นโยบายและภาพรวมการประกอบธุรกิจ
ลักษณะธุรกิจ
ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทขวดและฝา ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่น นมและนมเปรี้ยว สินค้าอุปโภคและบริโภค น้ำยาเคมีสำหรับใช้ในการเกษตร และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ เป็นต้น ที่มีคุณภาพตามรูปแบบความต้องการใช้งานของลูกค้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีตราสินค้า (Brand) เป็นที่รู้จักในแต่ละอุตสาหกรรมและผู้บริโภคโดยทั่วไป
โครงสร้างการถือหุ้น ณ สิ้นปี 2557
จะเห็นว่า กลุ่มเหมมณฑารพ จะถือหุ้นเป็นอันดับที่ 1 และรองลงมาคือ กองทุนเปิด บัวหลวง เป็นอันดับที่ 2
ส่วนอันดับถัดไปนับเป็นรายย่อยละกันนะ จากนั้น เราลองย้อนกลับไปดูสัดส่วนกันตั้งแต่ตอนเข้า IPO ใหม่ๆ ในช่วงต้นปี 2555 กันหน่อยดีกว่าว่า
ใคร คนไหน ถือหุ้นเท่าไหร่กันบ้าง และ ที่สำคัญ กองทุนของทางบัวหลวง มีการทยอยเก็บหุ้นอย่างไรบ้าง?
และที่สำคัญ ต้นทุนของทางกองทุนบัวหลวง จะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่? คงต้องลองตามไปดูกันจ้า
วิเคราะห์สัดส่วนการถือหุ้นย้อนหลังของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ตั้งแต่ปี 2012 - 2015 จ้า
เมื่อครั้นวันที่ 22/03/2012 ทางกลุ่ม เหมมณฑารพ ได้ถือหุ้นรวมกันทั้งหมดในสัดส่วนราวๆ 70% ครับ
และเมื่อล่าสุด วันที่ 07/05/2015 ทางกลุ่ม เหมมณฑารพ ได้ถือหุ้นรวมกันทั้งหมดในสัดส่วนราวๆ 66% ครับ
ก็ถือว่าสัดส่วน ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มของ เหมมณฑารพ ครับ หายไป 4% ก็ยังพอรับได้ครับ
ผู้บริหารไม่ได้ขายหุ้นหนักๆ ออกมาในตลาดครับ
ส่วนถ้าไปดูในแบบ 59-2 (ข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร)
เพื่อนๆ อาจเห็นยอดซื้อ ยอดขาย เป็นสิบล้านหุ้น อันนั้นน้องสี่คาดว่า น่าจะเป็นการโอนขายกันระหว่างกลุ่ม เหมมณฑารพ ครับ
แต่ผู้บริหารบางท่าน ก็อาจขายทำกำไรบ้างครับ ถ้าเป็นสัดส่วนที่ไม่มากก็ไมน่าห่วงในประเด็นนี้ครับ
ใจจริง น้องสี่คิดว่า บริษัทที่พึ่งเข้าตลาดใหม่ๆ อย่างน้อยๆ นะ ช่วงระยะเวลา 5 ปี ทางผู้บริหารไม่ควรขายทำกำไรหุ้นออกมาเลยครับ
เพราะมันก็เหมือนเป็นแรงศรัทธาอย่างหนึ่งนะครับ สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจ มั่นคง ในตัวของกิจการเป็นต้นครับ
คือถ้า ผู้บริหารเล่นแร่แปรธาตุ ขายหุ้น ซื้อหุ้น อันนี้คนนอกเค้าก็อาจจะมองได้ว่า ผู้บริหารอาจไม่ได้ตั้งใจในการทำธุรกิจให้ดี
แต่ไปพะวงกับการทำราคาหุ้นเป็นหลัก อันนี้น้องสี่ฝากไว้ให้พิจารณากันต่อไปนะครับ
จุดที่น่าสนใจมากที่สุดจุดหนึ่งนะครับ คือ ประเด็นที่กองทุน บัวหลวง ซื้อหุ้นนี้สะสมครับ
มุมมองของน้องสี่ที่มีต่อกองทุนนะครับ น้องสี่มองว่า การที่กองทุนเข้าซื้อ PJW นั้น มันต้องมีอะไรบ้างอย่าง?
