สวัสดีค่ะ จขกท.มีอะไรอยากจะฝากถึง คนที่เกิดวันอังคาร (4สิงหาคม) ชอบสีชมพู และชอบชอคโกแลตมากๆ
คนคนนี้สำคัญยังไง? ใช่ค่ะ ถ้าไม่สำคัญก็คงจะไม่ต้องมานั่งตั้งกระทู้อะไรแบบนี้ คนคนนี้เป็นคนที่จขกท.เคยคบ ไม่อยากเลยที่จะต้องใช้คำว่าแฟนเก่า เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน ปีเดียวกัน แต่คนละสาขา เราได้รู้จักและพูดคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวจริงๆจังๆ ก็เมื่อประมาณพฤษภาคมปีที่แล้ว เราต่างเป็นนักเรียนเรียนดีที่ได้รับโอกาสไปโครงการศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เริ่มพูดคุยและสนิทกันมากขึ้น วันหนึ่งเขาทักมาทางแชทเฟสบุ๊ค มาถามเรื่องการทำพาสปอร์ต ตอนนั้นจขกท.ก็แปลกใจนะ ว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะถามเรา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพูดคุยกันเลย และบทสนทนาครั้งนั้นก็เป็นบทสนทนาแรกที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราดำเนินต่อ เราได้คุยกันทุกวันๆ และมากขึ้นๆ ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนว่าเราตกหลุมรักใครไปสักคน รู้สึกดีนะคะตื่นมาก็คิดถึงเขาเป็นคนแรก ก่อนนอนก็เป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยด้วย หรือแม้แต่บางวันเราเปิดคอลไลน์ทิ้งไว้ด้วยกันทั้งคู่ นอนไปพร้อมๆกัน หรือบางวันเขาก็เฝ้าเรานอน จนตอนนั้นทำให้ความผิดหวังจากความรักที่เคยผ่านเข้ามา หัวใจที่ไม่คิดอยากจะเปิดรับใคร หัวใจดวงนั้นได้พองโตขึ้นอีกครั้ง ทุกๆวันที่เราคุยกัน จขกท.รู้สึกดีและมีความสุขมากค่ะ รู้สึกชีวิตมีความสดใสขึ้นอีกครั้ง และยิ่งถึงวันใกล้เดินทาง ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ตื่นเต้นที่จะได้เจอเขาเป็นๆ ได้ไปญี่ปุ่นด้วยกัน
พอถึงวันที่ต้องเดินทางไปจริงๆนั้น ทางมหาลัยนัดผู้ที่ได้ร่วมเดินทางครั้งนี้ที่สนามบินเลย ตอนนั้นจขกท.ไปถึงคนก็มากันเยอะแล้ว พอถึงก็ไลน์หาเขานะคะ ว่าอยู่ที่ไหนยังไง แต่พอเจอกันจริง ก็เขินค่ะ ไม่กล้าทัก ไม่กล้าคุยด้วย อาจเพราะเขาอยู่กับเพื่อนๆของเขาด้วยเลยไม่กล้าเท่าไหร่ จขกท.ก็อยู่กับกลุ่มเพื่อนของจขกท. แต่เมื่อไหร่ที่เราได้เดินผ่านกันหรืออยู่ใกล้ๆกัน จขกท.ก็แอบส่งสายตาไปหานะ ตอนนั้นทางมหาลัยได้จัดแบ่งกลุ่มออกเป็น2กลุ่ม จากสุวรรณภูมิจะแวะพักเปลี่ยนเที่ยวบินที่เวียดนามก่อน ซึ่งการแวะพักนี้ก็จะแบ่งตามกลุ่มซึ่งจะแยกสนามบินกันค่ะ จขกท.