“อยากไปเชียงใหม่ว่ะ...”
“หน้าฝนอ่ะนะ?”
“ไปหน้าหนาวคนก็เยอะอีกดิ...”
“ละแกจะไปกับใคร....”
“ไม่รู้ว่ะ...คนเดียวมั้ง..”
“เออดีๆ..แบคแพคไปคนเดียวซักครั้ง กลับมาแกจะเป็นคนใหม่เลย”
หลังจากบทสนทนาข้างบนจบลงประมาณครึ่งชั่วโมง มือเจ้ากรรมของเราก็กดจองโฮสเทลไปสามคืนแบบไม่มีสติ ตอนนั้นคิดว่า ‘เฮ้ย จองผ่านบุ๊คกิ้งดอทคอม ยังไงถ้าไม่ไปก็ยกเลิกได้อยู่แล้ว’ มหากาพย์การ (คิดว่า) จะไปเที่ยวคนเดียวครั้งใหญ่ของผู้หญิงบอบบาง(เหรอ) จึงเริ่มขึ้น
เราจองที่พักช่วงต้นเดือนกรกฏาคม เพราะเวลาว่างมีแค่ช่วงนั้นและขึ้นมาทำธุระที่กรุงเทพพอดี ตอนนั้นในมือถือเราแคปไว้แต่รูปที่เที่ยวในเชียงใหม่รัวๆ เราเลยได้รู้ว่า แกกกก ที่เที่ยวมันเยอออออออะ #ขอพื้นที่กรีดร้องสองเอเคอร์
หลังจากจัดการแผนเที่ยว และอ้อนขอพ็อกเกตมันนี่แม่ได้เสร็จสรรพ เพื่อนตัวกลม(น้อยกว่าเรา) นามสมมุติ เอมี่ ก็มาร้องไห้งอแงว่าอยากไปเชียงใหม่แต่ไม่มีเพื่อนไป และเราไปคนเดียวพอดี นางเลยขอมาด้วย เราก็ยินดีมาก เพราะจะได้มีคนช่วยหารค่ารถ (เกลือร่วงจากหน้าเลยค่ะคุณ) เราเลยจองที่พักเผื่อและจัดการจองตั๋วรถทัวร์เครื่องบินเสร็จสรรพเรียบร้อย มีเพื่อนไปด้วยจะไปตายเอาดาบหน้าตามเดิมไม่ได้ 55555 เอมี่อยากไปม่อนแจ่มด้วย ซึ่งเราที่อยากไปเหมือนกันแต่ไม่มีตังในตอนแรกก็เลยตกลงปลงใจไปม่อนแจ่มกันในวันที่สอง และเปลี่ยนไปดอยสุเทพเป็นวันที่สามแทน (ดูพยากรณ์อากาศมาว่าวันที่สองฝนจะไม่ตก ฮี่ๆ) ทริปกินเที่ยวเปรี้ยว(เพราะไม่ได้อาบน้ำ)เลยเริ่มต้นขึ้นค่าาา : D
040715 - วันแรก สติแตกเสมอ
ในที่สุดท่อนขาอันเรียวงามของเราก้าวลงมาเหยียบแผ่นดินเชียงใหม่อย่างมั่นคง ฮิยะฮะฮ่า เรากับเพื่อนนั่งรถทัวร์ของบริษัมสมบัติทัวร์มาถึงอาเขตตอนประมาณเกือบๆเจ็ดโมงเช้า ล้างหน้าล้างตากันเรียบร้อย เราก็ออกมาหารถแดงไปตลาดขนมปังกัน
หลังจากตกลงราคากับรถแดงได้ (คนละ 100 บาทถ้วน) และโทรหาเจ้าของนานาจังเกิ้ลให้บอกทางคุณลุงคนขับเรียบร้อย เราสองคนก็กระโดดขึ้นรถอย่างว่องไว(หิว) ใช้เวลาประมาณ 25 นาทีก็มาถึงนานาจังเกิ้ล เป็นซอยเล็กๆร่มรื่นมาก อยู่ติดกับอบต.ช้างเผือก ตลาดขนมปังนี้อยู่ในหมู่บ้านสวนไผ่ล้อม ซึ่งจะมีชาวต่างชาติอยู่เยอะพอสมควร ทุกเช้าวันเสาร์ก็จะมีตลาดเล็กๆ ซึ่งมีทั้งขนมปัง นม ผักผลไม้ ไส้กรอก และเสื้อผ้ามัดย้อม ทุกอย่างที่นี่จะเป็นโฮมเมดทั้งหมดเลยค่ะ แถมนมนี่ยังเป็นนมออร์แกนิกด้วย อร่อยเจ้มจ้นมากๆเลย
