# # # ชีวิตที่ค่อย ๆ สร้างเอง ตั้งแต่วัยเด็กจนถึง 30 # # #

สวัสดีครับ กระทู้นี้ก็เป็นกระทู้แรกที่ผมอยากจะแชร์ชีวิตของตัวเอง โดยจะพยายามเรียบเรียงเป็นลำดับขั้นตอนตั้งแต่วัยเด็ก

จนมาถึงปัจจุบันซึ่งปัจจุบันผมก็อายุย่าง 30 ปี จะแสดงให้เห็นว่าชีวิตของคนเราเลือกที่จะสะสมประสบการณ์ ความรู้

และเลือกทางเดินของตัวเองได้ ถ้าใครหลงเข้ามาก็ลองอ่านดูครับ เผื่อว่าจะได้ไอเดียนำไปใช้ในชีวิตตัวเองครับ


1.ชีวิตวัยเด็ก ถึง ประถมศึกษาปีที่ 5

      ในช่วงวัยเด็กผมเติบโตมาอยู่ที่ต่างจังหวัด ก็จะเป็นเด็กที่เรียนดีพอสมควร พ่อแม่มีฐานะปานกลาง ทำอาชีพค้าขายปกติ

ผมก็ใช้ชีวิตทั่วไปเติบโตมาแบบสังคมต่างจังหวัด รู้จักกับคนรอบ ๆ บ้าน วันพระก็เข้าวัด ชีวิตก็ซึมซับวิถีชีวิตของต่างจังหวัดตามปกติ

จวบจนถึงปี 2540 ที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ทางบ้านผมก็ได้รับผลกระทบจนถึงกับต้องปิดกิจการ ทำให้พ่อต้องย้ายเข้ามา

ทำงานที่กรุงเทพ ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนแรกของชีวิต  ณ ตอนนั้นก็ยังเด็กก็ไม่ได้คิดอะไร แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือฐานะทางบ้านไม่เหมือนเดิม

ก็ต้องกินใช้ประหยัดมากขึ้น  ผมก็เรียนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เทอม 1 แล้วก็ค่อยย้ายเข้ากรุงเทพมาอยู่กับพ่อ



2.ชีวิตประถมศึกษาปีที่ 5 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 3  

       พอย้ายเข้ากรุงเทพมาก็เรียนชั้นป.5 ต่อที่โรงเรียนรัฐบาลของ กทม.  ซึ่งผมก็จะได้เข้าร่วมแข่งขันพวกตอบปัญหาวิชาการ

, สอบ Top Ten ประจำเขต ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อดีของตัวผมเองที่ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้ว่ายังมีคนเก่งอีกมากมาย

ที่อยู่นอกโรงเรียนที่เราอยู่  ต่อมาพอเรียนจบป.6 ก็ได้โควต้าพิเศษสอบเข้าโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง ก็สอบติดแล้วได้เข้าเรียน

ในช่วง ม.1- ม.3  ซึ่งในปีที่เข้าเรียนก็มีการจัดรวมเป็นห้องคิง ผมโชคดีได้ไปอยู่ในห้องคิงและเพื่อนในชั้นเรียนก็ช่วย ๆ กันเรียน

ช่วยกันสอนจนจบ ม.3  ซึ่งผมก็เรียนได้ระดับปานกลาง เกรดเฉลี่ย 3 นิดๆ  ช่วงชีวิตวัยนี้ก็จะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพิ่มเติม

คือ เรื่องการทำงานกลุ่ม เพราะว่าช่วง ม.1- ม.3 จะมีงานกลุ่มเยอะมาก ผมก็จะเป็นพวกขี้อาย ชอบเป็นคนหาข้อมูลแต่ไม่พรีเซนต์

ซึ่งจะเป็นคนหาข้อมูล สรุปข้อมูล จะอยู่ฝ่ายนี้ตลอด ทำให้ได้ทักษะนี้เพิ่มขึ้นมา  ส่วนชีวิตทางบ้านช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ลำบาก

ต้องกินใช้ประหยัดเพราะพ่อทำงานคนเดียว แม่เป็นแม่บ้านดูแลลูก ก็มีกินมีใช้ตามอัตภาพ ส่วนค่าเล่าเรียนนั้นผมขอทุน

ความประพฤติดีทุกปีทำให้ไม่ต้องเสียค่าเทอมในการเรียนก็ทำให้ทางบ้านประหยัดค่าเทอมไป ผมก็แค่ได้เงินค่ามาเรียนธรรมดา

