จิตเป็นสมาธิแล้ว รู้อริยสัจได้แจ่มใส เหมือนเห็นของในน้ำอันบริสุทธิ์

กระทู้คำถาม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้น, ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผุดผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่ได้ ไม่หวั่น
ไหว เช่นนี้แล้ว, ได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อญาณเป็นเครื่องสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เรารู้เฉพาะแล้วตามเป็นจริงว่า "นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์, นี้เป็นความ
ดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;
เหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย, นี้เป็นเหตุให้เกิดอาสวะ, นี้เป็นความดับไม่เหลือของ
อาสวะ, และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของอาสวะ;" ดังนี้. เมื่อ
เรารู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็พ้นแล้วจากอาสวะคือกาม อาสวะคือภพ
อาสวะคืออวิชชา. ครั้นจิตพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ ว่า "หลุดพ้นแล้ว" เรารู้
เฉพาะแล้ว ว่า "ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว
กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก" ดังนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้แล วิชชาที่สาม ที่เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี. อวิชชาถูกกำจัดแล้ว
วิชชาเกิดขึ้นแล้ว; ความมืดถูกกำจัดแล้ว ความสว่างเกิดขึ้นแล้วโดยประการ
ที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วแลอยู่.
    
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนห้วงน้ำใสสะอาด ที่ไหล่เขา ไม่ขุ่นมัว, คนมีจักษุ
(ไม่บอด) ยืนอยู่บนฝั่ง ณ ที่นั้น : เขาจะเห็นหอยต่าง ๆ บ้าง กรวดและหินบ้าง
ฝูงปลาบ้าง อันหยุดอยู่และว่ายไปในห้วงน้ำนั้น. เขาจำจะสำนึกใจอย่างนี้
ว่า "ห้วงน้ำนี้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัวเลย : หอย ก้อนกรวด ปลาทั้งหลายเหล่านี้ หยุดอยู่
บ้าง ว่ายไปบ้าง ในห้วงน้ำนั้น" : อุปมานี้เป็นฉันใด; ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปไมย
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน, ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ว่า "นี้เป็นทุกข์, นี้เป็น
เหตุให้เกิดทุกข์. นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือของทุกข์; เหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย, นี้เป็นเหตุให้เกิดอาสวะ,
นี้เป็นความดับไม่เหลือของอาสวะ, และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ
ของอาสวะ;" ดังนี้. เมื่อเธอรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็พ้นแล้ว จาก
อาสวะคือกาม อาสวะคือภพ อาสวะคืออวิชชา. ครั้นจิตพ้นแล้ว ก็เกิดญาณ
หยั่งรู้ ว่า "หลุดพ้นแล้ว" เธอนั้นรู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจ
ที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก"
ดังนี้.
- มู. ม. ๑๒/๔๗๗/๕๐๙
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่