ได้แวะพักที่สนามบินเมืองโฮจิมินห์ ส่วนเขาได้ไปพักเปลี่ยนเครื่องที่ฮานอยค่ะ ตลอดเวลาถ้ามีสัญญาณwifi เราก็จะคุยไลน์กันนะคะ จำได้ตอนนั้นเครื่องดีเลย์ไปเกือบชัวโมงได้ พอขึ้นเครื่องที่จะบินตรงไปยังสนามบินคันไซ นครโอซาก้า เครื่องลำที่ของจขกท.นั่งมาถึงช้ากว่าค่ะ ตอนนั้นได้เจอกันอีกครั้งก็ที่สนามบินนี้ แต่เราก็ไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะเขินๆมั้ง จากนั้นก็เดินทางไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆค่ะ แต่เรานั่งรถบัสไปกันคนละคัน ตอนนั้นคิดในใจว่าดีหรือไม่ดีนะที่ได้นั่งกันคนละคัน ใจหนึ่งก็ว่าดีแล้วล่ะจะได้ไม่ต้องเกร็งมาก แต่อีกใจถ้าได้อยู่บัสคันเดียวกันก็ดี ตอนเราแวะเที่ยวยังสถานที่ต่างๆเราก็จะต่างคนต่างเดินไปกับกลุ่มเพื่อนของตัวเองนะ ก็จะมีแอบมองและสบตากันบ้างเมื่อเดินผ่านกัน เค้าก็ไม่ค่อยทักเรานะ ตอนนั้นคิดว่าสงสัยจะเป็นผู้ชายที่ขี้เขินขี้อายมั้ง แต่เราก็พยายามทำตัวสบายๆนะ เรียกเขามาถ่ายรูปคู่บ้าง ตอนนั้นคิดในใจว่าผู้ชายอะไรเรียกยากชะมัด เล่นตัวอีกเรียกไม่ค่อยจะมา ด้วยความที่คิดว่าเค้าเขิน แต่เราเองก็เขินมากกว่าอีก แต่พยายามทำตัวสบายๆไง ถ้าอยากจะสนิทกันมากกว่านี้ต่างคนต่างไม่ยอมคุยกันก่อนก็คงได้แต่แชทคุยกัน คืนแรกที่ญี่ปุ่นเราพักกันที่Loisir Hotel พอเข้าที่พักก็เก็บสำภาระ อาบน้ำ และจากนั้นจขกท.ก็นัดเพื่อนๆว่าจะลงไปซื้อน้ำดื่มไว้กิน ตอนนั้นเราก็นัดกับเขาด้วยนะคะว่าจะไปด้วยกันไหม พอไปซื้อเสร็จก็กลับขึ้นห้อง เขาก็ไลน์มาบอกว่าลงมาเดินเล่นกัน รอบนี้จขกท.ลงมาคนเดียวค่ะ เพื่อนๆก็พักผ่อนอยู่ที่ห้อง และคืนนั้นคงเป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกันต่อหน้าอย่างไม่ต้องเขินคนรอบข้าง เพราะเราออกมาเดินกัน2คน และแถวนั้นก็เงียบค่ะ ไม่ค่อยมีคน คืนนั้นมีลมเย็นๆ เขาถอดเสื้อคลุมของเขามาให้จขกท.ใส่ ทั้งเสื้อเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้ และคืนนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาจับมือจขกท. ตอนนั้นก็เขินมากค่ะ แต่ในใจก็คิดว่าเร็วไปรึเปล่า พึ่งเจอกันครั้งแรกก็จับมือแล้ว เราคุยกันอยุ่สักพักแล้วก็กลับเข้าโรงแรม คืนนั้นจขกท.ก็ได้เสือของเขาพร้อมกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้มานอนเป็นเพื่อน วางไว้ข้างๆที่นอนตรงหัวหมดเลยค่ะ จะเอามานอนกอดทั้งคืนก็เกรงใจ แค่กอดทีนึงก่อนนอนก็พอแล้ว .....หลับฝันดีละคืนนี้