เราสองคนไปถึงที่ตลาดตอนประมาณเจ็ดโมงครึ่ง คนที่มารอก็เริ่มเยอะมากแล้ว (ขนมปังจะมาลงตอนแปดโมงค่ะ หอมไปทั้งซอยเลย) ก็เลยไปยืนงงๆกันก่อน พอใกล้ๆแปดโมงก็เริ่มเข้าแถวกัน โชคดีที่ตรงที่พวกเรายืนงงกันอยู่เป็นบริเวณหัวแถวพอดี เลยได้กินไว อิอิ ยิ่งใกล้แปดโมงแถวยิ่งยาวมากค่ะ ยาวไปถึงปากซอยกันเลย คนที่นี่ชอบกินขนมกันมากแน่ๆ พอขนมปังมาลงเท่านั้นแหละค่ะ ความสงบนิ่งตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นกองถ่าย walking dead ทันที ทุกคนกลายร่างเป็นซอมบี้ผู้หิวโหย วิ่งเข้าใส่ขนมปังแบบไม่ออมมือกันเลย ฮ่าๆ ขนมปังที่มีเยอะมากๆ ครัวซองต์ เดนิช ขนมปังที่ยาวๆเหมือนไม้เบสบอล(อ่านชื่อไม่ออก) sour dough พิซซ่าโฮมเมด(น่ากินสุดๆ) ลาซานญ่าก็ยังมี คือเยอะมากๆ บรรยายไม่หมดค่ะ 5555
เรากับเพื่อนแย่งชิงขนมปังกันมาได้คนละสองชิ้น เราได้ครัวซองต์ช็อคโกแลต กับเดนิชช็อคโกแลตอัลมอนด์ ส่วนเพื่อนเราก็ได้ เพลนครัวซองต์ กับเดนิชไส้แอปเปิ้ล แล้วเลยไปต่อแถวได้ไส้กรอกหมูต้มกับหมูรมควันมาอีกอย่างละชิ้น พร้อมนมขวดใหญ่ เราสองคนเลยจัดแจงหาที่นั่งจัดการฟาดเด็กๆที่ซื้อมาให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ทุกคนคะ ขนมปังที่นี่ชิ้นใหญ่มากกกก กินไม่หมดจริงๆ
บรรยากาศที่นี่ดีมากๆเลยค่ะ ด้านหลังจะมีบึงเล็กๆ แล้วก็ศาลาไว้ชงกาแฟกิน กินกี่แก้วก็ได้ (แต่สำหรับเราแก้วเดียวก็ตาค้างแล้ว) หยอดตังตามความสมัครใจ แนะนำเลยสำหรับคนที่ว่างตอนเช้าวันเสาร์ มันดีลลลลลลลย์
หลังจากรับ’ทานขนมปังกันจนอิ่มเอม เราโทรหาคุณลุงรถแดงคนเดิมให้มารับไปส่งที่ที่พัก ตรงนิมมานซอย 1 เราพักที่ 2230 hostel ดูรีวิวไปจาก booking.com พอไปถึงปรากฎว่าเจ้าของที่นี่เป็นคนจีน #งานภาษามือกั้มมา แต่ยังดีที่แกพูดไทยได้คล่องแคล่ว(โล่งอกมากจริงๆ)
หลังจากฝากของไว้ที่ล็อบบี้แล้ว เรากับเพื่อนก็สะพายกล้องคนละตัวเดินตระเวนถนนนิมมานเหมินทร์ ถนนสุดฮิปของชาวเชียงใหม่ อิอิ แต่เนื่องด้วยตอนนั้นเพิ่งเก้าโมงกว่าๆ ร้านค้าต่างๆบนถนนสุดฮิปของเราจึงยังคง ปิด!! เป็นส่วนใหญ่ ร้านแถบย่านนี้จะทยอยเปิดกันประมาณ 10 โมง ถึง 10 โมงครึ่ง เราเลยตกลงกันว่า ไปพิพิธภัณฑ์กันก่อน พิพิธภัณฑ์แมลงและสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติ ตั้งอยู่ในซอยนิมมาน 13 เดินเข้าไปลึกหน่อยค่ะ เรากับเพื่อนพักที่ซอย 1 และแดดเชียงใหม่ก็ไม่เคยปราณีใคร กว่าจะถึงที่หมายแต่ละคนก็ดำขึ้นคนละสองเฉดตามระเบียบค่า โฮรลลลล
