ถ้าต้องมีปัญหากับพระสงฆ์ จะทำยังไงถ้าต้องการให้พระสึก

ฉันมีปัญหาต้องการถามความคิดเห็น ใครพอจะช่วยได้รบกวนบอกที เรื่องมีอยู่ว่า ฉันทำธุรกิจร่วมกับผู้ชายคนหนึ่งมา13ปีก็มีดีบ้างแย่บ้าง ทั้งเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัว จนมาเมื่อเดือน ธันวาคม ปีที่แล้ว เค้าบวช ซึ่งทีแรกก็คุยกันปกติ คือบวชตามความต้องการของแม่เค้า โดยจะต้องบวชเป็นเวลา 1 เดือนตามเงื่อนไขทางวัด ก็ตกลงปิดร้านมอเตอร์ไซต์ที่ทำด้วยกันเพราะไม่มีคนซ่อมรถซึ่งเป็นงานหลักของร้าน ก็คิดว่าเดือนเดียวไม่น่าจะเดือดร้อนอะไร เพราะร้านที่ทำเช่าพ่อฉันเอง   ก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ แต่หลังจากบวชครบกำหนดแล้วเค้าก็ยังไม่สึก ฉันเองก็เป็นคนชอบเข้าวัดก็ไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าคงไม่นาน มีข่าวคราวบ้างว่าจะสึก แต่ก็ไม่เป็นตามนั้น (วัดอยู่ไกลจากบ้านฉันมากเลยไม่ได้ไปบ่อย ) จนเลยสงกรานต์มา คนทางบ้านฉันก็ว่าไม่โอเคแระ ปิดร้านนานไปแถมพระก็ไม่ส่งข่าวบ้างเลย ทั้งๆที่ทางครอบครัวพระก็แวะไปหาบ่อยๆ หลังจากเสร็จงานศพพี่ที่สนิทมาก   ฉันก็ตัดสินใจไลน์ไปบอกพี่ชายพระว่าว่างช่วยมาเอาชุดที่พระจะสึกไปให้พระที เพราะดูจากไลน์ครอบครัวพระ  เห็นเค้าเพิ่งไปหาพระมา (โทรศัพท์ของพระอยู่ที่ฉัน) แต่วันรุ่งขึ้น กลับเป็นข้อความจากแม่พระขึ้นมา4ข้อความ ฉันไม่ได้อ่านรายละเอียด แต่แค่บางคำก็พอจะเข้าใจได้ว่า แม่เค้าไม่อยากให้พระสึก แล้วคิดว่าฉันไม่ลำบากเพราะร้านที่ปิดก็เช่าพ่อฉัน  แต่ฉันมีรายได้ทางเดียวจากร้านมอเตอร์ไซต์ พอปิดก็ชะล่าใจไม่คิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็ใช้เงินเก็บดำเนินชีวิตรอพระสึกมาเปิดร้านต่อ ทั้งๆที่มีภาระต้องผ่อนรถ    ทำให้ฉันต้อง ไปถามพระว่าจะสึกเมื่อไหร่ (ทีแรกที่ไม่ได้ถาม เพราะคิดว่าควรให้เค้าพร้อมสึกเอง แล้วไปถามพระเรื่องสึกมันคงไม่เหมาะ) พอไปครั้งแรกต้นเดือน พฤษภาคม ก็เรียกว่าช็อกเลย งงมากกับท่าทีของพระ จากคนที่เพื่อนๆคิดว่าบวชแล้วจะแต่ง กลับบอกว่าให้คิดว่าเค้าตายจากเราแล้ว  ให้คุณอาของเค้าจัดการข้าวของไปเก็บที่อื่น แต่พระก็ไม่เคยบอกกับคุณอาเค้าเลย แล้วให้ เอารถกระบะที่ฉันเป็นคนดาวน์มาใช้ทำธุรจ (ผ่อนหมดแล้ว)ไปขายแล้วเอาเงินที่ได้ให้ฉันเป็นการหักหนี้กันไป (รถเป็นชื่อพี่ชายพระ) ทำเอาฉันอึ่งทำอะไรไม่ถูกได้แต่โทรไปร้องไห้กับเพื่อน พอตั้งสติได้ก็กลับไปคุยกับพระเป็นครั้งที่2 คราวนี้ฉันพยายามควบคุมอารมณ์ หาพระรูปอื่นมาร่วมแก้ปัญหา เพราะฉันอยากให้พระสึกออกมาจัดการเรื่องที่ร้าน จะทำต่อหรือจะปิดกิจการก็ขอให้พระออกมาจัดการเอง มันจะดีกว่าเพราะของในร้านมีของพ่อพระอยู่ด้วย แล้วคุณอาที่ช่วยอยู่ที่ร้านยังต้องช่วยผ่อนจ่ายหนี้สินค้าที่ซื้อมาก่อนบวชอีกเลยไม่ได้จ่ายค่าเช่าร้านให้พ่อฉันเลยตั้งแต่บวช แต่พระกลับบอกว่าโยมพ่อบอกว่าจ่ายแล้ว   พยายามหาทางออกที่ดีที่สุด แต่แทนที่พระจะเข้าใจกลับบอกว่าถ้าสึกไป จะมาบวชใหม่ต้องรออีก400คิว แล้วธรรมที่ศึกษามาจะไม่ต่อเนื่อง  แถมบอกอีกว่าทางวัดอยากให้อยู่ช่วยงาน   พระยังบอกอีกว่ารถเก๋งที่ออกมาได้1ปีจากโครงการรถคันแรกเป็นภาระของฉันคนเดียว  ทั้งๆที่ก็รู้ว่าค่าผ่อนรถมาจากรายได้ที่ร้าน เหมือนตอนผ่อนรถกระบะ  รวมทั้งแมวที่เก็บมาเลี้ยงก็ควรเอาไปปล่อยซะ  แต่ล่ะคำพูดแสดงออกถึงความเห็นแก่ตัว ไม่อยากรับผิดชอบอะไรอีก ฉันเลยบอกว่าพระต้องสึกมาจัดการ โดยพระขอปฎิบัติธรรมและอ่านหนังสืออีกเดือนครึ่ง ฉันก็ถือว่ายอมคนละครึ่งทาง   แต่ก็ยังจะใช้คำเล่นแง่อีกว่าอาจจะ         ฉันอายุจะ40แล้ว    จะไปสมัครงานก็ไม่มีคนรับ   เงินเก็บก็มาลงที่ร้าน ไม่มีทุนอีก ที่ร้านก็เหมือนเป็นความหวังเดียวของฉัน พอใกล้ครบกำหนดที่ตกลงกัน ฉันก็ไปหาพระอีกเป็นครั้งที่3 กะว่าครั้งนี้ต้องเอาชุดไว้ให้พระเตรียมสึก พระก็ว่าไม่ให้เอาไว้เดี๋ยวพระรูปอื่นตกใจ(อันนี้งง ว่าตกใจทำไม) บอกว่าทางวัดมีชุดเดี๋ยวจัดการเอง จนเลยกำหนดมา2วัน ฉันเลยโทรไปที่วัดกลับได้รับคำตอบว่าไปปฏิบัติธรรมที่อื่น ทางวัดบอกไม่ได้ติดต่อให้ไม่ได้ ทั้งๆที่ฉันก็อธิบายความจำเป็นให้ฟัง แต่ทางวัดก็มองเป็นเรื่องส่วนตัว แล้วบอกว่าเป็นเรื่องที่ต้องให้พระตัดสินใจเอง แถมไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ ฉันหมดปัญญาจริงๆ ครอบครัวพระก็เงียบไม่ติดต่อฉันเลย มีคนเคยบอกฉันว่าอย่าเลือกผู้ชายเพราะแค่เค้าเป็นคนดี ฉันเพิ่งเข้าใจก็ตอนนี้เอง   คนจะเป็นพระต้องเป็นยังไง ต้องฝักใฝ่แต่ธรรมจนไม่มองคนอื่นว่าจะเดือดร้อนไหม