ซึ่งก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิต  



3. ชีวิตมัธยมศึกษาปีที่ 4- 6

      ช่วงนี้ก็เป็นอีกช่วงชีวิตหนึ่งที่เป็นทางแยกของชีวิตว่าจะต้องเลือกไปทางไหน โดยผมเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต

สาเหตุที่เลือกเรียนก็เพราะว่าตอนม.3 ช่วงที่จะต้องเลือกทางเดินชีวิต รู้สึกว่าต้องหาอาชีพที่ไม่ตกงาน

ที่จะมาดูแลครอบครัวได้ก็เลยลองหาดูก็พบว่า อาชีพบัญชี เป็นอาชีพที่ไม่ตกงาน เพราะมีประกาศในหน้าหนังสือสมัครงานเยอะที่สุด

แล้วได้ถามอาจารย์แนะแนว อาจารย์ก็เห็นดีด้วย ก็เลยดูว่าจะต้องเรียนทางไหน ซึ่งตอนนั้นไปได้ 2 ทาง

คือสายอาชีพ กับสายสามัญ  โดยผมเลือกเรียนสายสามัญเพราะรู้สึกว่า ถ้าเรียนที่เดิมเพื่อนยังคอยช่วยเหลือเรื่องการเรียนได้

แล้วค่อยไปเลือกคณะตอนเรียนมหาวิทยาลัยได้ ซึ่งเรียนสายวิทย์-คณิต ก็เลือกเรียนบัญชีได้  ดังนั้นจึงเลือกเรียนสายนี้

โดย ม.4 เป็นช่วงปรับตัว เกรดเฉลี่ยร่วงกรูดได้ 2 กว่าๆ ช่วงนั้นก็เครียดแต่คิดว่าถ้าตั้งใจเรียน พยายามเยอะ ๆ เราก็ต้องเรียนดีได้  

ก็เลยตั้งใจขึ้นมาจนเรียนจบ ม.6 ได้เกรดเฉลี่ยรวม 3.30  ก็ถือว่าโอเคเลย

สำหรับทักษะที่ได้เพิ่มตอน ม.ปลาย คือ  ผมได้พิสูจน์แล้วว่า ถ้าเราตั้งใจและพยายามทำสิ่งใดอย่างเต็มที่  เราจะทำมันได้

อาจจะไม่ได้ดีเลิศ แต่ก็ทำได้ดีมากขึ้น โดยมี 2 เรื่องคือ  เรื่องแรก  เกรดวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ซึ่งเป็นวิชาหลักของสายวิทย์-คณิต

ผมเรียน ม.4 เทอมแรกไม่รู้เรื่อง ก็มาตั้งใจช่วงปิดเทอมกลางภาคทวนใหม่ แล้วก็พอเรียน ม.4 เทอม 2 ก็ตั้งใจเรียน

ทบทวนเยอะ ๆ ก็ทำให้เกรดดีขึ้นจาก 2 มาเป็น 3 ก็ถือว่าภูมิใจในตัวเอง

อีกเรื่อง คือ เพื่อนผมเคยบอกว่าผมเป็นคนพิมพ์งานช้า นั่งกดทีละแป้น  ตอนนั้นรู้สึกว่า สักวันนึงเราจะต้องพิมพ์เร็วให้ได้

หลังจากนั้นไปเจอโปรแกรมฝึกพิมพ์ในคอม ก็ซื้อแผ่นซีดีมาแล้วมาฝึกที่บ้านทุกวันวันละ 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 1 เดือน

ก็ทำให้พิมพ์สัมผัสได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  โดย 2 เรื่องนี้ ทำให้ผมรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองอย่างมาก

ว่าถ้าเราตั้งใจทำอะไรแล้ว เราก็สามารถทำได้ ขอให้ทำในวิธีที่ถูกต้อง  ส่วนชีวิตทางบ้านฐานะก็ยังคงลำบากเหมือนเดิม

แต่ก็ทำเหมือนเดิมครับ ขอทุนความประพฤติดี ทำให้ไม่ต้องเสียค่าเทอมตอน ม.4-ม.6  โดยระหว่างนี้ช่วงปิดภาคเรียนก็ทำงาน

พิเศษด้วย ตอนปิดภาคเรียน ม.5  ก็ไปเดินแจกใบปลิวระหว่างปิดภาคเรียน ก็ได้ค่าจ้างวันละ 150 บาท สำหรับสมัยสิบปีที่แล้วก็ถือว่าโอเค

ก็ดีใจที่เริ่มหาเงินเองได้  พอปิดภาคเรียน ม.6 ก็ไปเป็นเด็กติดรถส่งเครื่องใช้ไฟฟ้าของห้างหนึ่ง

ก็เป็นงานทำระหว่างปิดเทอมรอผลเอนทรานซ์ ก็ทำให้ชีวิตมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น


4.ชีวิตมหาวิทยาลัย


     ชีวิต ปี 1


       หลังจากสอบติดคณะบัญชีตามที่ต้องการ ผมก็ได้เข้ามาเรียนตามปกติ ซึ่งพอเรียนเทอมแรกก็รู้เลยว่า วิชาบัญชีไม่ง่าย

เรียน ๆ แล้วก็จะงงๆ ว่าเดบิต เครดิต คืออะไร ในขณะที่เพื่อนเข้าใจหมดละ  โหมดความเชื่อมั่นในตัวเองก็กลับมาอีกรอบ

เอาหนังสือและแบบฝึกหัดบัญชีพร้อมหาเฉลยมานั่งทำเพื่อให้เข้าใจก่อนสอบกลางภาคเทอม 1 ก็ตั้งใจฝึกจนเข้าใจ

ทำให้ผลการเรียนเทอม 1 และเทอม 2 โอเค ชีวิตปี 1 ก็ผ่านไปอย่างง่ายดาย พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองว่า

ตั้งใจทำอะไรแล้ว เราทำได้



ชีวิตปี 2

     พอขึ้นปี 2 ที่มหาวิทยาลัยก็จะมีกิจกรรมมากมาย ก็ได้เข้าร่วมทุกกิจกรรมของคณะ และภาควิชา การเรียนก็ยังไม่ตก

แต่พอมาเทอม 2 ด้วยความมั่นใจในตัวเอง พอใกล้สอบวิชาบัญชีก็ไม่ค่อยอ่านหนังสือ เพราะคิดว่าตัวเองเก่งละ อ่านน้อย

ทีนี้พอสอบเสร็จผลออกมาปรากฎว่าตกกลางภาค ต้องเลือกว่าจะดรอปหรือเรียนต่อ ผมเลือกเรียนต่อ ผลออกมาตอนสิ้นเทอมได้เกรด D  

ตอนนั้นช๊อคไปอาทิตย์นึง แบบว่าเฮ้ย ทำไมเราโง่จังวะ อะไรประมาณนี้แต่ก็สลดได้ไม่นาน ก็ปล่อยไป คิดซะว่าเป็นบทเรียนชีวิต

ทำให้เรารู้ว่าอย่าประมาท แล้วก็จะได้รู้จักความผิดหวังซะบ้าง จะได้ฝึกจิตใจตัวเอง



ชีวิตปี 3

     ชีวิตการเรียนปี 3 ก็เป็นชีวิตที่เรียนได้หนักแต่ก็สนุกมาก เพราะเป็นปีที่ต้องทำกิจกรรมเยอะมาก ทั้งค่ายอาสา ,

และกิจกรรมอื่น ๆ ระหว่างปี ไหนจะต้องเรียนหนักอีก  ปีนี้แค่ประคองชีวิตให้เรียนได้เกรดเฉลี่ย 3 ขึ้นก็บุญมากแล้ว

วิธีการเอาตัวรอดในปีนี้คือ  ไปอยู่กลุ่มที่มีผู้หญิงเยอะๆ  โดยเรารับผิดชอบเฉพาะส่วนงานของเราไม่ต้องดูภาพรวม

เพราะเวลาส่วนใหญ่เอาไปทำกิจกรรมของภาควิชาเสียหมด กว่าจะผ่านปีนี้ได้ก็เหนื่อยแทบแย่ โดยกิจกรรม

สุดท้ายของปี คือ ค่ายอาสา ซึ่งทั้งรุ่นที่ไปทำมีอยู่ 18 คนได้ แต่ต้องดูแลคนกว่า 80 คนระหว่างออกค่ายประมาณ 7 วัน

ค่อนข้างเหนื่อยกันมาก แต่ก็ผ่านมาได้แบบทุลักทุเลพอสมควร ประสบการณ์ที่ได้รับจากช่วงนี้คือ