พอหอบร่างมาถึง เราก็ต้องช้ำใจอีกระลอก เพราะเจอป้ายอันน้อยๆเขียนว่า “จะกลับมาตอน 11 โมงค่ะ ทำไมไม่รู้จักพกร่ม เดินมาร้อนกันมากสินะ อิพวกโง่วววววว” (ข้างหลังเราเติมเอง เกร้ดดด) ชะนีน้อยตัลล้าคสองคนจึงต้องเดินคอตกกลับไปตั้งหลักใหม่ที่หน้าปากซอย
“เสิร์ชดูเลยมั้ยว่าตอนนี้ร้านไหนเปิดมั่ง” ชะนี 1 กล่าว
“เอาดิๆ ร้อนจะตายละเนี่ย” ชะนี 2 ตอบพร้อมกับปาดเหงื่อตามหน้าผาก
สรุปแล้วเราเลยเดินมาจบที่ร้าน Wake up ซึ่งเปิด 24 ชั่วโมง อยู่ติดกันกับ Subway ค่ะ ตอนเข้าไปกำลังโมโหเพราะร้อนเลยไม่ทันได้สังเกตเมนูให้ถ้วนถี่ เราชอบกินกล้วยเลยสั่งกล้วยปั่นไปแบบไม่ได้คิด ส่วนเพื่อนตัวกลมๆสั่งบลูเบอรี่สมูธตี้(มั้ง) ราคาก็แก้วละ 70 บาทเท่าๆกับร้านกาแฟในกรุงเทพ อิอิ
นั่งๆไปก็เริ่มเที่ยง เริ่มหิว(อีนี่กินตลอดเลยค่ะ) เราก็เดินไปกินกันที่ร้าน Mu’s Katsu นิมมานซอย 8 เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นผสมๆฝรั่ง จะมีข้าวแกงกระหรี่ ข้าวหมูมิโซะ ข้าวหน้าเนื้อ สปาเกตตี้ อะไรพวกนี้ เราสั่งข้าวหมูราดซอสมิโซะไปสองเซท ซอสแอบเค็ม แต่ซุปอร่อยดีค่ะ ให้อภัย
เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็ต้องหย่อนใช่มั้ยคะ ก็ได้ฤกษ์กลับไปนอนพักก่อนจะไปถนนคนเดินกัน คือตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรเป็นไปตามแพลน เลยเซ็ง ไม่มีที่ไป นอนรอก็ได้ฟะ เรากับเพื่อนเลยเดินกลับไปที่โฮสเทล แต่ระหว่างทางเราพบร้านหนังสือ 1 หน่วยชื่อร้าน Book Smith เลยแวะดู ร้านนี้มีหนังสือเยอะประมาณนึงเลยค่ะ ทั้งไทยและเทศ เราก็เดินดูไปเรื่อยๆค่ะ มีมุมถ่ายรูปเยอะ 555555 มีหนังสือเจ๋งๆเยอะด้วยเลยอ้อยอิ่งอยู่นานสองนาน
ออกจากร้านหนังสือ เราก็เดินรวดเดียวถึงที่พัก แล้วก็หลับค่ะ หลับยาวถึงห้าโมง(นี่สาบานว่าแกไปเที่ยวจริงๆใช่มั้ย) ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา เดินออกจากโฮสเทลแล้วโบกรถแดงไปถนนคนเดินวัวลาย ในราคา 20 บาท คือโบกรถแดงนี่ถ้าไปใกล้ๆในเมือง ไม่ต้องถามราคาค่ะ ถ้าพี่คนขับพยักหน้าก็ขึ้นโลด 20 ทุกปลายทาง