สาเหตุบางอย่าง? ที่ทำให้กองทุนมั่นใจว่า ธุรกิจนี้ดี ในอนาคตไปได้ และผลตอบแทนที่คุ้มค่า ถึงจะเลือกลงทุนในหุ้น หุ้นหนึ่งครับ
ฉะนั้น น้องสี่เลยเน้นในจุดนี้เป็นส่วนใหญ่นะครับ โดยน้องสี่จะไล่ไปทีละช่วง ทีละช่วงนะครับ เอาล่ะ เริ่มกันเลย =^o^=
วันที่ 22/03/2012
จะเป็นช่วงครั้งแรกที่บันทึกสัดส่วนการถือหุ้นล่าสุดนะครับ โดยยังไม่มีชื่อกองทุน บัวหลวงขึ้นมาครับ
วันที่ 11/05/2012
ก็ยังไม่มีชื่อกองทุน บัวหลวงครับ
วันที่ 08/03/2013
จ๊ะเอ๋ โผล่มาแว้ววววววว "กองทุนเปิด บัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ" ถือหุ้น PJW ในสัดส่วน 1.44%
ทีนี้เมื่อเราเห็นแล้วว่า กองทุนเปิด บัวหลวง เข้ามาเก็บหุ้นแล้ว ดังนั้น เราจะไปเจาะดูว่า ต้นทุนของทาง กองทุน จะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่
โดยน้องสี่ จะใช้ Gap วันที่ 11/05/2012 ถึง 08/03/2013 (มีชื่อกองทุน บัวหลวง เข้ามาถือหุ้น) จากนั้น น้องสี่จะไปเปิดกราฟดู ^o^
จาการูป ในกราฟ Aspen จะแสดงเป็น
เดือน/วัน/ปี นะครับ แต่เวลา
น้องสี่อธิบายจะเป็น วัน/เดือน/ปี นะครับ
โดยน้องสี่จะใช้ กราฟ Week เมื่อย่อข้อมูลในการดูให้ง่ายยิ่งขึ้น โดยรูปที่ 1 จะเป็นวันที่เริ่ม 14/05/2012 และรูปที่ 2 ช่วงวันปิดสมุด 11/03/2013
ฉะนั้นเราจะเห็นกรกอบราคาของรอบนี้ จะอยู่ที่บริเวณ 3.60 - 5.70 บาท โดยประมาณ
ดังนั้น น้องสี่เชื่อว่า ผู้บริหารกองทุน เป็นคนฉลาดอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ราคาของกองทุน บัวหลวงที่ซื้อไป
น่าจะอยู่ราวๆ 3.60 - 4 บาท ไม่น่าจะเกินนี้ เพราะ ถ้าซื้อตรงบริเวณ 5 บาท ขึ้นไป น่าจะไปแนวเก็งกำไรมากกว่า
เพราะชื่อกองทุน บัวหลวง ก็บอกเราอยู่แล้วว่า เป็น "กองทุนเปิด บัวหลวง Small-Mid Cap
เพื่อการเลี้ยงชีพ"
เพื่อการเลี้ยงชีพ ความหมายก็คือ ค่อนไปในทางการลงทุนระยะยาวจ้า
ต่อจ้า
วันที่ปิดสมุด ถัดมา 19/04/2013
ผ่านมาประมาณ 1 เดือน จากวันที่ 08/03/2013 ถึง 19/04/2013 มีชื่อกองทุน กองใหม่ ขึ้นมา 2 กองทุนครับ รวมเป็น 3 กองทุนครับ โดยมี
1. กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล ถือหุ้นในสัดส่วน 2.84% (ใหม่)
2. กองทุนเปิด บัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ ถือหุ้นในสัดส่วน 1.44% (เดิม)
3. กองทุนเปิด บีแอ็คทีฟ (กองทุนเครือธนาคารกรุงเทพ) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.65% (ใหม่)
และเมื่อลองในประมาณการต้นทุน รอบใหม่ของทาง กองทุน เปิดบัวหลวงที่มีรายชื่อมาใหม่ พบว่า