ได้ฝึกความรับผิดชอบทำงานที่ได้รับมอบหมายในส่วนต่าง ๆ ได้ทำงานเป็นทีมกับเพื่อนๆซึ่งก็คาดว่าจะมีประโยชน์ในอนาคตแน่นอน



ชีวิตปี 4


      ช่วงชีวิตปี 4 ก็จะเหลือแต่วิชาทำรายงานละ ก็จะค่อนข้างสบาย วิชาเรียนน้อย ปีนี้ก็เรียน ๆ เล่น ๆ กับเพื่อน ๆ แล้วก็หางานทำ

เพราะคนเรียนบัญชีเนี่ยบริษัท บิ๊ก 4 (คนเรียนบัญชีจะรู้จัก) จะมารับสมัครพนักงานตั้งแต่เทอม 1 เลย  ถ้าใครได้งานแล้วละก็

  เทอม 2 ก็ชิว ๆ ละ เรียนประคองเกรดให้จบก็พอซึ่งผมก็โชคดีที่ได้งานตั้งแต่เทอม 1 โดยได้บิ๊ก 4 นี่แหละ

ก็คิดในใจอย่างน้อยไม่ตกงานละ  ถึงแม้เราจะเก่งน้อยกว่าคนอื่นก็ไม่เป็นไร เราถึกกว่าคนอื่น

ทำให้เทอม 2 ก็เรียนสบาย ๆ ประคองเกรดจบ เกรดเฉลี่ยรวมก็จบมาได้ 3.33  ก็สบายใจกันไป



ชีวิตวัยทำงาน บริษัทแรก : ตำแหน่งผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี

      พอเรียนจบมาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี สำหรับผมถือว่าเป็นงานที่ได้รับความรู้เยอะมาก

เราจะได้รู้จักในแต่ละธุรกิจที่เราได้เข้าไปตรวจสอบทำให้เกิดทักษะในการทำงานเพิ่มมากขึ้น

ทักษะที่ผมได้คือ ผมกล้าพูดกับคนอื่นมากขึ้น เดิมทีผมเรียนบัญชีเพราะไม่อยากทำงานสุงสิงกับคน

อยากทำงานพวกเอกสารจะได้ไม่วุ่นวาย แต่พอมาทำงานด้านตรวจสอบบัญชีนี่ชัดเลย  ต้องติดต่อประสานงานกับลูกค้าตลอด

ความอายไม่เหลือ เพราะถ้าอายไม่ได้งาน ลูกค้าดุก็มี ลูกค้าใจดีก็มี ก็เจอมาทุกรูปแบบ ก็เป็นการสร้างชีวิตให้แกร่งขึ้น

ผมก็ทำงานตรวจสอบบัญชีได้เกือบ 2 ปี ก็ลาออกเพราะรู้สึกว่าไม่มีเวลา ชีวิตไม่เป็นชีวิต ก็เลยคิดว่าลองไปทำงานด้านบัญชีดีกว่า

ก็เปลี่ยนไปสมัครงานบัญชีบริษัทหนึ่ง ก็ได้งานบัญชีตามที่ต้องการ สำหรับชีวิตทางบ้านช่วงนี้เงินเดือนได้มาก็หาร 2 ใช้เองครึ่งหนึ่ง

ให้ทางบ้านครึ่งหนึ่ง ก็โอเคพอใช้ ส่วนที่ให้ทางบ้านก็ให้พ่อแม่บริหารจัดการตามสบาย



ชีวิตวัยทำงาน บริษัทที่สอง : ทำบัญชี


       ช่วงชีวิตวัยทำงานของบริษัทที่สองนี่นับว่าเป็นช่วงที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกัน ผมทำงานที่นี่ได้ 5 ปี ช่วงปีแรกทุกอย่างสดใส

งานราบรื่น ชีวิตดี ๆมีโบนัสอย่างดี ผมก็ซื้อบ้านหลังแรกให้ครอบครัว พอขึ้นปีที่ 2 แม่ป่วยเป็นมะเร็ง

ทีนี้แหละหายนะชีวิตมาเยือน เพิ่งมารู้ว่าที่บ้านมีหนี้มากมาย หนี้บัตรเครดิต , หนี้เงินกู้นอกระบบ , หนี้สหกรณ์  

ที่พ่อกับแม่ทำกันมาเกิดจากช่วยญาติพี่น้องทั้งนั้น แล้วทีนี้แม่มาป่วยเป็นมะเร็ง ชีวิตช่วงนี้จัดได้ว่า

