คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 53
เราเป็นคนนึงที่ชีวิตด้านการเงินล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เราเกิดมาในฐานะที่เรียกว่ายากจน ต้องทำงานตั้งแต่เด็กๆ แต่แทนที่จะเห็นคุณค่าของเงิน กลับตรงกันข้าม สาเหตุหลักๆ คือ ความอยาก ค่ะ อยากได้นู่น อยากได้นี่ อยากมีเหมือนคนอื่นๆ จนลืมมองฐานะของตัวเอง ทำงานมาเท่าไหร่ก็หมดไปกับสิ่งที่อยากได้ อยากมี ส่วนใหญ่ก็พวกของปรุงแต่งที่ทำให้ตัวเองดูดีนั่นแหล่ะค่ะ เสื้อผ้า หน้า ผม รองเท้า กระเป๋า กิน เที่ยว สุดท้ายรายรับก็ไม่พอกับรายจ่าย ความอยากมันก็ยังไม่จบ ก็กู้สิคะ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สารพัดที่จะนำเสนอพนักงานเงินเดือนอย่างเราๆ... จนกลายเป็นดินพอกหางหมู รายรับไม่พอกับรายจ่าย แถมยังมีหนี้สินติดตัวแต่ก็ยังไม่หยุดใช้ชีวิตเดิมๆ... จนวันนึงที่มาถึงทางตัน เหมือนสวรรค์ผลักให้ลงไปที่ก้นเหว เพื่อจะได้เกิดปัญญา... เราเมื่ออายุ 32 ตกงาน เงินเดือน และเงินเก็บก้อนสุดท้ายเอาไปเปิดร้านซักรีดเล็กๆ แต่ลูกค้ามีไม่มาก รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ปลายทางคือ ไม่มีงาน ไม่มีเงิน หนี้สินหลักแสน... แต่ในความโชคร้าย มีความโชคดีอยู่เสมอ ความโชคดีที่เรามีคือ เราเป็นหนี้แค่ในระบบ, คนรอบข้างที่มีอยู่น้อยนิด ทั้งเพื่อน และแฟนที่แยกกันไปเพราะความไม่เข้าใจกลับมา, สติและปัญญาเล็กๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้ผ่านมา 2 ปี เราอายุ 34 กลับมาเป็นพนักงานบริษัทฯ, ทำงานพิเศษบ้าง รายได้เฉลี่ยเดือนละ 25,000 บาท สามารถปิดหนี้ไปแล้วครึ่งนึง, เก็บเงินเดือนละ 50% ของรายได้ทั้งหมดที่ได้รับ, ชีวิตอยู่ในฐานะปานกลาง
อย่างแรกและอย่างเดียว ที่จะทำให้เราปีนขึ้นจากก้นเหวได้ คือความมีวินัย ค่ะ
- การเก็บเงิน 50% ของรายรับที่ได้มา เหลือเท่าไหร่ ใช้เท่านั้น หลายคนบอกว่าอยู่ไม่ได้ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเราอยู่ได้ และไม่ลำบาก
- จดบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทุกวัน ย้ำว่าทุกวันนะคะ การจดสิ่งที่เราจ่ายไป จะย้ำเตือนเราว่าเรานำเงินที่มีค่าของเราใช้จ่ายอะไรบ้าง ทีนี้ของที่ไม่จำเป็นมันจะโผล่มาให้เราเห็น และย้ำเตือนในสิ่งที่เราใช้จ่ายผิดพลาดไป และยังทำให้เราสามารถลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นไปได้อีกด้วย
- จ่ายเฉพาะที่จำเป็น รายจ่ายที่จำเป็น มีแค่ค่าอาหาร เสื้อผ้า และยารักษาโรค
