั้นมีเสียงปืนดังทั้งคืน และเราจะกลับบ้านได้ไหมในวันพรุ่งนี้
(ขอขอบคุณโรงแรม Le Apple อีกครั้งที่เปิดประตูให้เราเข้าพัก 5 คนในหนึ่งห้อง ในคืนนั้น)
และขอบคุณพวกเรา ที่มีกันและกัน ไม่ทิ้งกันไปไหน จนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
และอยากบอกว่าไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน อย่างแรกที่ต้องติดตัวไว้คือพาสปอต และสติค่ะ
‘’’’’’’’’
เมื่อกลับบ้านมาอ่านข่าวเราถึงได้รู้ว่า สิ่งที่เป็นชนวนของเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นในห้าง Low Yat ซึ่งเดินถัดไปไม่ถึงนาทีก็ถึงโรงแรมของเรา และเรื่องราวเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เราเดินทางไปถึง ขณะที่เรากำลังถ่ายรูปกันอยู่หน้าห้าง ภายในห้างเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ในวันที่12 ถ้าเรากลับโรงแรมเร็วกว่านั้น เราอาจจะเป็นอันตรายเช่นกัน เพราะเค้าชุมมุมกันตั้งแต่สองทุ่มและรวมตัวกันใหม่ในเวลาประมาณเที่ยงคืน
ในคืนนั้นมีผู้บาดเจ็บ มีการทุบตีผู้ที่สัญจรไปมาด้วยหมวกกันน๊อค ใช้ปืน ทุบรถ และมีระเบิด
ขอบคุณทุกสิ่งอย่างที่ทำให้เรารอดมาได้