ถ้าไม่รอดก็ตายกันไปเลย ในฐานะที่ผมเรียนบัญชีมาก็รู้สึกว่าโหย เราทำบัญชีให้บริษัทได้

แต่ไม่ได้สนใจทำบัญชีให้กับครอบครัวตัวเองเลย ต้องมาจัดระเบียบกัน ก็เอารายได้ทั้งบ้านมารวมกัน เอาหนี้มารวมกัน

เอาค่าใช้จ่ายมารวมกัน ทำอย่างนี้อยู่ 1 ปี  ค่อยๆ เคลียร์หนี้ทีละอย่างออก โบนัสประจำปีออกมา

ก็เอาไปเคลียร์หนี้หมด  ต่อมาพอครบ 1 ปี แม่ก็เสียชีวิต คือยื้อไม่ไหว ทำทุกอย่างเต็มที่ ค่าใช้จ่ายไม่เกี่ยงแต่ก็ยื้อไม่ได้

สิ่งที่เสียใจที่สุด คือแม่ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตสบาย ลูกๆกำลังเรียนจบทีละคนแล้ว แต่แม่ก็เสียชีวิตก่อน ช่วงนี้ก็ยังต้องควบคุมค่าใช้จ่ายต่อ

เพราะมีค่ารักษาพยาบาลแม่ส่วนที่เกินจากที่ทำประกันไว้ ที่ต้องมาทยอยจ่ายคืนที่ยืมเพื่อนมาบ้าง

ก็ใช้เวลาอีกปีกว่าถึงจะเคลียร์หนี้สินทุกอย่างหมด ถือเป็นช่วงที่ชีวิตหดหู่มาก การงานก็วุ่นวาย

สมาธิการทำงานไม่มี เพราะเป็นห่วงแม่อย่างเดียว พอทุกอย่างผ่านพ้นไป ก็มาตั้งสมาธิทำงานกันใหม่

ผมก็รู้สึกว่าไม่ได้ละ เราเหลือพ่อเพียงคนเดียวละต้องดูแลพ่อให้ดี เพราะพ่อก็ไม่ค่อยแข็งแรง

การงานที่ทำงานอยู่ก็ยังไม่ใช่ตัวเอง ต้องค้นหาตัวเองต่อพอปีสุดท้ายผมได้มาลงทุนในตลาดหุ้น แล้วรู้สึกว่า

ตัวเองชอบตลาดหุ้นทีนี้ก็เลยศึกษาใหญ่ โดยใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี จนกระทั่งรู้สึกว่า ลองดูสักตั้งดีกว่า ออกไปทำงานด้านนี้ดีกว่า

ก็เลยยื่นใบลาออกจากการทำงานบัญชี เพื่อที่จะมาทำงานเป็น ที่ปรึกษาการลงทุน ตอนยื่นใบลาออกก็ยังไม่ได้งาน

แต่ตอนนั้นสอบ Single License ได้ละ ผมก็เอารายชื่อ บลจ.มาเรียงกัน แล้วก็โทรเพื่อจะยื่นใบสมัครงาน

จนสุดท้ายก็ได้งาน แล้วเริ่มงานที่ปรึกษาการลงทุนเดือน ม.ค.ปี 58 เลย



ชีวิตวัยทำงาน บริษัทที่สาม : ที่ปรึกษาการลงทุน

      สำหรับชีวิตที่มาทำงานที่ปรึกษาการลงทุน ก็ถือว่าตอบโจทย์ตัวเอง ผมชอบในอาชีพนี้ทั้งเวลา รูปแบบงาน ผมก็สนุกกับงานของผม

ก็ถือว่าเป็นชีวิตที่ลงตัวพอดี ซึ่งกว่าจะมาลงตัวได้ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะมาเจออาชีพของตัวเอง  ถ้าถามว่ารายได้เยอะไหม ผมก็ตอบได้ว่า

ไม่เยอะเท่ากับตอนทำบัญชี แต่ผมรู้สึกว่าผมพอใจกับชีวิตผมละ  ผมมีเวลา ผมมีชีวิต ผมไม่ได้คาดหวังว่าชีวิตต้องมีเงินมากมาย

ผมอยากมีชีวิตที่มีความสุขตามที่พอใจก็พอ



เดี๋ยวผมจะพิมพ์บทสรุปของชีวิตทั้งหมดในคอมเมนต์นะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่