*อาหารคือการกินแค่พออิ่ม ไม่ได้บอกให้อดอยากนะคะ มือนึงถ้าอยู่คนเดียวข้าวมันไก่ 1 กับน้ำเปล่า 1 แก้วก็เพียงพอแล้ว และไม่ได้กินเพื่อสนองความอยาก พิซซ่า ไอศกรีม บุฟเฟ่ต์ และอื่นๆ อีกมากมาย การกินอาหารที่เราอยากในปริมาณมากๆ นอกจากจะทำให้เราสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้เราต้องมานั่งลดในภายหลัง
*เสื้อผ้า เอาเท่าที่จำเป็นต้องใส่ จริงๆ แล้ว เราใส่เสื้อผ้า/รองเท้า/กระเป๋าไม่เยอะหรอกค่ะ ยิ่งถ้าทำงานบริษัทที่มีชุดฟอร์มด้วยแล้ว ใส่เสื้อผ้าอยู่บ้านจริงๆ ก็แค่ 2 วัน เสาร์ กับอาทิตย์ ที่สำคัญต้องฉลาดซื้อ ซื้อเสื้อผ้า, รองเท้า, กระเป๋า ที่มีคุณภาพ ใส่สบาย และใส่ได้ในทุกโอกาส แต่ถ้าลองกลับไปดูเสื้อผ้าที่มีอยู่วันนี้ คุณอาจจะไม่ต้องซื้อเสื้อผ้า/รองเท้า/กระเป๋า ไปอีกเป็นปีเลยก็ได้
*ยารักษาโรค คนทำงานบริษัทฯ มีประกันสังคมอยู่แล้ว เจ็บป่วยนิดหน่อยใช้ประกันสังคมเถอะค่ะ เค้าก็จะจ่ายยาพารา ยาแก้ไอ และอีกสารพัดมาให้เหลือเฟือ แทบจะไม่ต้องซื้อ ส่วนคนที่ทำงานฟรีแลนซ์แนะนำว่าให้ทำประกันสุขภาพไว้นะคะ ประหยัดกว่าเป็นทีจ่ายทีค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีรายจ่ายส่วนนี้ขอให้น้อยที่สุดในชีวิตนะคะ การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐค่ะ
หลายคนอาจคิดในใจว่า แล้วงานสังสรรค์ล่ะ งานสังคม งานบุญ งานบวญ งานแต่ง เที่ยวผับ เที่ยวบาร์ ถ้าไม่ไปก็ไม่มีเพื่อน มันก็อยู่ใน 50% ของเงินทีเหลือจากที่เก็บแล้วไงคะ คือ งานบวช งานแต่งงาน กฐิน ผ้าป่า ก็ใส่ซองตามสมควร (กับฐานะที่เราพอจะให้ได้ในตอนนั้น) ถ้าเป็นคนสนิทต้องไปก็ไปค่ะ ไม่ได้หมดเปลืองอะไรมาก นอกจาก... คุณจะต้องจัดเต็มเสื้อผ้า หน้าผม ให้มันเกินฐานะเข้าไว้ อันนี้ก็ต้องกลับไปเขียนคำว่าวินัยกันใหม่ ส่วนเรื่องเที่ยวผับ เที่ยวบาร์ ถ้าไม่ไปแล้วเพื่อนไม่คบ ก็ปล่อยให้เค้าเลิกคบไปเถอะค่ะ ถ้ามันเห็นเราเป็นเพื่อนช่วยพึ่งพายามยากจริงๆ มันไม่เลิกคบเราหรอกค่ะ
- ส่วนเงินเก็บ 50% เอาไปไหน เราแบ่งเป็น 2 ส่วนค่ะ 25% เก็บไว้เพื่อจ่ายหนี้ เพราะหนี้คือสิ่งที่ดึงเงินออกจากกระเป๋า และทำให้เราสิ้นไร้อิสระภาพทางการเงิน อีก 25% เก็บไว้ไปซื้อสินทรัพย์ค่ะ ทองรูปพรรณ, สลากออมสิน, อสังหาริมทรัย์ต่างๆ ส่วนนี้จะเป็นเงินเก็บถาวร เอาไว้ใช้ประกอบอาชีพส่วนตัวยามที่ปลดเกษียณ อายุเกินบริษัทฯ เลิกจ้าง
หลายคนเริ่มคิดในใจ ก็เงินเดือนมันได้เท่านี้ ลดรายจ่ายไปแล้ว มันก็ยังไม่พอกับรายรับอยู่ดี แล้วจะให้เก็บได้ยังไง???
1. เอาหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้มาเขียนในกระดาษเลยค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง ต้องจ่ายเท่าไหร่ ไล่จากที่น้อยที่สุด ถ้ามันคือ 50% ของเงินเดือน หรือน้อยกว่า ก็จ่ายให้หมดแล้วก็ปิดไปเลยค่ะ แต่ถ้ามันเยอะไปหมด จ่ายขั้นต่ำทุกตัว เงินที่จ่ายขั้นต่ำก็จะเท่ากับเงินเดือนอยู่แล้ว ก็ปล่อยเลยค่ะ ต้องยอมปล่อย และเสียเครดิต ติดแบล็คลิสท์ ซึ่งเราจะกอบกู้มันมาในภายหลัง ให้เลือกจ่ายหนี้สินรายที่น้อยที่สุดและทยอยปิดไปทีละราย ถ้ารายไหนเค้ารอไม่ได้เค้าฟ้องร้อง ก็ต้องไปประนีประนอมกันที่ศาล เน้นว่าต้องไปนะคะ เราต้องมีวินัยในการรับผิดชอบกับสิ่งที่เราทำลงไป ความอับอาย ทิ้งมันไปเถอะค่ะ เพราะเราควรจะอายตั้งแต่เราใช้ชีวิตผิดพลาดมาตั้งนานนมนู่นแล้ว
2. ในเมื่อรายได้ทางเดียวไม่พอ ก็หายรายได้เพิ่มสิคะ มาดูว่าเรามีเวลาว่างตอนไหนบ้าง เรามีความสามารถทางไหนบ้าง แล้วเราพอจะทำอะไรที่ทำให้เงินเพิ่มได้บ้าง เงินน่ะมันอยู่รอบตัวเราไปหมดแหล่ะค่ะ อยู่ที่เราจะหามา หรือจ่ายออกไป ทั้งตัวเรามันก็เงินหมดแหล่ะค่ะ ตั้งแต่ สบู่, ยาสีฟัน, โฟมล้างหน้า เสื้อ กางเกง รองเท้า กระเป๋า ไกลออกไปรอบตัวที่อยู่ในห้องเรานั่นก็เงินทั้งนั้น เงินที่เราจ่ายออกไปไงล่ะค่ะ ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น แต่เค้าแค่เปลี่ยนสถานะรูปร่าง จากกระดาษ หรือเหรียญที่มีพระเจ้าอยู่หัว ไปเป็นสิ่งของต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เท่านั้นเอง ที่สำคัญการหารายได้เสริมต้องเริ่มจากการลงทุนด้วยเงินที่เป็นศูนย์ แล้วค่อยนำเงินที่ได้เพิ่มมาไปลงทุน ห้ามให้กระทบกับเงินประจำเด็ดขาด... มาถึงตรงนี้หลายคนบอกเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปได้ค่ะ และมันก็เป็นไปแล้ว การลงทุนที่ไม่ใช่เงิน ก็คือการลงทุนด้วยแรงงานไงคะ ถ้าบ้านคุณมีคอมพิวเตอร์ และคุณมีความสามารถ ก็รับไปซิคะ พิมพ์งาน, ทำรายงาน, ออกแบบ ลูกค้าก็มีอยู่รอบตัว ใช้ Facebook, internet ให้เป็นประโยชน์ หรือถ้าไม่ถนัดแบบนี้ก็ลองหาแบบอื่นที่คุณทำได้ รับซ่อมคอมพิวเตอร์ก็ทำได้จากที่บ้าน หรือที่หอ, รับรีดเสื้อผ้า อยู่ที่หอก็ทำได้, ส่งหนังสือพิมพ์, รับจ้างทำงาน part time ขอแค่ให้ทำเท่านั้นแหล่ะค่ะ งานกับเงินเค้ารออยู่