รุ่งขึ้นลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร จขกท.ก็เตรียมเสื้อตัวนั้นมาคืนเขาด้วยค่ะ หลังจากทานอาหารเสร็จก็ตะลุยเที่ยวกันต่อ เราก็ต่างคนต่างเดินกันกับเพื่อนตัวเองเช่นเคย แต่มีโอกาสเมื่อไหร่ จขกท.ก็เรียกเขามาถ่ายรูปคู่กันอีก แต่ก็แหม่ เล่นตัวเหมือนเคย ไม่รุ้ว่าเป็นผู้ชายขี้เขินหรือชอบเล่นตัวกันนะ ที่ที่สองที่เราถ่ายรูปด้วยกันก็ตรงทะเลสาบฮานามาค่ะ ตรงนั้นมีสนามเด็กเล่น เราก็ไปถ่ายรูปกันตรงนั้น จำได้ต้อนนั้นขึ้นรถช้าเลยทำให้คนอื่นต้องรอ (แอบรู้สึกผิด) เราไปทริปกันครั้งนี้รูปที่ถ่ายด้วยกันไม่เยอะหรอกค่ะ แค่สองที่เองที่ถ่ายรูปคู่กัน พอคืนวันที่สองที่ญี่ปุ่น คืนนี้ที่พักเป็นแบบเรียวกัง สัญญาณwifi บนห้องพักที่นี่ไม่ค่อยมีค่ะ ต้องมานั่นเล่นด้านล่าง พูดได้ว่าที่เต็มค่ะมีแต่คนมานั่งเล่น รวมถึงจขกท.และเขาด้วย เรานั่งโต๊ะอยู่ห่างกันนิดเดียวแต่เรากลับคุยกันผ่านทางไลน์ จำไม่ได้ว่าตอนนั้นเราคุยอะไรจขกท.ถึงต้องแกล้งงอน และแกล้งทำเป็นร้องไห้เดินขึ้นห้อง ตอนนั้นเขาก็นึกว่าเราร้องจริงนะคะเลยรีบตามขึ้นมา คนอะไรไม่รุ้น่ารักจัง
รุ่งขึ้นตอนเข้าจขกท.ก้มานั่งเล่ยที่ลอบบี้ เขาก็มานั่งคุยด้วยค่ะ เช้าวันนั้นเราไม่ได้ขึ้นไปทานข้าวที่ห้องอาหาร ทริปวันนี้เราจะขึ้นไปฟูจิซังกันค่ะ แต่วันนี้ฝนตกแต่เช้าเลย บนนั้นหนาวมากค่ะ วันนี้เราไม่ค่อยได้เจอกัน ต่างคนต่างเดินกับเพื่อนตัวเอง มาเจอกันอีกทีก็ช่วงเย็นที่วัดอะไรสักแห่ง ตอนนั้นฝนตกเขาก็เอาร่มมากางให้นะคะ แต่จขกท.บอกว่าไม่เปนไร จิงๆแล้วเขินค่ะ สามวันก็ยังไม่หาย คืนสุดท้ายวันนี้เราพักที่โรงแรมใกล้สนามบินนาริตะค่ะ เป็นคืนสุดท้ายที่รู้สึกยาวนาน คืนนี้เราลงมาคุยกันเดินกันคุยกันทั่วโรงแรมเลย เหมือนว่าเขามีอะไรจะบอกจขกท.นะ แต่เอาจิงๆจะให่เดาก็พอเดาออก แต่ไม่อยากคิดไปเองค่ะ ตอนนั้นก็เหนื่อยนะคะ กว่าเขาจะพูดออกมาได้ แต่ก็พูดไม่เคลียอยุ่ดี 555 คืนนี้ก็จะเป็นคืนสุดท้ายที่ญี่ปุ่นแล้ว เรื่องราวดีๆจากวันแนกถึงวันนี้จขกท.ยังคงจำมันได้ค่ะ ตอนนั้นเรามีความสุขแค่ไหน รู้สึกพิเศษแค่ไหน แต่เรื่องราวพิเศษๆและเซอไพรซ์ยังมีกันอีก