ต้องเน้นแต่ความกตัญญูแล้วไม่ต้องสนใจว่าปล่อยภาระให้คนอื่นรับผิดชอบอย่างนี้ใช่ไหม ฉันเคยคิดว่าจะเข้าไปคุยกับพระครูปลัดให้ช่วยแก้ปัญหา แต่ก็กลัวได้คำตอบเหมือนคนที่วัด แล้วอย่างนี้ใครอยากหนีปัญหาก็ไปบวช คนอื่นจะได้ทำอะไรไม่ได้ใช่ไหม อย่างถ้าเป็นหนี้บวชแล้วไม่ต้องจ่ายหรอ แล้วทางวัดไม่ให้ความร่วมมือ ไม่สามารถติดต่อได้เป็นเรื่องที่เชื่อได้หรอ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงแท้ๆ แต่ปกป้องกันแบบไม่มีความเห็นใจคนที่กำลังเดือดร้อน เป็นพระมีแต่คนเอาของดีๆมาถวาย ทั้งของกินทั้งปัจจัย ฉันซะอีกที่ต้องประหยัดกินมาม่าเป็นอาหารหลักเลยก็ว่าได้ เงินที่มีก็ต้องผ่อนรถ ขายไม่ได้5ปี เพราะติดโครงการรถคันแรก ใครพอมีคำแนะนำให้คนอ่อนแออย่างฉันบ้าง ถ้าฉันไม่ได้นับถือศาสนาพุทธก็อยากทำแบบแตงโม จริงๆก็เกือบทำเหมือนกัน แต่ก็รู้ว่ามันเป็นการหนีปัญหา ตายไปก็ยังทิ้งภาระให้พ่อแม่ ไม่ตายก็อับอายกลายเป็นเรียกร้องความสนใจ แต่กลับผู้ชายคนนึงที่มีแต่คนชื่นชม กับการเป็นพระ ได้ปฏิบัติธรรม ได้เผยแผ่ธรรมะ  อะไรคือความยุติธรรม อะไรคือธรรมะ ฉันไม่รู้ว่าเค้ากล้าสอนคนอื่นให้เป็นคนดีได้ยังไงเค้าจะมีความละอายใจบ้างไหม ที่ฉันมาเขียนกระทู้ก็อยากขอแนวคิดจากเพื่อนๆ เผื่อจะมีทางสว่างให้ฉันเดินได้บ้าง ถ้ากระทู้ของฉันทำให้ใครไม่พอใจหรือรบกวนใจใคร  ฉันก็ขอโทษด้วย ฉันแค่อัดอั้นมาก ถึงพ่อบอกว่า จะเลี้ยงฉันเองถ้าฉันไม่มีงาน แต่มันก็ไม่สมควรทำอย่างนั้น ตั้งแต่เรียนจบฉันก็ไม่เคยขอเงินพ่อเลย พ่อก็มีแค่เงินเดือนที่พี่ชายให้เท่านั้น   ส่วนหนึ่งฉันยอมรับว่าโกรธ และเจ็บแค้นพระมาก เหมือนคนทำผิดแล้วยังอยู่สุขสบายไม่ทุกข์ร้อน ยังนั่งแผ่เมตตา กรวดน้ำให้ญาติโยมที่มาทำบุญ เห็นแล้วบอกได้เลยว่าหมั่นไส้มาก ท้ายนี้ก็ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวของฉัน หวังว่าจะเป็นตัวอย่างให้ผู้หญิงทั้งหลายที่ทำตัวเป็นแค่แม่บ้าน คิดว่าเลือกคนที่ดีแล้ว นั่นคือความประมาทที่ควรจำไว้ เราต้องพึ่งพาตัวเองอย่าชะล่าใจเหมือนฉัน ที่ใครๆก็คิดว่ามีแต่ฉันที่จะทำร้ายเค้า เค้าไม่มีวันทำร้ายฉัน  แล้วอยู่มาคนดีกลายเป็นคนไม่รับผิดชอบ หรือจากเราไป เราก็จะดำเนินชีวิตต่อไปได้  ขอบคุณนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่