ถึงแม้วันนี้ฉันยังไม่เป็นอิสระทางการเงินอย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยๆ ฉันก็ได้ตัดโซ่ตรวนที่ตรึงอยู่กับตัวไปได้ครึ่งนึงแล้ว เหลืออีกเพียงครึ่งเดียวซึ่งก็คงใช้เวลาเดินทางไม่มากกว่า 1-2 ปี
เมื่อเราเกิดมาต้นทุนต่ำ ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะเหนื่อยมากกว่าคนที่เค้ามีต้นทุนอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าต้นทุนที่มีมันจะเพิ่มสูงขึ้น หรือลดน้อยลงไปไม่ได้ มันอยู่ที่วินัยของผู้ที่เก็บรักษาและหาต้นทุน เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่พยายามลดความอยาก และรักษาวินัยในการเก็บเงิน ขอให้มีอิสรภาพทางการเงินกันทุกคนนะคะ ^^
ตอนนี้ผ่านมา 2 ปี เราอายุ 34 กลับมาเป็นพนักงานบริษัทฯ, ทำงานพิเศษบ้าง รายได้เฉลี่ยเดือนละ 25,000 บาท สามารถปิดหนี้ไปแล้วครึ่งนึง, เก็บเงินเดือนละ 50% ของรายได้ทั้งหมดที่ได้รับ, ชีวิตอยู่ในฐานะปานกลาง
อย่างแรกและอย่างเดียว ที่จะทำให้เราปีนขึ้นจากก้นเหวได้ คือความมีวินัย ค่ะ
- การเก็บเงิน 50% ของรายรับที่ได้มา เหลือเท่าไหร่ ใช้เท่านั้น หลายคนบอกว่าอยู่ไม่ได้ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเราอยู่ได้ และไม่ลำบาก
- จดบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทุกวัน ย้ำว่าทุกวันนะคะ การจดสิ่งที่เราจ่ายไป จะย้ำเตือนเราว่าเรานำเงินที่มีค่าของเราใช้จ่ายอะไรบ้าง ทีนี้ของที่ไม่จำเป็นมันจะโผล่มาให้เราเห็น และย้ำเตือนในสิ่งที่เราใช้จ่ายผิดพลาดไป และยังทำให้เราสามารถลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นไปได้อีกด้วย
- จ่ายเฉพาะที่จำเป็น รายจ่ายที่จำเป็น มีแค่ค่าอาหาร เสื้อผ้า และยารักษาโรค
*อาหารคือการกินแค่พออิ่ม ไม่ได้บอกให้อดอยากนะคะ มือนึงถ้าอยู่คนเดียวข้าวมันไก่ 1 กับน้ำเปล่า 1 แก้วก็เพียงพอแล้ว และไม่ได้กินเพื่อสนองความอยาก พิซซ่า ไอศกรีม บุฟเฟ่ต์ และอื่นๆ อีกมากมาย การกินอาหารที่เราอยากในปริมาณมากๆ นอกจากจะทำให้เราสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้เราต้องมานั่งลดในภายหลัง