ราคาจะอยู่ในช่วง 5 บาท - 5.70 บาท ซึ่งน้องสี่มองว่า กองทุนน่าจะยังไม่ซื้อในช่วง ราคา 5 บาทแน่ๆ
เพราะถ้าลองสังเกตก่อน วันปิดสมุด 19/04/2013 จะเกิดการ Panic Sell แรงๆ ครั้งนึงก่อน
ซึ่งครั้งนั้นราคาแนวรับก็คือบริเวณราคาประมาณ 4.60 บาท ซึ่งน้องสี่มองว่า กองทุน อาจจะเก็บในช่วงบริเวณนี้
แต่อย่างไรก็ตาม น้องสี่มองว่า กองทุนก็ไม่น่าจะมาเก็บในช่วงบริเวณนี้นะ เพราะราคาไม่ได้ถูกสักเท่าไหร่เลย มันไม่ค่อย Make Sense นะ
ฉะนั้น น้องสี่คิดว่า มันต้องมีวิธีการที่ซับซ้อนกว่านี้แน่ๆ เพื่อที่ให้รายย่อยอย่างเราๆ คาดการณ์ต้นทุนของเค้าได้ยากมากขึ้น
อาทิเช่น อาจะเป็นให้กองทุนชื่ออื่น ถือหุ้นในสัดส่วน 0.49% ไว้ก่อน คือถ้าถือ 0.50% ปุ๊บ รายชื่อจะแสดงขึ้นทันที!
แล้วพอปิดสมุด ก็ค่อยนำหุ้นมารวมกันในกองทุนที่ชื่อ "กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล และ กองทุนเปิด บีแอ็คทีฟ"
แล้วเห็นในสัดส่วนการถือหุ้นตามภาพด้านบน
ซึ่งต้นทุนที่ 2 กองทุนนี้ ซื้อเข้าไปก็คงไม่ใช่ราคาทุนแถวๆ 4.60 บาทอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าเป็นวิธีการนี้จริง
ต้นทุนของทาง "กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล และ กองทุนเปิด บีแอ็คทีฟ" น่าจะอยู่ในกรอบราวๆ 3 บาท กว่าๆ ในรอบปี 2012 นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม หาก 2 กองทุนนี้ พึ่งเริ่มทยอยซื้อในช่วง 1 เดือนนั้นจริงๆ ราคาต้นทุนของเค้า 4 บาทกว่าๆ เลยนะ > . <"
ซึ่งคนที่รู้ต้นทุนจริงๆ ว่าเท่าไหร่ ก็คือ ผู้บริหารกองทุนนั่นเอง
จากนั้น ผ่านไปประมาณ 1 ปี เกิดอะไรขึ้นบ้าง ตามดูกันต่อจ้า
วันที่ปิดสมุด 19/04/2013 ถึง 14/03/2014
จะเห็นว่ามีชื่อกองทุนเปิด บัวหลวง 3 กองทุน แต่กองทุนเปิด บีแอ็คทีฟ ชื่อหายไปแล้ว
ซึ่งคิดในด้านของ กองทุนเปิด บีแอ็คทีฟ คิดได้ 2 กรณีคือ 1.ขายหุ้นไปแล้ว กับ 2.โอนหุ้นให้กองทุนอื่น จ้า
ดังนั้น เรามา Focus กันที่ 3 กองทุนเปิด บัวหลวงหลักๆ กันเนาะ
1. กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (เก่า) ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 2.84% เป็น 3.11% เปลี่ยนแปลง +0.27%
2. กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ (ใหม่) ถือหุ้น 2.47%
3. กองทุนเปิด บัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ (เก่า) ถือหุ้นเท่าเดิม 1.44% ต้นทุนราวๆ 3.60 - 4 บาท (ช่วงแรกที่เกริ่นไป)
จากนั้นเราลองไปดูช่วงกราฟราคากัน ในช่วงวันที่ 19/04/2013 ถึง 14/03/2014 กราฟ Week ราคาเป็นดังนี้จ้า