เรื่องเซอไพรซ์ที่ว่าก็คือ ขากลับเราได้นั่งเครื่องบินที่นั่งติดกันเลยค่ะ ตอนขึ้นเครื่องไปเขานั่งอยุ่แล้ว พอเรากำลังเดินไปแถวที่นั่ง แล้วก็ดูเลขที่นั่งจากบัตรในมือ ตอนนั้นพูดกับเพื่อนแล้ว ว่าใช่ว่ะ นั่งข้างกันเลย ไหงเปนงี้ไปได้ เรามีเวลานั่งข้างกันยาวนานหลายชั่วโมง เขินก็เขิน เพื่อนเราก็นั่งข้างๆอีก แต่จะทำยังไงได้ตอนนั้นคิดว่าบังเอิญค่ะ แต่สุดท้ายไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เขามาบอกเราทีหลังว่าขอแลกที่นั่งกับเพื่อนอีกคน เพราะรู้ว่าเราได้นั่งตรงไหน ตอนนั้นก็คิดอยู่นะว่าใช่หรอ? เขาพูดนะว่าพรหมลิขิตสร้างได้ 555 สร้างได้ก็สร้างได้ แต่ระหว่างที่นั่งด้วยกันนั้นก็สร้างความเขินไม่ให้หยุดเลยค่ะ เขาบอกว่าเขาเป็นคนกลัวความสูง ไม่ชอบนั่งเครื่องบิน ตอนนั้นเขาจับมือจขกท.ไปแนบที่หน้าของเขา เขินสิแบบนี้>< ความรู้สึกและช่วงเวลาดีๆแบบนั้นไม่ง่ายเลยนะคะที่จะได้เจอ และบางทีมันอาจมีแค่หนเดียวในชีวิต ทำไมถึงพูดแบบนี้นะหรอ เพราะเรื่องราวตอนหลังมันเศร้า และไม่สวยงามเหมือนตอนแรกเจอน่ะสิ T T นี่แค่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวดีๆระหว่างจขกท.และเขาคนนั้น
เรื่องราวต่อไประหว่างเราจะเป็นยังไง และอะไรที่จขกท.อยากจะฝากถึงเขาคนนั้นรอติดตามนะคะ เดี๋ยวมาต่อค่ะ
ปล.ที่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะหวังว่ากระทู้นี้จะไปถึงเขาบ้าง แล้วทำไมถึงไม่บอกเขาเองตรงๆ? คำถามนี้ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่จขกท.มีเหตุผลค่ะ แล้วจะมาเล่าต่อนะคะ
ฝากข้อความถึง คนที่เกิดวันอังคาร ชอบสีชมพู และชอบกินชอคโกแลต
คนคนนี้สำคัญยังไง? ใช่ค่ะ ถ้าไม่สำคัญก็คงจะไม่ต้องมานั่งตั้งกระทู้อะไรแบบนี้ คนคนนี้เป็นคนที่จขกท.เคยคบ ไม่อยากเลยที่จะต้องใช้คำว่าแฟนเก่า เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน ปีเดียวกัน แต่คนละสาขา เราได้รู้จักและพูดคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวจริงๆจังๆ ก็เมื่อประมาณพฤษภาคมปีที่แล้ว เราต่างเป็นนักเรียนเรียนดีที่ได้รับโอกาสไปโครงการศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เริ่มพูดคุยและสนิทกันมากขึ้น วันหนึ่งเขาทักมาทางแชทเฟสบุ๊ค มาถามเรื่องการทำพาสปอร์ต ตอนนั้นจขกท.ก็แปลกใจนะ ว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะถามเรา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพูดคุยกันเลย และบทสนทนาครั้งนั้นก็เป็นบทสนทนาแรกที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราดำเนินต่อ เราได้คุยกันทุกวันๆ และมากขึ้นๆ ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนว่าเราตกหลุมรักใครไปสักคน รู้สึกดีนะคะตื่นมาก็คิดถึงเขาเป็นคนแรก ก่อนนอนก็เป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยด้วย หรือแม้แต่บางวันเราเปิดคอลไลน์ทิ้งไว้ด้วยกันทั้งคู่ นอนไปพร้อมๆกัน หรือบางวันเขาก็เฝ้าเรานอน จนตอนนั้นทำให้ความผิดหวังจากความรักที่เคยผ่านเข้ามา หัวใจที่ไม่คิดอยากจะเปิดรับใคร หัวใจดวงนั้นได้พองโตขึ้นอีกครั้ง ทุกๆวันที่เราคุยกัน จขกท.