พอถึงถนนคนเดินเราสองคนก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินดูของค่ะ ฝ่ายน้ำเงินเพื่อนเราก็ซื้อของฝากเยอะแยะมากมาย ส่วนเราฝ่ายแดง สายกิน ไม่ซื้ออะไรค่ะ นอกจากสแกนหาขนมจีนน้ำเงี้ยวสุดที่รักไปเรื่อยๆ ฮ่าๆๆ เรื่องกินนี่เยอะจนกลับมาตอนนี้ยังไม่กล้าชั่งน้ำหนักเลยค่ะคุณ ตลาดคนเดินวันเสาร์ของจะน้อยกว่าวันอาทิตย์ค่ะ แล้วก็คล้ายๆกันไปหมด (ตามสไตล์เมืองท่องเที่ยวทั่วไป) แต่ต่อราคาได้เยอะนะคะ ต่อก่อนซื้อโลดค่า อิอิ #ขอพื้นที่บนหน้าไปทำนาเกลือ วันนี้เราไม่ได้ของจากถนนคนเดินเลยนอกจากน้ำส้ม 1 ขวดและขนมจีนน้ำเงี้ยว ราคา 20 บาท! อ่านไม่ผิดค่ะคุณ 20 บาทจริงๆ อะไรจะถูกขนาดนั้น คือกินอิ่มเลยด้วย อร่อยด้วย ดีงามมากๆ (พิกัดคือร้านที่อยู่ใกล้ๆทางออกจากวัดที่มีอุโบสถเงินอ่ะค่ะ เป็นร้านที่มีเสื่อปูนั่งกินกับพื้น มีเทียนจุดด้วย โรแมนติกไปอีก) กินกันเสร็จก็เดินต่ออีกหน่อย ดูคนดูของแล้วก็กลับค่ะ เตรียมตัวไปม่อนแจ่มวันพรุ่งนี้ เย้!
ยังไม่สะใจ ขออีกรอบ เยยยยยยยยยยยยยยยยยย้!
นี่เป็นกระทู้เล่าเรื่องกระทู้แรกของเรา ถ้ามีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ *ยิ้มอ่อน*
ทริปนี้ใช้กล้อง 2 ตัว คือ fuji XE2 กับ minota XG1 (ฟิล์ม Fujicolour C200 กับ Kodak ultramax 400 ค่ะ)
มีอะไรพูดคุยกันได้ทาง instagram | @16.913 นะคะ
เชียงใหม่ไง จำไม่ได้เหรอ? [ทริปแบคแพคล่ะมั้ง 4 วัน 3 คืน]
“หน้าฝนอ่ะนะ?”
“ไปหน้าหนาวคนก็เยอะอีกดิ...”
“ละแกจะไปกับใคร....”
“ไม่รู้ว่ะ...คนเดียวมั้ง..”
หลังจากบทสนทนาข้างบนจบลงประมาณครึ่งชั่วโมง มือเจ้ากรรมของเราก็กดจองโฮสเทลไปสามคืนแบบไม่มีสติ ตอนนั้นคิดว่า ‘เฮ้ย จองผ่านบุ๊คกิ้งดอทคอม ยังไงถ้าไม่ไปก็ยกเลิกได้อยู่แล้ว’ มหากาพย์การ (คิดว่า) จะไปเที่ยวคนเดียวครั้งใหญ่ของผู้หญิงบอบบาง(เหรอ) จึงเริ่มขึ้น
เราจองที่พักช่วงต้นเดือนกรกฏาคม เพราะเวลาว่างมีแค่ช่วงนั้นและขึ้นมาทำธุระที่กรุงเทพพอดี ตอนนั้นในมือถือเราแคปไว้แต่รูปที่เที่ยวในเชียงใหม่รัวๆ เราเลยได้รู้ว่า แกกกก ที่เที่ยวมันเยอออออออะ #ขอพื้นที่กรีดร้องสองเอเคอร์
หลังจากจัดการแผนเที่ยว และอ้อนขอพ็อกเกตมันนี่แม่ได้เสร็จสรรพ เพื่อนตัวกลม(น้อยกว่าเรา) นามสมมุติ เอมี่ ก็มาร้องไห้งอแงว่าอยากไปเชียงใหม่แต่ไม่มีเพื่อนไป และเราไปคนเดียวพอดี นางเลยขอมาด้วย เราก็ยินดีมาก เพราะจะได้มีคนช่วยหารค่ารถ (เกลือร่วงจากหน้าเลยค่ะคุณ) เราเลยจองที่พักเผื่อและจัดการจองตั๋วรถทัวร์เครื่องบินเสร็จสรรพเรียบร้อย