อันนี้มองไม่ยาก เท่าช่วงก่อน เพราะราคาลงมาแรงมาก จาก 5 บาท กว่า เหลือ 3 บาทต้นๆ
น้องสี่จึงคิดว่า กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ (ใหม่) น่าจะมีต้นทุนราวๆ 3 บาท - 3.20 บาท นี่ละ
ส่วนกองทุนเดิม คือ กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (เก่า) ที่ถือหุ้นเพิ่มขึ้น น่าจะทยอยสะสมหุ้นเพิ่ม เพื่อลดต้นทุนในครั้งก่อนนะ
วิเคราะห์ต่อจ้า
ถัดมาอีกประมาณ 2 เดือนคือ วันที่ 14/03/2014 - 07/05/2014 พบว่า
1. กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (เก่า) ถือหุ้นเท่าเดิม คือ 3.11%
2. กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ (เก่า) ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 2.47% เป็น 2.56% เปลี่ยนแปลง +0.09%
3. กองทุนเปิด บัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ (เก่า) ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 1.44% เป็น 1.51% เปลี่ยนแปลง +0.06%
เมื่อลองดูกราฟ กับ สัดส่วนที่กองทุนซื้อเพิ่มเล็กน้อย จะเห็นได้ว่า บริเวณช่วงเวลา กับ ราคาหุ้นที่แสดงอยู่
ราคาในช่วงนั้น อยู่ในกรอบ Side Way แถวๆ 3 บาท - 3.40 บาท โดยประมาณ ครับ
มีต่อในคูหาที่ 1 จ้า



▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ 23. วิเคราะห์หุ้น PJW : บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) █ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂
นโยบายและภาพรวมการประกอบธุรกิจ
ลักษณะธุรกิจ
ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทขวดและฝา ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่น นมและนมเปรี้ยว สินค้าอุปโภคและบริโภค น้ำยาเคมีสำหรับใช้ในการเกษตร และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ เป็นต้น ที่มีคุณภาพตามรูปแบบความต้องการใช้งานของลูกค้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีตราสินค้า (Brand) เป็นที่รู้จักในแต่ละอุตสาหกรรมและผู้บริโภคโดยทั่วไป
โครงสร้างการถือหุ้น ณ สิ้นปี 2557
จะเห็นว่า กลุ่มเหมมณฑารพ จะถือหุ้นเป็นอันดับที่ 1 และรองลงมาคือ กองทุนเปิด บัวหลวง เป็นอันดับที่ 2
ส่วนอันดับถัดไปนับเป็นรายย่อยละกันนะ จากนั้น เราลองย้อนกลับไปดูสัดส่วนกันตั้งแต่ตอนเข้า IPO ใหม่ๆ ในช่วงต้นปี 2555 กันหน่อยดีกว่าว่า
ใคร คนไหน ถือหุ้นเท่าไหร่กันบ้าง และ ที่สำคัญ กองทุนของทางบัวหลวง มีการทยอยเก็บหุ้นอย่างไรบ้าง?