รู้สึกดีและมีความสุขมากค่ะ รู้สึกชีวิตมีความสดใสขึ้นอีกครั้ง และยิ่งถึงวันใกล้เดินทาง ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ตื่นเต้นที่จะได้เจอเขาเป็นๆ ได้ไปญี่ปุ่นด้วยกัน
พอถึงวันที่ต้องเดินทางไปจริงๆนั้น ทางมหาลัยนัดผู้ที่ได้ร่วมเดินทางครั้งนี้ที่สนามบินเลย ตอนนั้นจขกท.ไปถึงคนก็มากันเยอะแล้ว พอถึงก็ไลน์หาเขานะคะ ว่าอยู่ที่ไหนยังไง แต่พอเจอกันจริง ก็เขินค่ะ ไม่กล้าทัก ไม่กล้าคุยด้วย อาจเพราะเขาอยู่กับเพื่อนๆของเขาด้วยเลยไม่กล้าเท่าไหร่ จขกท.ก็อยู่กับกลุ่มเพื่อนของจขกท. แต่เมื่อไหร่ที่เราได้เดินผ่านกันหรืออยู่ใกล้ๆกัน จขกท.ก็แอบส่งสายตาไปหานะ ตอนนั้นทางมหาลัยได้จัดแบ่งกลุ่มออกเป็น2กลุ่ม จากสุวรรณภูมิจะแวะพักเปลี่ยนเที่ยวบินที่เวียดนามก่อน ซึ่งการแวะพักนี้ก็จะแบ่งตามกลุ่มซึ่งจะแยกสนามบินกันค่ะ จขกท.ได้แวะพักที่สนามบินเมืองโฮจิมินห์ ส่วนเขาได้ไปพักเปลี่ยนเครื่องที่ฮานอยค่ะ ตลอดเวลาถ้ามีสัญญาณwifi เราก็จะคุยไลน์กันนะคะ จำได้ตอนนั้นเครื่องดีเลย์ไปเกือบชัวโมงได้ พอขึ้นเครื่องที่จะบินตรงไปยังสนามบินคันไซ นครโอซาก้า เครื่องลำที่ของจขกท.นั่งมาถึงช้ากว่าค่ะ ตอนนั้นได้เจอกันอีกครั้งก็ที่สนามบินนี้ แต่เราก็ไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะเขินๆมั้ง จากนั้นก็เดินทางไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆค่ะ แต่เรานั่งรถบัสไปกันคนละคัน ตอนนั้นคิดในใจว่าดีหรือไม่ดีนะที่ได้นั่งกันคนละคัน ใจหนึ่งก็ว่าดีแล้วล่ะจะได้ไม่ต้องเกร็งมาก แต่อีกใจถ้าได้อยู่บัสคันเดียวกันก็ดี ตอนเราแวะเที่ยวยังสถานที่ต่างๆเราก็จะต่างคนต่างเดินไปกับกลุ่มเพื่อนของตัวเองนะ ก็จะมีแอบมองและสบตากันบ้างเมื่อเดินผ่านกัน เค้าก็ไม่ค่อยทักเรานะ ตอนนั้นคิดว่าสงสัยจะเป็นผู้ชายที่ขี้เขินขี้อายมั้ง แต่เราก็พยายามทำตัวสบายๆนะ เรียกเขามาถ่ายรูปคู่บ้าง ตอนนั้นคิดในใจว่าผู้ชายอะไรเรียกยากชะมัด เล่นตัวอีกเรียกไม่ค่อยจะมา ด้วยความที่คิดว่าเค้าเขิน แต่เราเองก็เขินมากกว่าอีก แต่พยายามทำตัวสบายๆไง ถ้าอยากจะสนิทกันมากกว่านี้ต่างคนต่างไม่ยอมคุยกันก่อนก็คงได้แต่แชทคุยกัน คืนแรกที่ญี่ปุ่นเราพักกันที่Loisir Hotel พอเข้าที่พักก็เก็บสำภาระ อาบน้ำ และจากนั้นจขกท.