มีเพื่อนไปด้วยจะไปตายเอาดาบหน้าตามเดิมไม่ได้ 55555 เอมี่อยากไปม่อนแจ่มด้วย ซึ่งเราที่อยากไปเหมือนกันแต่ไม่มีตังในตอนแรกก็เลยตกลงปลงใจไปม่อนแจ่มกันในวันที่สอง และเปลี่ยนไปดอยสุเทพเป็นวันที่สามแทน (ดูพยากรณ์อากาศมาว่าวันที่สองฝนจะไม่ตก ฮี่ๆ) ทริปกินเที่ยวเปรี้ยว(เพราะไม่ได้อาบน้ำ)เลยเริ่มต้นขึ้นค่าาา : D
040715 - วันแรก สติแตกเสมอ
ในที่สุดท่อนขาอันเรียวงามของเราก้าวลงมาเหยียบแผ่นดินเชียงใหม่อย่างมั่นคง ฮิยะฮะฮ่า เรากับเพื่อนนั่งรถทัวร์ของบริษัมสมบัติทัวร์มาถึงอาเขตตอนประมาณเกือบๆเจ็ดโมงเช้า ล้างหน้าล้างตากันเรียบร้อย เราก็ออกมาหารถแดงไปตลาดขนมปังกัน
หลังจากตกลงราคากับรถแดงได้ (คนละ 100 บาทถ้วน) และโทรหาเจ้าของนานาจังเกิ้ลให้บอกทางคุณลุงคนขับเรียบร้อย เราสองคนก็กระโดดขึ้นรถอย่างว่องไว(หิว) ใช้เวลาประมาณ 25 นาทีก็มาถึงนานาจังเกิ้ล เป็นซอยเล็กๆร่มรื่นมาก อยู่ติดกับอบต.ช้างเผือก ตลาดขนมปังนี้อยู่ในหมู่บ้านสวนไผ่ล้อม ซึ่งจะมีชาวต่างชาติอยู่เยอะพอสมควร ทุกเช้าวันเสาร์ก็จะมีตลาดเล็กๆ ซึ่งมีทั้งขนมปัง นม ผักผลไม้ ไส้กรอก และเสื้อผ้ามัดย้อม ทุกอย่างที่นี่จะเป็นโฮมเมดทั้งหมดเลยค่ะ แถมนมนี่ยังเป็นนมออร์แกนิกด้วย อร่อยเจ้มจ้นมากๆเลย
เราสองคนไปถึงที่ตลาดตอนประมาณเจ็ดโมงครึ่ง คนที่มารอก็เริ่มเยอะมากแล้ว (ขนมปังจะมาลงตอนแปดโมงค่ะ หอมไปทั้งซอยเลย) ก็เลยไปยืนงงๆกันก่อน พอใกล้ๆแปดโมงก็เริ่มเข้าแถวกัน โชคดีที่ตรงที่พวกเรายืนงงกันอยู่เป็นบริเวณหัวแถวพอดี เลยได้กินไว อิอิ ยิ่งใกล้แปดโมงแถวยิ่งยาวมากค่ะ ยาวไปถึงปากซอยกันเลย คนที่นี่ชอบกินขนมกันมากแน่ๆ พอขนมปังมาลงเท่านั้นแหละค่ะ ความสงบนิ่งตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นกองถ่าย walking dead ทันที ทุกคนกลายร่างเป็นซอมบี้ผู้หิวโหย วิ่งเข้าใส่ขนมปังแบบไม่ออมมือกันเลย ฮ่าๆ ขนมปังที่มีเยอะมากๆ ครัวซองต์ เดนิช ขนมปังที่ยาวๆเหมือนไม้เบสบอล(อ่านชื่อไม่ออก) sour dough พิซซ่าโฮมเมด(น่ากินสุดๆ) ลาซานญ่าก็ยังมี คือเยอะมากๆ บรรยายไม่หมดค่ะ 5555
เรากับเพื่อนแย่งชิงขนมปังกันมาได้คนละสองชิ้น เราได้ครัวซองต์ช็อคโกแลต กับเดนิชช็อคโกแลตอัลมอนด์ ส่วนเพื่อนเราก็ได้ เพลนครัวซองต์ กับเดนิชไส้แอปเปิ้ล แล้วเลยไปต่อแถวได้ไส้กรอกหมูต้มกับหมูรมควันมาอีกอย่างละชิ้น พร้อมนมขวดใหญ่ เราสองคนเลยจัดแจงหาที่นั่งจัดการฟาดเด็กๆที่ซื้อมาให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ทุกคนคะ ขนมปังที่นี่ชิ้นใหญ่มากกกก กินไม่หมดจริงๆ
