จากเหมยถึงกาสะลอง จากโกวเล้งถึงคุณยิ่งลักษณ์ ( ประชาธิปไตยแบบไทยๆ 2 )

ท่านที่เคารพรักครับ พ่อแม่ พี่น้องของเรา ที่ยากจน ยากไร้ในชนบท ที่โดนเรียกหาว่าคนบ้านนอกคอกนา
ที่หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดินมาตลอดชีวิต เวลาเจ็บป่วยปางตาย ก็อาศัยหมอตี๋ หมอเถื่อน ไปจนถึงหมอผี รักษากันไปตามมี ตามเกิด

จวบจนวันหนึ่ง  คนชนบทได้รับรู้ว่ามีนโยบาย สามสิบบาท รักษาทุกโรค และเขามีสิทธิ์นั้น

พ่อแม่ พี่น้องของเรา ที่ยากจน ยากไร้ในชนบท เขาไม่เข้าใจ แม้จะเคยคิดทำความเข้าใจก็ตามว่า
ทำไม เมล็ดรวงข้าวสีทองเหลืองอร่ามที่พวกเขาปลูกนั้น จึงไม่เคยได้ราคาเลยแม้สักปีเดียว  แต่เถ้าแก่โรงสี กลับรวยเอารวยเอา

ชนบทอันไกลปืนเที่ยงนั้น พวกเขาไม่รู้หรอกว่า ที่ลูกหลานต้องอพยพ ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด เข้าไปเป็นกรรมกร
เป็นสาวโรงงาน เป็นสาวรำวง เป็นโสเภณี เป็นขอทาน เป็นคนขับตุ๊กๆ เป็นคนขับแท๊กซี่ เพราะทนสภาพความลำบากยากเค็ญไม่ได้
เพราะบรรพบุรุษทำนามา กี่ปี ต่อกี่ปี ต่อให้ทำอีกทั้งชาติ ก็ยังเป็นหนี้

สุดท้าย ไม่มีแม้นาจะทำ ลูกหลานชาวนาจึงเหมือนจำเป็นต้องไปตายเอาดาบหน้า
พวกเขาไม่ได้กล้วเปลวแดดที่ร้อนระอุ พวกเขาไม่ได้กลัวลมบ้าหมู

แต่พวกเขากำลังไม่มีจะกินต่างหาก

พวกเขาไม่รู้หรอกว่า รัฐบาลแก้ไขปัญหา ราคาพืชผลเกษตรกรตกต่ำ ที่โดนเอารัดเอาเปรียบให้พวกเขาได้
ด้วยโครงการรับจำนาราคาข้าวทุกเมล็ด และพวกเขามีสิทธิ์นั้น

เมล็ดข้าวรวงสีทองของพวกเขาเมื่อมีราคา  ลูกหลานชาวบ้าน ของพวกเขา
ก็จะเหมือนได้ต่อลมหายใจอาชีพชาวนา ได้อยู่เห็นหน้า ค่าตากัน

ไม่ต้องระเหเร่ร่อนไปขายแรงงาน แบบพลัดที่นา คาที่อยู่  

ตลอดเวลาที่ผ่านมา วิถีชีวิตสังคมชนบทไทย ชาวนาไทย ต้องดิ้นรนต่อสู้กับค่าอาหารสัตว์ ค่าปุ๋ยเคมี
ค่าดอกเบี้ยแสนแพงจากพ่อค้าหน้าเลือดที่กดราคา โกงตราชั่ง และหนี้นอกระบบ
ไปจนถึงการไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา เท่าที่ควรจะเป็น

นี่คือช่องว่างระหว่างคนในประเทศ แน่นอนว่า ความรวย ความจน มันไม่ใช่มาตรวัด ตัดสิน ความดี - ความเลวของคน

แต่แปลกที่คนมักให้ค่าของคน จากความรวย ความจน

ไปจนถึงพยายาม ตัดสินว่า  สิทธิ์เสียงของคนจนนั้น ต้องน้อยกว่า สิทธิ์และเสียงของคนรวย
แต่ความจริงนั้น  หนึ่งสิทธิ์ หนึ่งเสียง มีค่าเท่ากัน
ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในซอกหลืบใดของประเทศ พวกเขาก็ควรจะเท่าเทียมกันในสิทธิ์ที่ควรจะพึงมี พึงได้ ในฐานะ ประชาชนคนไทย  