*เสื้อผ้า เอาเท่าที่จำเป็นต้องใส่ จริงๆ แล้ว เราใส่เสื้อผ้า/รองเท้า/กระเป๋าไม่เยอะหรอกค่ะ ยิ่งถ้าทำงานบริษัทที่มีชุดฟอร์มด้วยแล้ว ใส่เสื้อผ้าอยู่บ้านจริงๆ ก็แค่ 2 วัน เสาร์ กับอาทิตย์ ที่สำคัญต้องฉลาดซื้อ ซื้อเสื้อผ้า, รองเท้า, กระเป๋า ที่มีคุณภาพ ใส่สบาย และใส่ได้ในทุกโอกาส แต่ถ้าลองกลับไปดูเสื้อผ้าที่มีอยู่วันนี้ คุณอาจจะไม่ต้องซื้อเสื้อผ้า/รองเท้า/กระเป๋า ไปอีกเป็นปีเลยก็ได้
*ยารักษาโรค คนทำงานบริษัทฯ มีประกันสังคมอยู่แล้ว เจ็บป่วยนิดหน่อยใช้ประกันสังคมเถอะค่ะ เค้าก็จะจ่ายยาพารา ยาแก้ไอ และอีกสารพัดมาให้เหลือเฟือ แทบจะไม่ต้องซื้อ ส่วนคนที่ทำงานฟรีแลนซ์แนะนำว่าให้ทำประกันสุขภาพไว้นะคะ ประหยัดกว่าเป็นทีจ่ายทีค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีรายจ่ายส่วนนี้ขอให้น้อยที่สุดในชีวิตนะคะ การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐค่ะ
หลายคนอาจคิดในใจว่า แล้วงานสังสรรค์ล่ะ งานสังคม งานบุญ งานบวญ งานแต่ง เที่ยวผับ เที่ยวบาร์ ถ้าไม่ไปก็ไม่มีเพื่อน มันก็อยู่ใน 50% ของเงินทีเหลือจากที่เก็บแล้วไงคะ คือ งานบวช งานแต่งงาน กฐิน ผ้าป่า ก็ใส่ซองตามสมควร (กับฐานะที่เราพอจะให้ได้ในตอนนั้น) ถ้าเป็นคนสนิทต้องไปก็ไปค่ะ ไม่ได้หมดเปลืองอะไรมาก นอกจาก... คุณจะต้องจัดเต็มเสื้อผ้า หน้าผม ให้มันเกินฐานะเข้าไว้ อันนี้ก็ต้องกลับไปเขียนคำว่าวินัยกันใหม่ ส่วนเรื่องเที่ยวผับ เที่ยวบาร์ ถ้าไม่ไปแล้วเพื่อนไม่คบ ก็ปล่อยให้เค้าเลิกคบไปเถอะค่ะ ถ้ามันเห็นเราเป็นเพื่อนช่วยพึ่งพายามยากจริงๆ มันไม่เลิกคบเราหรอกค่ะ
- ส่วนเงินเก็บ 50% เอาไปไหน เราแบ่งเป็น 2 ส่วนค่ะ 25% เก็บไว้เพื่อจ่ายหนี้ เพราะหนี้คือสิ่งที่ดึงเงินออกจากกระเป๋า และทำให้เราสิ้นไร้อิสระภาพทางการเงิน อีก 25% เก็บไว้ไปซื้อสินทรัพย์ค่ะ ทองรูปพรรณ, สลากออมสิน, อสังหาริมทรัย์ต่างๆ ส่วนนี้จะเป็นเงินเก็บถาวร เอาไว้ใช้ประกอบอาชีพส่วนตัวยามที่ปลดเกษียณ อายุเกินบริษัทฯ เลิกจ้าง
หลายคนเริ่มคิดในใจ ก็เงินเดือนมันได้เท่านี้ ลดรายจ่ายไปแล้ว มันก็ยังไม่พอกับรายรับอยู่ดี แล้วจะให้เก็บได้ยังไง???
1. เอาหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้มาเขียนในกระดาษเลยค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง ต้องจ่ายเท่าไหร่ ไล่จากที่น้อยที่สุด ถ้ามันคือ 50% ของเงินเดือน หรือน้อยกว่า ก็จ่ายให้หมดแล้วก็ปิดไปเลยค่ะ แต่ถ้ามันเยอะไปหมด จ่ายขั้นต่ำทุกตัว เงินที่จ่ายขั้นต่ำก็จะเท่ากับเงินเดือนอยู่แล้ว ก็ปล่อยเลยค่ะ ต้องยอมปล่อย และเสียเครดิต ติดแบล็คลิสท์ ซึ่งเราจะกอบกู้มันมาในภายหลัง ให้เลือกจ่ายหนี้สินรายที่น้อยที่สุดและทยอยปิดไปทีละราย ถ้ารายไหนเค้ารอไม่ได้เค้าฟ้องร้อง ก็ต้องไปประนีประนอมกันที่ศาล เน้นว่าต้องไปนะคะ เราต้องมีวินัยในการรับผิดชอบกับสิ่งที่เราทำลงไป ความอับอาย ทิ้งมันไปเถอะค่ะ เพราะเราควรจะอายตั้งแต่เราใช้ชีวิตผิดพลาดมาตั้งนานนมนู่นแล้ว
2. ในเมื่อรายได้ทางเดียวไม่พอ ก็หายรายได้เพิ่มสิคะ มาดูว่าเรามีเวลาว่างตอนไหนบ้าง เรามีความสามารถทางไหนบ้าง แล้วเราพอจะทำอะไรที่ทำให้เงินเพิ่มได้บ้าง เงินน่ะมันอยู่รอบตัวเราไปหมดแหล่ะค่ะ อยู่ที่เราจะหามา หรือจ่ายออกไป ทั้งตัวเรามันก็เงินหมดแหล่ะค่ะ ตั้งแต่ สบู่, ยาสีฟัน, โฟมล้างหน้า เสื้อ กางเกง รองเท้า กระเป๋า ไกลออกไปรอบตัวที่อยู่ในห้องเรานั่นก็เงินทั้งนั้น เงินที่เราจ่ายออกไปไงล่ะค่ะ ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น แต่เค้าแค่เปลี่ยนสถานะรูปร่าง จากกระดาษ หรือเหรียญที่มีพระเจ้าอยู่หัว ไปเป็นสิ่งของต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เท่านั้นเอง ที่สำคัญการหารายได้เสริมต้องเริ่มจากการลงทุนด้วยเงินที่เป็นศูนย์ แล้วค่อยนำเงินที่ได้เพิ่มมาไปลงทุน ห้ามให้กระทบกับเงินประจำเด็ดขาด... มาถึงตรงนี้หลายคนบอกเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปได้ค่ะ และมันก็เป็นไปแล้ว การลงทุนที่ไม่ใช่เงิน ก็คือการลงทุนด้วยแรงงานไงคะ ถ้าบ้านคุณมีคอมพิวเตอร์ และคุณมีความสามารถ ก็รับไปซิคะ พิมพ์งาน, ทำรายงาน, ออกแบบ ลูกค้าก็มีอยู่รอบตัว ใช้ Facebook, internet ให้เป็นประโยชน์ หรือถ้าไม่ถนัดแบบนี้ก็ลองหาแบบอื่นที่คุณทำได้ รับซ่อมคอมพิวเตอร์ก็ทำได้จากที่บ้าน หรือที่หอ, รับรีดเสื้อผ้า อยู่ที่หอก็ทำได้, ส่งหนังสือพิมพ์, รับจ้างทำงาน part time ขอแค่ให้ทำเท่านั้นแหล่ะค่ะ งานกับเงินเค้ารออยู่
ถึงแม้วันนี้ฉันยังไม่เป็นอิสระทางการเงินอย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยๆ ฉันก็ได้ตัดโซ่ตรวนที่ตรึงอยู่กับตัวไปได้ครึ่งนึงแล้ว เหลืออีกเพียงครึ่งเดียวซึ่งก็คงใช้เวลาเดินทางไม่มากกว่า 1-2 ปี
เมื่อเราเกิดมาต้นทุนต่ำ ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะเหนื่อยมากกว่าคนที่เค้ามีต้นทุนอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าต้นทุนที่มีมันจะเพิ่มสูงขึ้น หรือลดน้อยลงไปไม่ได้ มันอยู่ที่วินัยของผู้ที่เก็บรักษาและหาต้นทุน เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่พยายามลดความอยาก และรักษาวินัยในการเก็บเงิน ขอให้มีอิสรภาพทางการเงินกันทุกคนนะคะ ^^
แสดงความคิดเห็น
อยากรู้ว่าเก็บเงินกันเดือนละเท่าไหร่กัน?