บรรยากาศที่นี่ดีมากๆเลยค่ะ ด้านหลังจะมีบึงเล็กๆ แล้วก็ศาลาไว้ชงกาแฟกิน กินกี่แก้วก็ได้ (แต่สำหรับเราแก้วเดียวก็ตาค้างแล้ว) หยอดตังตามความสมัครใจ แนะนำเลยสำหรับคนที่ว่างตอนเช้าวันเสาร์ มันดีลลลลลลลย์
หลังจากรับ’ทานขนมปังกันจนอิ่มเอม เราโทรหาคุณลุงรถแดงคนเดิมให้มารับไปส่งที่ที่พัก ตรงนิมมานซอย 1 เราพักที่ 2230 hostel ดูรีวิวไปจาก booking.com พอไปถึงปรากฎว่าเจ้าของที่นี่เป็นคนจีน #งานภาษามือกั้มมา แต่ยังดีที่แกพูดไทยได้คล่องแคล่ว(โล่งอกมากจริงๆ)
หลังจากฝากของไว้ที่ล็อบบี้แล้ว เรากับเพื่อนก็สะพายกล้องคนละตัวเดินตระเวนถนนนิมมานเหมินทร์ ถนนสุดฮิปของชาวเชียงใหม่ อิอิ แต่เนื่องด้วยตอนนั้นเพิ่งเก้าโมงกว่าๆ ร้านค้าต่างๆบนถนนสุดฮิปของเราจึงยังคง ปิด!! เป็นส่วนใหญ่ ร้านแถบย่านนี้จะทยอยเปิดกันประมาณ 10 โมง ถึง 10 โมงครึ่ง เราเลยตกลงกันว่า ไปพิพิธภัณฑ์กันก่อน พิพิธภัณฑ์แมลงและสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติ ตั้งอยู่ในซอยนิมมาน 13 เดินเข้าไปลึกหน่อยค่ะ เรากับเพื่อนพักที่ซอย 1 และแดดเชียงใหม่ก็ไม่เคยปราณีใคร กว่าจะถึงที่หมายแต่ละคนก็ดำขึ้นคนละสองเฉดตามระเบียบค่า โฮรลลลล
พอหอบร่างมาถึง เราก็ต้องช้ำใจอีกระลอก เพราะเจอป้ายอันน้อยๆเขียนว่า “จะกลับมาตอน 11 โมงค่ะ ทำไมไม่รู้จักพกร่ม เดินมาร้อนกันมากสินะ อิพวกโง่วววววว” (ข้างหลังเราเติมเอง เกร้ดดด) ชะนีน้อยตัลล้าคสองคนจึงต้องเดินคอตกกลับไปตั้งหลักใหม่ที่หน้าปากซอย
“เสิร์ชดูเลยมั้ยว่าตอนนี้ร้านไหนเปิดมั่ง” ชะนี 1 กล่าว
“เอาดิๆ ร้อนจะตายละเนี่ย” ชะนี 2 ตอบพร้อมกับปาดเหงื่อตามหน้าผาก
สรุปแล้วเราเลยเดินมาจบที่ร้าน Wake up ซึ่งเปิด 24 ชั่วโมง อยู่ติดกันกับ Subway ค่ะ ตอนเข้าไปกำลังโมโหเพราะร้อนเลยไม่ทันได้สังเกตเมนูให้ถ้วนถี่ เราชอบกินกล้วยเลยสั่งกล้วยปั่นไปแบบไม่ได้คิด ส่วนเพื่อนตัวกลมๆสั่งบลูเบอรี่สมูธตี้(มั้ง) ราคาก็แก้วละ 70 บาทเท่าๆกับร้านกาแฟในกรุงเทพ อิอิ
นั่งๆไปก็เริ่มเที่ยง เริ่มหิว(อีนี่กินตลอดเลยค่ะ) เราก็เดินไปกินกันที่ร้าน Mu’s Katsu นิมมานซอย 8 เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นผสมๆฝรั่ง จะมีข้าวแกงกระหรี่ ข้าวหมูมิโซะ ข้าวหน้าเนื้อ สปาเกตตี้ อะไรพวกนี้ เราสั่งข้าวหมูราดซอสมิโซะไปสองเซท ซอสแอบเค็ม แต่ซุปอร่อยดีค่ะ ให้อภัย
เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็ต้องหย่อนใช่มั้ยคะ ก็ได้ฤกษ์กลับไปนอนพักก่อนจะไปถนนคนเดินกัน คือตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรเป็นไปตามแพลน เลยเซ็ง ไม่มีที่ไป นอนรอก็ได้ฟะ เรากับเพื่อนเลยเดินกลับไปที่โฮสเทล แต่ระหว่างทางเราพบร้านหนังสือ 1 หน่วยชื่อร้าน Book Smith เลยแวะดู ร้านนี้มีหนังสือเยอะประมาณนึงเลยค่ะ ทั้งไทยและเทศ เราก็เดินดูไปเรื่อยๆค่ะ มีมุมถ่ายรูปเยอะ 555555 มีหนังสือเจ๋งๆเยอะด้วยเลยอ้อยอิ่งอยู่นานสองนาน
ออกจากร้านหนังสือ เราก็เดินรวดเดียวถึงที่พัก แล้วก็หลับค่ะ หลับยาวถึงห้าโมง(นี่สาบานว่าแกไปเที่ยวจริงๆใช่มั้ย) ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา เดินออกจากโฮสเทลแล้วโบกรถแดงไปถนนคนเดินวัวลาย ในราคา 20 บาท คือโบกรถแดงนี่ถ้าไปใกล้ๆในเมือง ไม่ต้องถามราคาค่ะ ถ้าพี่คนขับพยักหน้าก็ขึ้นโลด 20 ทุกปลายทาง
พอถึงถนนคนเดินเราสองคนก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินดูของค่ะ ฝ่ายน้ำเงินเพื่อนเราก็ซื้อของฝากเยอะแยะมากมาย ส่วนเราฝ่ายแดง สายกิน ไม่ซื้ออะไรค่ะ นอกจากสแกนหาขนมจีนน้ำเงี้ยวสุดที่รักไปเรื่อยๆ ฮ่าๆๆ เรื่องกินนี่เยอะจนกลับมาตอนนี้ยังไม่กล้าชั่งน้ำหนักเลยค่ะคุณ ตลาดคนเดินวันเสาร์ของจะน้อยกว่าวันอาทิตย์ค่ะ แล้วก็คล้ายๆกันไปหมด (ตามสไตล์เมืองท่องเที่ยวทั่วไป) แต่ต่อราคาได้เยอะนะคะ ต่อก่อนซื้อโลดค่า อิอิ #ขอพื้นที่บนหน้าไปทำนาเกลือ วันนี้เราไม่ได้ของจากถนนคนเดินเลยนอกจากน้ำส้ม 1 ขวดและขนมจีนน้ำเงี้ยว ราคา 20 บาท! อ่านไม่ผิดค่ะคุณ 20 บาทจริงๆ อะไรจะถูกขนาดนั้น คือกินอิ่มเลยด้วย อร่อยด้วย ดีงามมากๆ (พิกัดคือร้านที่อยู่ใกล้ๆทางออกจากวัดที่มีอุโบสถเงินอ่ะค่ะ เป็นร้านที่มีเสื่อปูนั่งกินกับพื้น มีเทียนจุดด้วย โรแมนติกไปอีก) กินกันเสร็จก็เดินต่ออีกหน่อย ดูคนดูของแล้วก็กลับค่ะ เตรียมตัวไปม่อนแจ่มวันพรุ่งนี้ เย้!
ยังไม่สะใจ ขออีกรอบ เยยยยยยยยยยยยยยยยยย้!
นี่เป็นกระทู้เล่าเรื่องกระทู้แรกของเรา ถ้ามีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ *ยิ้มอ่อน*
ทริปนี้ใช้กล้อง 2 ตัว คือ fuji XE2 กับ minota XG1 (ฟิล์ม Fujicolour C200 กับ Kodak ultramax 400 ค่ะ)