และที่สำคัญ ต้นทุนของทางกองทุนบัวหลวง จะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่? คงต้องลองตามไปดูกันจ้า
วิเคราะห์สัดส่วนการถือหุ้นย้อนหลังของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ตั้งแต่ปี 2012 - 2015 จ้า
เมื่อครั้นวันที่ 22/03/2012 ทางกลุ่ม เหมมณฑารพ ได้ถือหุ้นรวมกันทั้งหมดในสัดส่วนราวๆ 70% ครับ
และเมื่อล่าสุด วันที่ 07/05/2015 ทางกลุ่ม เหมมณฑารพ ได้ถือหุ้นรวมกันทั้งหมดในสัดส่วนราวๆ 66% ครับ
ก็ถือว่าสัดส่วน ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มของ เหมมณฑารพ ครับ หายไป 4% ก็ยังพอรับได้ครับ
ผู้บริหารไม่ได้ขายหุ้นหนักๆ ออกมาในตลาดครับ
ส่วนถ้าไปดูในแบบ 59-2 (ข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร)
เพื่อนๆ อาจเห็นยอดซื้อ ยอดขาย เป็นสิบล้านหุ้น อันนั้นน้องสี่คาดว่า น่าจะเป็นการโอนขายกันระหว่างกลุ่ม เหมมณฑารพ ครับ
แต่ผู้บริหารบางท่าน ก็อาจขายทำกำไรบ้างครับ ถ้าเป็นสัดส่วนที่ไม่มากก็ไมน่าห่วงในประเด็นนี้ครับ
ใจจริง น้องสี่คิดว่า บริษัทที่พึ่งเข้าตลาดใหม่ๆ อย่างน้อยๆ นะ ช่วงระยะเวลา 5 ปี ทางผู้บริหารไม่ควรขายทำกำไรหุ้นออกมาเลยครับ
เพราะมันก็เหมือนเป็นแรงศรัทธาอย่างหนึ่งนะครับ สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจ มั่นคง ในตัวของกิจการเป็นต้นครับ
คือถ้า ผู้บริหารเล่นแร่แปรธาตุ ขายหุ้น ซื้อหุ้น อันนี้คนนอกเค้าก็อาจจะมองได้ว่า ผู้บริหารอาจไม่ได้ตั้งใจในการทำธุรกิจให้ดี
แต่ไปพะวงกับการทำราคาหุ้นเป็นหลัก อันนี้น้องสี่ฝากไว้ให้พิจารณากันต่อไปนะครับ
จุดที่น่าสนใจมากที่สุดจุดหนึ่งนะครับ คือ ประเด็นที่กองทุน บัวหลวง ซื้อหุ้นนี้สะสมครับ
มุมมองของน้องสี่ที่มีต่อกองทุนนะครับ น้องสี่มองว่า การที่กองทุนเข้าซื้อ PJW นั้น มันต้องมีอะไรบ้างอย่าง?
สาเหตุบางอย่าง? ที่ทำให้กองทุนมั่นใจว่า ธุรกิจนี้ดี ในอนาคตไปได้ และผลตอบแทนที่คุ้มค่า ถึงจะเลือกลงทุนในหุ้น หุ้นหนึ่งครับ
ฉะนั้น น้องสี่เลยเน้นในจุดนี้เป็นส่วนใหญ่นะครับ โดยน้องสี่จะไล่ไปทีละช่วง ทีละช่วงนะครับ เอาล่ะ เริ่มกันเลย =^o^=
วันที่ 22/03/2012
จะเป็นช่วงครั้งแรกที่บันทึกสัดส่วนการถือหุ้นล่าสุดนะครับ โดยยังไม่มีชื่อกองทุน บัวหลวงขึ้นมาครับ
วันที่ 11/05/2012
ก็ยังไม่มีชื่อกองทุน บัวหลวงครับ
วันที่ 08/03/2013
จ๊ะเอ๋ โผล่มาแว้ววววววว "กองทุนเปิด บัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ" ถือหุ้น PJW ในสัดส่วน 1.44%
