จากชีวิตที่ย่ำแย่หลายครั้งเจอจุดเปลี่ยนที่สำคัญหลายคลา ... และแล้วความสำเร็จก็เริ่มมาเยือน!!!

ในยุคข้าวยากหมากแพงเศรษฐกิจฟืดเคืองเช่นนี้ เรื่องราวเชิงลบในแง่ของเศรษฐกิจบ้านเราย่อมระงมไปทั่ว ... รายได้น้อยลง ยอดขายตกต่ำ รายจ่ายเพิ่ม ต้นทุนพุ่ง เงินเก็บไม่มี เงินหมุนไม่ทัน จนหลายๆรายต้องเลิกกิจการไปในที่สุด ... ปัญหาเรื่องเงินอาจจะจะนำพาไปสู่ปัญหาเรื่องอื่นๆ เงินขาดสภาพคล่องหลายๆกรณีนำไปสู่ปัญหาทะเลาะบ่อแว้งกันกันเองในครอบครัว เพราะ เริ่มกู้หนี้ยืมสิน ฯลฯ

วันนี้ผมเองก็เป็นหนึ่งในกิจการเหล่านั้น ... ยอดขายตก รายจ่ายเพิ่ม ต้นทุนพุ่ง แต่แน่นอนว่าผมยังอยู่ได้ ในอดีตเราตกต่ำยิ่งกว่านี้ ในอดีตเราย่ำแย่ยิ่งกว่านี้เยอะ ... ทำไมครั้งนี้เราถึงจะผ่านมันไปไม่ได้!!! บทนี้ผมขอเขียนถึงเรื่องราวเก่าๆที่เกิดขึ้นในอดีตกับชีวิตผม ... จากชีวิตที่ย่ำแย่ จนมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เจอจุดเปลี่ยนมา 3 ครั้ง แล้วเมื่อนั้นความสำเร็จเริ่มมาเยี่ยมเยือน!!!


มาเริ่มกันเลย ... (จริงๆผมเคยเขียนถึงไว้หลายปีแล้ว ถึงจะไม่ใช่แง่มุมนี้ตรงๆ เนื้อหาอาจจะซ้ำบ้างก็ไม่ว่ากันเนอะ 5555+) ผมเกิดและโตในครอบครัวข้าราชการ คุณแม่เป็นพยาบาล พ่อเป็นตำรวจชั้นประทวน ปู่กับย่าเป็นชาวนา ตากับยายเป็นชาวสวน ... ชีวิตวัยเด็กผมก็เดินราบเรียบเห็นเด็กทั่วไป ตื่นเช้าไปโรงเรียนหนังสือตกเย็นพ่อไปรับกลับบ้าน ... แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป


พ.ศ. 2538 : จุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตครั้งที่ 1 หนี้สินหลักล้านจากการค้ำประกัน


ราวปี 38 ตอนผมอายุได้สิบขวบ ผมยังเด็กมากเกินกว่าจะรับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหรือเกิดจากอะไร ... ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ยังคงตราตึงในสมองมาสร่างซา ... เป็นภาพที่แม่หยิบแบงค์ขึ้นมาสองใบ ... ยื่นแบงค์ให้ผมใบหนึ่งแล้วก็บอกให้ผมตั้งใจเรียนแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มของแม่ ... แม่ปาดน้ำตาแล้วก็เดินกลับเข้าบ้านไป ... พ่อผมเดินตามไป ... เวลามันเหมือนผ่านไปนาน ... ผมเดินไปดูที่หน้าประตู ... ผมเห็นแม่ร้องไห้ และ บอกกับพ่อว่าเราไม่มีเงินเหลืออีกแล้ว!!!!!!

เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดจากการค้ำประกันเงินกู้ “หนี้สินหลักล้านที่เกิดจากความไว้เนื้อเชื่อใจ”  ... ช่วงเวลานั้น เราไม่รู้จะหันไปทางไหน ไปหาใคร ยืมเงินเสียคนอื่นจนเขาเบือนหน้าหนี ... แม่เคยบอกกับผมว่าท่านคิดฆ่าตัวตายวันละหลายรอบเพื่อหนีปัญหาเหล่านี้ ... แต่แน่นอนว่าท่านก็ไม่ได้ทำลงไป ... เราไม่มีเงินก็จริง แต่เราก็ไม่คิดหนีเพราะเราก็ไม่มีที่ไป ดังนั้นพ่อกับแม่ผมจึงขอทยอยจ่าย ... มันเป็นช่วงเวลาหลายปีที่สาหัสในชีวิตและผ่านไปอย่างเนิบช้า ประหนึ่งเหมือนว่าเวลามันไม่เดินก็ไม่ปาน ... ผมรับรู้ด้วยหัวใจว่า ... เงินมีค่ามากแค่ไหนในยามเราไม่มีมัน