ก็นัดเพื่อนๆว่าจะลงไปซื้อน้ำดื่มไว้กิน ตอนนั้นเราก็นัดกับเขาด้วยนะคะว่าจะไปด้วยกันไหม พอไปซื้อเสร็จก็กลับขึ้นห้อง เขาก็ไลน์มาบอกว่าลงมาเดินเล่นกัน รอบนี้จขกท.ลงมาคนเดียวค่ะ เพื่อนๆก็พักผ่อนอยู่ที่ห้อง และคืนนั้นคงเป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกันต่อหน้าอย่างไม่ต้องเขินคนรอบข้าง เพราะเราออกมาเดินกัน2คน และแถวนั้นก็เงียบค่ะ ไม่ค่อยมีคน คืนนั้นมีลมเย็นๆ เขาถอดเสื้อคลุมของเขามาให้จขกท.ใส่ ทั้งเสื้อเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้ และคืนนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาจับมือจขกท. ตอนนั้นก็เขินมากค่ะ แต่ในใจก็คิดว่าเร็วไปรึเปล่า พึ่งเจอกันครั้งแรกก็จับมือแล้ว เราคุยกันอยุ่สักพักแล้วก็กลับเข้าโรงแรม คืนนั้นจขกท.ก็ได้เสือของเขาพร้อมกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้มานอนเป็นเพื่อน วางไว้ข้างๆที่นอนตรงหัวหมดเลยค่ะ จะเอามานอนกอดทั้งคืนก็เกรงใจ แค่กอดทีนึงก่อนนอนก็พอแล้ว .....หลับฝันดีละคืนนี้
รุ่งขึ้นลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร จขกท.ก็เตรียมเสื้อตัวนั้นมาคืนเขาด้วยค่ะ หลังจากทานอาหารเสร็จก็ตะลุยเที่ยวกันต่อ เราก็ต่างคนต่างเดินกันกับเพื่อนตัวเองเช่นเคย แต่มีโอกาสเมื่อไหร่ จขกท.ก็เรียกเขามาถ่ายรูปคู่กันอีก แต่ก็แหม่ เล่นตัวเหมือนเคย ไม่รุ้ว่าเป็นผู้ชายขี้เขินหรือชอบเล่นตัวกันนะ ที่ที่สองที่เราถ่ายรูปด้วยกันก็ตรงทะเลสาบฮานามาค่ะ ตรงนั้นมีสนามเด็กเล่น เราก็ไปถ่ายรูปกันตรงนั้น จำได้ต้อนนั้นขึ้นรถช้าเลยทำให้คนอื่นต้องรอ (แอบรู้สึกผิด) เราไปทริปกันครั้งนี้รูปที่ถ่ายด้วยกันไม่เยอะหรอกค่ะ แค่สองที่เองที่ถ่ายรูปคู่กัน พอคืนวันที่สองที่ญี่ปุ่น คืนนี้ที่พักเป็นแบบเรียวกัง สัญญาณwifi บนห้องพักที่นี่ไม่ค่อยมีค่ะ ต้องมานั่นเล่นด้านล่าง พูดได้ว่าที่เต็มค่ะมีแต่คนมานั่งเล่น รวมถึงจขกท.และเขาด้วย เรานั่งโต๊ะอยู่ห่างกันนิดเดียวแต่เรากลับคุยกันผ่านทางไลน์ จำไม่ได้ว่าตอนนั้นเราคุยอะไรจขกท.ถึงต้องแกล้งงอน และแกล้งทำเป็นร้องไห้เดินขึ้นห้อง ตอนนั้นเขาก็นึกว่าเราร้องจริงนะคะเลยรีบตามขึ้นมา คนอะไรไม่รุ้น่ารักจัง