ทีนี้เมื่อเราเห็นแล้วว่า กองทุนเปิด บัวหลวง เข้ามาเก็บหุ้นแล้ว ดังนั้น เราจะไปเจาะดูว่า ต้นทุนของทาง กองทุน จะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่
โดยน้องสี่ จะใช้ Gap วันที่ 11/05/2012 ถึง 08/03/2013 (มีชื่อกองทุน บัวหลวง เข้ามาถือหุ้น) จากนั้น น้องสี่จะไปเปิดกราฟดู ^o^
จาการูป ในกราฟ Aspen จะแสดงเป็น เดือน/วัน/ปี นะครับ แต่เวลาน้องสี่อธิบายจะเป็น วัน/เดือน/ปี นะครับ
โดยน้องสี่จะใช้ กราฟ Week เมื่อย่อข้อมูลในการดูให้ง่ายยิ่งขึ้น โดยรูปที่ 1 จะเป็นวันที่เริ่ม 14/05/2012 และรูปที่ 2 ช่วงวันปิดสมุด 11/03/2013
ฉะนั้นเราจะเห็นกรกอบราคาของรอบนี้ จะอยู่ที่บริเวณ 3.60 - 5.70 บาท โดยประมาณ
ดังนั้น น้องสี่เชื่อว่า ผู้บริหารกองทุน เป็นคนฉลาดอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ราคาของกองทุน บัวหลวงที่ซื้อไป
น่าจะอยู่ราวๆ 3.60 - 4 บาท ไม่น่าจะเกินนี้ เพราะ ถ้าซื้อตรงบริเวณ 5 บาท ขึ้นไป น่าจะไปแนวเก็งกำไรมากกว่า
เพราะชื่อกองทุน บัวหลวง ก็บอกเราอยู่แล้วว่า เป็น "กองทุนเปิด บัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ"
เพื่อการเลี้ยงชีพ ความหมายก็คือ ค่อนไปในทางการลงทุนระยะยาวจ้า
ต่อจ้า
วันที่ปิดสมุด ถัดมา 19/04/2013
ผ่านมาประมาณ 1 เดือน จากวันที่ 08/03/2013 ถึง 19/04/2013 มีชื่อกองทุน กองใหม่ ขึ้นมา 2 กองทุนครับ รวมเป็น 3 กองทุนครับ โดยมี
1. กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล ถือหุ้นในสัดส่วน 2.84% (ใหม่)
2. กองทุนเปิด บัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ ถือหุ้นในสัดส่วน 1.44% (เดิม)
3. กองทุนเปิด บีแอ็คทีฟ (กองทุนเครือธนาคารกรุงเทพ) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.65% (ใหม่)
และเมื่อลองในประมาณการต้นทุน รอบใหม่ของทาง กองทุน เปิดบัวหลวงที่มีรายชื่อมาใหม่ พบว่า
ราคาจะอยู่ในช่วง 5 บาท - 5.70 บาท ซึ่งน้องสี่มองว่า กองทุนน่าจะยังไม่ซื้อในช่วง ราคา 5 บาทแน่ๆ
เพราะถ้าลองสังเกตก่อน วันปิดสมุด 19/04/2013 จะเกิดการ Panic Sell แรงๆ ครั้งนึงก่อน
ซึ่งครั้งนั้นราคาแนวรับก็คือบริเวณราคาประมาณ 4.60 บาท ซึ่งน้องสี่มองว่า กองทุน อาจจะเก็บในช่วงบริเวณนี้
แต่อย่างไรก็ตาม น้องสี่มองว่า กองทุนก็ไม่น่าจะมาเก็บในช่วงบริเวณนี้นะ เพราะราคาไม่ได้ถูกสักเท่าไหร่เลย มันไม่ค่อย Make Sense นะ
ฉะนั้น น้องสี่คิดว่า มันต้องมีวิธีการที่ซับซ้อนกว่านี้แน่ๆ เพื่อที่ให้รายย่อยอย่างเราๆ คาดการณ์ต้นทุนของเค้าได้ยากมากขึ้น
อาทิเช่น อาจะเป็นให้กองทุนชื่ออื่น ถือหุ้นในสัดส่วน 0.49% ไว้ก่อน คือถ้าถือ 0.50% ปุ๊บ รายชื่อจะแสดงขึ้นทันที!