จากเหตุการณ์นั้นทำให้เราเปลี่ยนไปเยอะมาก ท่านทั้งสองทำงานหนักเป็นสองเป็นสามเท่าของปกติเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ท่านใช้เงินน้อยลงมาก และแน่นอนว่ามันส่งมาถึงผม ... เพื่อนผมสมัยประถมมักบอกผมว่าเป็นไอ้ขี้งก ... ผมหวงทุกอย่าง ของกิน ของใช้ ของผมใครห้ามยุ่ง เพราะ ผมกลัวมันหมด ผมกลัวมันพัง และ ผมก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีก(แต่ปัจจุบันไม่ขี้หวงแล้วนะ ผมชอบแบ่งปัน 5555+) ... ถึงแม้มันจะยากลำบากแต่เราก็ผ่านมันมาได้ในท้ายที่สุด

จุดเปลี่ยนครั้งนี้ ได้สร้างรากฐานที่สำคัญการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะเรื่องการใช้เงิน ... จงใช้เงินอย่างประหยัด ... เราก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นต้องปลอดภัย และผมเองก็ไม่อยากจะเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ส่งผลมาถึงปัจจุบันมากที่สุดคือ ผมไม่ชอบการเป็นหนี้มากถึงมากที่สุด ถ้าทำได้ผมเลือกที่จะไม่กู้ก่อนเสมอ ผมถือคติใช้เงินตัวเองดีที่สุดถึงแม้ว่ากำไรจากการลงทุนนั้นอาจจะไม่ดีที่สุดแต่ถ้าพลาดเราก็ไม่เจ็บมาก


พ.ศ. 2548 : จุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตครั้งที่ 2 กำลังจะโดนรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัย


ปี 46 ผมเอ็นสะท้านติดมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยที่ผมเลือกนั้นอยู่ไกลจากบ้านผมมาก ไกลหลายร้อยกิโลเมตรจากบ้านผม ด้วยความไกลด้วยความห่างของระยะทาง กลับบ้านปีละสองสามครั้ง ... ชีวิตมันราวกับว่า ... นกที่พึ่งหลุดจากกรง ... ชีวิตก็เริ่มโผบิน ... อิสรเสรีที่จะทำตามใจในสิ่งที่ต้องการ ชีวิตที่ไร้กรอบเมื่อโคจรมาเจอกับคนที่ไร้จุดหมายแบบผม ... สรุปมันก็เละเทะ

เกรดเทอมแรก 2.2 ต่อมาได้ 1.69 ต่อมาได้ 1.7 ถัดมาก็เกรอไม่หนีกันเท่าไหร่ (จำตัวเลขแม่นๆไม่ได้แต่ได้ราวๆนี้) ... ผลการเรียนย่ำแย่ กำลังจะโดนรีไทร์ตอนขึ้นปี 3 พ่วงด้วยการติดทัณฑ์บน ข้อหาหนัก ทั้งดื่มสุราในมหาวิทยาลัย และทะเลาะวิวาท

หลังจากที่พ่อกับแม่ผมเป็นไท แม่ผมก็ได้ร่วมกับน้าชายเปิดร้านขายของเล็กๆร้านหนึ่ง โดยการเช่าที่คนอื่นทำ และในปีที่ผมกำลังจะโดนรีไทร์นั้นเป็นปีที่เราซื้อตึกเป็นของตัวเองหลังจากเช่ามานานหลายปีปิดเทอมนั้นผมกลับบ้าน และเป็นช่วงเวลาที่กำลังย้ายของพอดีผมจึงไปช่วยงานและเป็นคนนอนเฝ้าร้านเพราะร้ายยังไม่เรียบร้อยดี กลัวของหาย กลางวันย้ายของกลางคืนนอนเฝ้าตึกคนเดียว ผมอยู่อย่างนี้นานหลายสัปดาห์ คืนหนึ่ง ผมนอนมองเพดานและถามตัวเองว่า สองปีที่ผ่านเราทำอะไรอยู่?  และ ชีวิตผมต่อไปจะเป็นเช่นไร?