ย้อนกลับมาพูดถึง รัฐธรรมนูญ และ ประชาธิปไตย ที่มีผลต่อประชาชน

หากพูดถึงความเป็น " ไทยๆ " แล้ว ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังนั่งคุยกันท่ามกลางต้นไทรที่ยืนตระหง่านริมคลอง
ที่ระย้ารากและกิ่งลงกลายดินและราสายน้ำลำคลอง

ส่วนโคนต้นเต็มไปด้วยผ้าเหลือง ผ้าแดง ผ้าน้ำเงิน ผ้าม่วง หลากสี ตุ๊กตาเสียกระบาล
และศาลเพียงตาที่โย้เต็มไปด้วยหยากไย่ ใยแมงมุม

เราไม่ได้คุยกันท่ามกลางซากปรักหักพังของเจดีย์ยอดด้วนที่ล่มสลายเคียงข้างโบสถ์ร้าง
ที่ไกลออกไปมีลมหัวกุดกวาดปั่นเศษใบไม้แห้งดึงม้วนเข้าสู่วังวน  

เราไม่ได้พูดคุยกันด้วยบรรยากาศโผล้เผล้ของแดดผีตากผ้าอ้อมที่ฉาบสีหมากสุก
ที่อวลไปด้วยกลิ่นธูปและกลิ่นหอมประหลาดของดอกซ่อนกลิ่น

เราไม่ได้คุยกันท่ามกลางดวงจันทร์ที่เต็มดวงลอยอ้างว้างอยู่กลางหาว ที่สาดแสงอันเยือกเย็นลงมากระทบ
ผิวน้ำเป็นประกายวาว และมีเสียงหมาหอนขึ้นโหยหวน รับส่งกันเป็นทอดจากวัดไปถึงเมรุเผา และเห็นเงาตะคุ่มของสัปเหร่อ

ความเป็น " ไทยๆ " ที่เราจะพูดคุยกัน มีความหมายตามที่คนตีความว่า การทำอะไรตามใจ แบบไม่มีระเบียบ วินัย ไม่มีกรอบ
  อยากจะทำอะไร ก็ทำ จนเรียกกันว่า

ทำอะไรตามใจ คือไทยแท้

และเมื่อเอาคำว่า " ไทยๆ "  เข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไร สิ่งเหล่านั้นก็มักจะแปลกแปร่ง ขมปร่าในความรู้สึกที่พบเห็น
จนผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น  ก็ว่ากันไป

เพราะสุดท้ายคำว่า " ไทยๆ " ก็คือแพะรับบาปอย่างหนึ่ง  ที่ใช้ได้ผลมาตลอด  ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องอะไรที่ไม่เป็นมาตรฐานสากล

เช่นรัฐธรรมนูญไทย  เหมือนไปเอาทำนองเพลงฝรั่งมาเปลี่ยนเนื้อเป็นไทยสอดไส้ หมกเม็ดกันสนุกแล้ววางขาย

ประชาธิปไตยไทยนั่น เพียงที่ผ่านมา รณรงค์สร้างกระแสไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ ก็เบลอบ้าบอพอแล้ว นอกนั้นไม่ต้องพูดถึง

ส่วนรัฐธรรมนูญที่เขียนกันบนพื้นฐานต้องการบอนไซนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง
ตัดรอนอำนาจนายกฯให้โยกย้ายข้าราชการสักคนก็ไม่ได้  รัฐบาลจะให้มีโครงการนโยบายทำงานอะไร
เพื่อช่วยเหลือคนยาก คนจน ชาวไร่ ชาวนาก็กล้าๆกลัวๆ

ส่วนอะไรที่เขาคิดว่าเป็น " คนของเขา " นั้น  เขาผลัก เขาดัน ช่วยเหลือกันเต็มที่

ทำอะไรตามใจ  คือ ไทยแท้ครับ ประเทศนี้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่