รุ่งขึ้นตอนเข้าจขกท.ก้มานั่งเล่ยที่ลอบบี้ เขาก็มานั่งคุยด้วยค่ะ เช้าวันนั้นเราไม่ได้ขึ้นไปทานข้าวที่ห้องอาหาร ทริปวันนี้เราจะขึ้นไปฟูจิซังกันค่ะ แต่วันนี้ฝนตกแต่เช้าเลย บนนั้นหนาวมากค่ะ วันนี้เราไม่ค่อยได้เจอกัน ต่างคนต่างเดินกับเพื่อนตัวเอง มาเจอกันอีกทีก็ช่วงเย็นที่วัดอะไรสักแห่ง ตอนนั้นฝนตกเขาก็เอาร่มมากางให้นะคะ แต่จขกท.บอกว่าไม่เปนไร จิงๆแล้วเขินค่ะ สามวันก็ยังไม่หาย คืนสุดท้ายวันนี้เราพักที่โรงแรมใกล้สนามบินนาริตะค่ะ เป็นคืนสุดท้ายที่รู้สึกยาวนาน คืนนี้เราลงมาคุยกันเดินกันคุยกันทั่วโรงแรมเลย เหมือนว่าเขามีอะไรจะบอกจขกท.นะ แต่เอาจิงๆจะให่เดาก็พอเดาออก แต่ไม่อยากคิดไปเองค่ะ ตอนนั้นก็เหนื่อยนะคะ กว่าเขาจะพูดออกมาได้ แต่ก็พูดไม่เคลียอยุ่ดี 555 คืนนี้ก็จะเป็นคืนสุดท้ายที่ญี่ปุ่นแล้ว เรื่องราวดีๆจากวันแนกถึงวันนี้จขกท.ยังคงจำมันได้ค่ะ ตอนนั้นเรามีความสุขแค่ไหน รู้สึกพิเศษแค่ไหน แต่เรื่องราวพิเศษๆและเซอไพรซ์ยังมีกันอีก
เรื่องเซอไพรซ์ที่ว่าก็คือ ขากลับเราได้นั่งเครื่องบินที่นั่งติดกันเลยค่ะ ตอนขึ้นเครื่องไปเขานั่งอยุ่แล้ว พอเรากำลังเดินไปแถวที่นั่ง แล้วก็ดูเลขที่นั่งจากบัตรในมือ ตอนนั้นพูดกับเพื่อนแล้ว ว่าใช่ว่ะ นั่งข้างกันเลย ไหงเปนงี้ไปได้ เรามีเวลานั่งข้างกันยาวนานหลายชั่วโมง เขินก็เขิน เพื่อนเราก็นั่งข้างๆอีก แต่จะทำยังไงได้ตอนนั้นคิดว่าบังเอิญค่ะ แต่สุดท้ายไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เขามาบอกเราทีหลังว่าขอแลกที่นั่งกับเพื่อนอีกคน เพราะรู้ว่าเราได้นั่งตรงไหน ตอนนั้นก็คิดอยู่นะว่าใช่หรอ? เขาพูดนะว่าพรหมลิขิตสร้างได้ 555 สร้างได้ก็สร้างได้ แต่ระหว่างที่นั่งด้วยกันนั้นก็สร้างความเขินไม่ให้หยุดเลยค่ะ เขาบอกว่าเขาเป็นคนกลัวความสูง ไม่ชอบนั่งเครื่องบิน ตอนนั้นเขาจับมือจขกท.ไปแนบที่หน้าของเขา เขินสิแบบนี้>< ความรู้สึกและช่วงเวลาดีๆแบบนั้นไม่ง่ายเลยนะคะที่จะได้เจอ และบางทีมันอาจมีแค่หนเดียวในชีวิต ทำไมถึงพูดแบบนี้นะหรอ เพราะเรื่องราวตอนหลังมันเศร้า และไม่สวยงามเหมือนตอนแรกเจอน่ะสิ T T นี่แค่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวดีๆระหว่างจขกท.และเขาคนนั้น
เรื่องราวต่อไประหว่างเราจะเป็นยังไง และอะไรที่จขกท.อยากจะฝากถึงเขาคนนั้นรอติดตามนะคะ เดี๋ยวมาต่อค่ะ
ปล.ที่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะหวังว่ากระทู้นี้จะไปถึงเขาบ้าง แล้วทำไมถึงไม่บอกเขาเองตรงๆ? คำถามนี้ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่จขกท.มีเหตุผลค่ะ แล้วจะมาเล่าต่อนะคะ