ทำไมเราถึงเป็นอย่างนี้ ... จนจะโดนไล่ออก ... ติดทัณฑ์บน ... ชีวิตแย่ๆ

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผมนอนมองเพดานยามค่ำคืน ผมก็เพียรคิดถึงแต่เรื่องนี้ นึกถึงอดีตที่ผ่านมาเราพลาดตรงไหน เราข้ามอะไรไป เกิดข้อผิดพลาดเรามีข้อบกพร่องอย่างไร ผมควรทำอย่างไร? ... ไม่รู้อะไรดลใจที่วันหนึ่งในช่วงเวลานั้นผมได้ไปซื้อหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่าน หนังสือชื่อว่า “คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก" ที่เขียนโดย David J. Schwartz และเรียบเรียงโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผมอ่านจบหลายรอบ ผมประทับใจหนังสือเล่มนี้มากๆ มากจนมันไหลเข้าไปในสมองและมันค่อยๆ ซึมเข้าไปในตัวผม หนังสือเล่มนี้มันค่อยๆ เข้าไปเปลี่ยนทัศนคติ ในตัวของผม ความรู้สึกนึกคิดของผมเริ่มเปลี่ยนไป หนังสือเล่มนี้มีคำตอบให้ผมว่า ... ผมควรจะเริ่มเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเราเอง ... ชีวิตมันต้องมีเป้าหมาย และ ต้องคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก

หลังจากอ่านจบเล่มนั้นผมพยายามหาหนังสือของ David J. Schwartz มาอ่านต่อ แต่ก็หาไม่เจอ ผมก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่คนแปลและเรียบเรียง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผมไปซื้อหนังสือของ ดร.นิเวศน์ มาอ่าน ไม่แน่ใจว่าใช่ “ตีแตก” หรือเปล่า ลองเปิดๆดูถึงแม้ว่าแนวหนังสือไม่เหมือนคิดใหญ่ไม่คิดเล็กแต่ก็อยากลองอ่านดู ... เป็นหนังสือเกี่ยวกับหุ้น!!! และมันก็น่าสนใจมาก ณ เวลานั้น หลังจากปิดเทอมนั้น ผมก็หันมาศึกษาเรื่องของ การปรับทัศนคติเชิงบวก การตั้งเป้าหมาย ศึกษาเรื่องการทำธุรกิจ และการลงทุนอย่างจริงจัง ลงคอร์สสั้นเรื่องการเขียนแผนธุรกิจที่ธนาคารจัดขึ้น ลงแข่งขั้นในเรื่องการลงทุน ช่วงเวลานั้น ผมเหมือนฟื้นคืนชีพเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยก็ว่าได้ เหล้ายังกินแต่กินน้อยลงมาก ประคองผลการเรียนได้ดีขึ้น และ เพาะบ่มมาเต็มที่ศึกษาข้อมูลมาหลายปี ก็เริ่มลงทุนในหุ้นด้วยเงินจริงๆ และจากเงินทุนสามแสนได้กลายเป็นเงินล้านในเวลาไม่กี่ปีหลังจากนั้น

จุดเปลี่ยนครั้งนี้เป็นจุดหักเหที่สำคัญของชีวิตของผมโดยเฉพาะเรื่อง ทัศนคติและเรื่องของการตั้งเป้าหมาย และ พื้นฐานด้านการเงิน การลงทุน

ทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะทุกอย่างเริ่มจากภายในของเรามันเริ่มจากใจ ... ในเมื่อใจมันบอกไหว มันก็ไปสั่งให้สมองสู้ สมองสู้ก็ไปสั่งให้ลงมือ ... ทัศนคติดี มีเป้าหมาย ไม่ละความพยายาม ชีวิตนี้จะไม่ประสบความสำเร็จให้มันรู้ไป นอกจากเรื่องทัศนคติ แล้วจุดเปลี่ยนนี้ยังได้สอนเรื่องพื้นฐานด้านการเงินการลงทุน ที่ผมจะนำไปต่อยอดในอนาคต


พ.ศ. 2552 : จุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตครั้งที่ 3 ธุรกิจโดนลูกค้าเบี้ยวหนี้ 11 รายมูลค่าหลายล้าน


ผมเรียนจบปริญญาตรีในปีที่ 5 ของการศึกษา เพราะว่าติด F มาเยอะพื้นฐานอ่อนแอ กว่าจะประคองตัวจนจบก็เกินกว่าเพื่อนไปเป็นปี ผมจบออกมาก็มาช่วยที่บ้านทำงาน เป็นร้านค้าที่แม่กับน้าร่วมกันเปิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว (ที่ผมมานอนเฝ้าเมื่อก่อน) ผมเริ่มทำงานได้ไม่นานก็เราก็เริ่มประสบปัญหาอย่างหนักจาก “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์”

วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เล่นงานเราเสียอ่วมอรทัย เหตุเกิดที่อเมริกาทำให้เศรษฐกิจโลกย่ำแย่ระส่ำระสาย มันได้ลามมาตามซัพพลายเชนจนมาถึงประเทศไทย และ ก็มาถึงร้านขายของเล็กๆพนักงานสิบคน กับ หนี้สูญหลายล้านบาท!!!! กำไรสะสมที่ทำมาหลายปีหมดไปในพริบตาเท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ “เรากำลังจะถูกฟ้องยึดทรัพย์โดยเจ้าหนี้ของเรา” คุณแม่กับน้าชายมีทางเลือกเดียวคือต้องหาเงินมาใช้คืนให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ... !!!!