แล้วพอปิดสมุด ก็ค่อยนำหุ้นมารวมกันในกองทุนที่ชื่อ "กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล และ กองทุนเปิด บีแอ็คทีฟ"
แล้วเห็นในสัดส่วนการถือหุ้นตามภาพด้านบน
ซึ่งต้นทุนที่ 2 กองทุนนี้ ซื้อเข้าไปก็คงไม่ใช่ราคาทุนแถวๆ 4.60 บาทอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าเป็นวิธีการนี้จริง
ต้นทุนของทาง "กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล และ กองทุนเปิด บีแอ็คทีฟ" น่าจะอยู่ในกรอบราวๆ 3 บาท กว่าๆ ในรอบปี 2012 นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม หาก 2 กองทุนนี้ พึ่งเริ่มทยอยซื้อในช่วง 1 เดือนนั้นจริงๆ ราคาต้นทุนของเค้า 4 บาทกว่าๆ เลยนะ > . <"
ซึ่งคนที่รู้ต้นทุนจริงๆ ว่าเท่าไหร่ ก็คือ ผู้บริหารกองทุนนั่นเอง
จากนั้น ผ่านไปประมาณ 1 ปี เกิดอะไรขึ้นบ้าง ตามดูกันต่อจ้า
วันที่ปิดสมุด 19/04/2013 ถึง 14/03/2014
จะเห็นว่ามีชื่อกองทุนเปิด บัวหลวง 3 กองทุน แต่กองทุนเปิด บีแอ็คทีฟ ชื่อหายไปแล้ว
ซึ่งคิดในด้านของ กองทุนเปิด บีแอ็คทีฟ คิดได้ 2 กรณีคือ 1.ขายหุ้นไปแล้ว กับ 2.โอนหุ้นให้กองทุนอื่น จ้า
ดังนั้น เรามา Focus กันที่ 3 กองทุนเปิด บัวหลวงหลักๆ กันเนาะ
1. กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (เก่า) ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 2.84% เป็น 3.11% เปลี่ยนแปลง +0.27%
2. กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ (ใหม่) ถือหุ้น 2.47%
3. กองทุนเปิด บัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ (เก่า) ถือหุ้นเท่าเดิม 1.44% ต้นทุนราวๆ 3.60 - 4 บาท (ช่วงแรกที่เกริ่นไป)
จากนั้นเราลองไปดูช่วงกราฟราคากัน ในช่วงวันที่ 19/04/2013 ถึง 14/03/2014 กราฟ Week ราคาเป็นดังนี้จ้า
อันนี้มองไม่ยาก เท่าช่วงก่อน เพราะราคาลงมาแรงมาก จาก 5 บาท กว่า เหลือ 3 บาทต้นๆ
น้องสี่จึงคิดว่า กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ (ใหม่) น่าจะมีต้นทุนราวๆ 3 บาท - 3.20 บาท นี่ละ
ส่วนกองทุนเดิม คือ กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (เก่า) ที่ถือหุ้นเพิ่มขึ้น น่าจะทยอยสะสมหุ้นเพิ่ม เพื่อลดต้นทุนในครั้งก่อนนะ
วิเคราะห์ต่อจ้า
ถัดมาอีกประมาณ 2 เดือนคือ วันที่ 14/03/2014 - 07/05/2014 พบว่า
1. กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (เก่า) ถือหุ้นเท่าเดิม คือ 3.11%
2. กองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ (เก่า) ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 2.47% เป็น 2.56% เปลี่ยนแปลง +0.09%
3. กองทุนเปิด บัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ (เก่า) ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 1.44% เป็น 1.51% เปลี่ยนแปลง +0.06%
เมื่อลองดูกราฟ กับ สัดส่วนที่กองทุนซื้อเพิ่มเล็กน้อย จะเห็นได้ว่า บริเวณช่วงเวลา กับ ราคาหุ้นที่แสดงอยู่
ราคาในช่วงนั้น อยู่ในกรอบ Side Way แถวๆ 3 บาท - 3.40 บาท โดยประมาณ ครับ
มีต่อในคูหาที่ 1 จ้า