ผมเป็นตัวแทนโจทก์ไปขึ้นศาลยื่นฟ้องร้องลูกหนี้ 11 ราย ที่เอาสินค้าของเราไปแล้วไม่จ่ายเงิน … ร้านค้าเล็กๆโดนโกงไปหลายล้านแบบนี้ก็คงไม่เหลืออะไร ... ถึงแม้เราจะไม่เหลือเงินแต่เรายังทำมาหากินต่อได้ เรายังมีสมองและสองมือ เรายังมีร้าน สินค้า และ ยังคงมีพนักงานสิบชีวิตที่ยังอยู่กับเรา … ยอดหนี้ที่ฟ้องก็ได้คืนมาไม่มากหนี้สูญเยอะมาก เราใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเริ่มฟื้นตัว

จุดเปลี่ยนครั้งนี้เป็นจุดตอกย้ำที่สำคัญของชีวิตของผมโดยเฉพาะเรื่อง การบริหารธุรกิจ เรื่องของความเสี่ยง และ เรื่องราวของเศรษฐกิจ

ในโลกของธุรกิจมันไม่สวยงามเหมือนในภาพ เพราะมันไม่เคยปราณีใครจะมีเพียงคนที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นที่จะคงอยู่ ใครอ่อนแอกว่าก็จะล้มหายไปในที่สุด ถ้าคุณพร้อมคุณก็รอด ถ้าคุณแน่คุณก็รุ่ง แต่ถ้าคุณสู้เขาไม่ได้คุณก็ร่วง ... นี่คือกฎของเกมนี้


สามจุดเปลี่ยนที่สำคัญนี้สอนเรื่องราวชีวิตให้ผมมากมายได้สอนหลักวิชาการจากความเจ็บปวด

พื้นฐานของความร่ำรวย ... ต้องเริ่มจาก การใช้เงิน
พื้นฐานของความสำเร็จ ... ต้องเริ่มจาก ทัศนคติ
พื้นฐานของความรุ่งเรือง ... ต้องเริ่มจาก การบริหารที่ดี


ครอบครัวที่เคยอับจนหนทาง จนใคร่คิดฆ่าตัวตายในวันก่อน ... วันนี้มีสินทรัพย์หลายสิบล้านบาทและเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ พ่อ แม่ผมยังอยู่พร้อมหน้า สุขภาพร่ากายแข็งแรงทุกคน นอกจากนั้นผมยังแต่งงานแล้วและมีหลานให้ท่านเลี้ยงเพื่อความกระชุ่มกระชวยหัวใจงอีก 2 คน ... จากเหตุการณ์ที่โดนฟ้องร้านเหมือนจะไปไม่รอด มันเสี่ยงเกินไปที่จะทุ่มทุกอย่างที่กิจการเดียว ผมก็มองหากิจการอื่นมาทำคู่กัน ธุรกิจอสังหาฯ จากเงินทุนแค่ไม่กี่บาทค่อยๆเก็บค่อยๆทำตอนนี้มีมูลค่าเป็นสิบล้าน บ้านเช่าเป็นสิบหลัง นอกจากนั้นผมยังมีร้านเครื่องเขียนเปิดให้ภรรยาดูแลอยู่อีกกิจการหนึ่ง ... ในทางกลับกันธุรกิจที่เคยจะไปไม่รอด โดนฟ้องร้องยึดทรัพย์ในวันก่อน เราสู้และยังยืนหยัดมาจรถึงทุกวันนี้ และปัจจุบันมีพนักงานกว่า 30 คน

ผมเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตข้างหน้าต่อไปจะเป็นอย่างไร จะเจอกับวิกฤตในชีวิตอีกหรือไม่ ... แต่ถึงแม้ว่าผมจะเจอกับมันอีกครั้ง ผมก็เชื่อมั่นว่าผมจะสู้กับมันไหวอย่างแน่นอน ... ชีวิตถึงแม้มันจะแย่ ถึงแม้ว่ามันจะเลวร้าย แต่ตราบใดที่เรายังมีความหวัง และตราบใดที่เรายังไม่หยุดหายใจ คุณจะผ่านพ้นมันไปได้ และเมื่อนั้นความสำเร็จจะมาอยู่ในมือคุณ




…[^_^]…
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่