ก่อนอื่นขอเรียนท่านผู้ดูแลระบบว่า บทความในกระทู้นี้ ขอนำเสนอในเชิงวิชาการและข้อทางกฎหมาย ในแง่มุมหนึ่ง เพื่อประโยชน์โดยรวมของสังคมที่จะรวมกันพิจารณา ไม่ได้มีจุดมุ่งหวังให้เกิดความเข้าใจผิดต่อฝ่ายใด และเป็นการใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นตามกรอบรัฐธรรมนูญปัจจุบันครับ
۞۞ ۞۞ ۞۞ ۞۞
เมื่อวานได้มีการตีพิมพ์ พ.ร.ป. ป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีผลให้กฎหมายนั้นสามารถบังคับใช้ (แต่ย่อมไม่มีผลย้อนหลังกับการกระทำผิดในอดีต) มีสาระสำคัญหลายประการ เช่น การครอบคลุมไปถึง เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ และการไม่นับอายุความในช่วงที่มีการหลบหนีไปต่างประเทศ
แต่ประเด็นที่ทุกฝ่ายควรต้องให้ความสนใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการนำโทษประหารชีวิตมาใช้ในพรบ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริต
เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร
มีการแถลงว่าการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ เพื่อให้อนุวัตรสอดคล้องกับอนุสัญญาของ สหประชาชาติ ที่มีชื่อว่า UNCAC ( United Nations Convention against Corruption 2003) ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นความจริงบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด
เพราะในตัวเอกสารของ UNCAC ไม่ได้พูดถึงเรื่องให้นำโทษประหารมาใช้ในกฏหมายปราบคอรัปชั่น
(
https://www.unodc.org/documents/treaties/UNCAC/Publications/Convention/08-50026_E.pdf )
หรือแม้แต่การสัมนาวิชาการของวุฒิสภาไทยและนักกฎหมายเรื่อง UNCAC เมื่อ ปี 2551 ก็ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องจะนำโทษประหารมาใช้ในกฎหมายที่ต้องออกเพิ่ม เติม เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญา UNCAC
(
http://www.senate.go.th/lawdatacenter/includes/FCKeditor/upload/Image/b/s22%20jun_5_2.pdf )
ท่าทีที่ผ่านมาของสหประชาชาติ
แต่การแถลงว่า การแก้กฎหมายครั้งนี้ทำไปตามอนุสัญญาของสหประชาชาติ ก็สมควรที่ฝ่ายนิติบัญญัติในขณะนี้ จะต้องทราบด้วยว่า สหประชาชาตินั้น มีนโยบายให้ประเทศสมาชิก
เลิกใช้โทษประหารชิวิต ไม่ใช่ให้ใช้มากขึ้นหรือบ่อยขึ้น ดังจะเห็นได้จาก ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ มีมติ 4 ครั้งแล้วที่ให้ประเทศสมาชิกชลอการใช้กฎหมายที่มีโทษประหารและสมควรดำเนิน การยกเลิก
(
http://www.un.org/apps/news/story.asp?NewsID=45305#.VaKJDoE_yrU)
แต่ตอนนี้ไทยไม่ระงับใช้ ไม่ยกเลิกแต่กลับมาใช้เพิ่มขึ้น
และเป็นการใช้เพิ่มขึ้นในระบบการยุติธรรมที่มีการพิจารณาคดีในศาลเดียว
คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มาตราการบรรเทาผลร้ายที่อาจเกิดขึ้น
ดังนั้น หากจะมีการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ต่อชีวิตบุคคล ก็สมควรต้องปรับปรุงระบบยุติธรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปปช อัยการ หรือแม้แต่ศาลเอง ให้เป็นที่มั่นใจของประชาชน และสมควรที่จะต้องให้มีการดำเนินคดีนี้ในศาลอื่นอีกครั้ง เช่น ใช้ที่ประชุมใหญ่ของศาลฏีกาของศาลยุติธรรม เป็นอีกศาลหนึ่ง สำหรับกรณีที่มีการตัดสินในการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้
และจะต้อง
มีมาตรการ ทั้งป้องกันและลงโทษ เจ้าหน้าที่การยุติธรรมที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นปปช หรือเจ้าหน้าที่การยุติธรรมอื่น
โทษนั้นจะต้องหนักกว่าเจ้าหน้าที่ทั่วไป หากจงใจกลั่นแกล้งดำเนินคดีให้เกิดความไม่เที่ยงธรรม
จะต้องให้มีระบบตรวจการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องนี้ทั้งหมด เช่น อาจให้คณะกรรมาธิการยุติธรรมของสภา หรือแม้แต่สภาผู้แทนราษฎรเอง มีสิทธิตรวจสอบการดำเนินการของกระบวนการยุติธรรม และควรให้สภาผู้แทนราษำรมีสิทธิที่จะวีโต้คำตัดสินประหารนี้ และให้ส่งคดีกลับไปดำเนินการในศาลยุติธรรมที่มีสามศาลแทน เพิ่มเติมจากขั้นตอนสุดท้ายที่อาจให้ผู้ต้องหากราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษ
สรุป
การปรับปรุงการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด เพื่อเป็นการสร้างระบบที่ปลอดภัยให้แก่ทุกฝ่าย และคำนึงถึงชีวิตมนุษย์ผู้อาจบริสุทธิ์ที่อาจต้องรับผลหากมีความผิดพลาดใน การยุติธรรมไม่ว่าจะในขั้นตอนใดก็ตาม
และเป็นการป้องกันข้อครหาว่า กฎหมายอาจจะมีขึ้นเพื่อขู่ให้ฝ่ายตรงข้ามกลัว และละเว้นไม่กล้ามายุ่งเกี่ยวการเมือง เฉพาะแต่ฝ่ายพวกของตัวจึงจะเข้ามาเล่นได้อย่างปลอดภัย
จึงหวังว่าสังคมไทยจะใช้สติพิจารณาเรื่องที่มีความสำคัญเช่นนี้ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยความเที่ยงธรรมที่ไม่หวังผลอื่นใด นอกจากความยุติธรรมที่มั่นคงของสังคมครับ
۞۞ :::ดำเนินคดีที่มีโทษประหารชีวิตได้ในศาลเดียว ผิดไหมครับที่ประชาชนจะไม่เห็นด้วย::: ۞۞ ไทโรครับ
เมื่อวานได้มีการตีพิมพ์ พ.ร.ป. ป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีผลให้กฎหมายนั้นสามารถบังคับใช้ (แต่ย่อมไม่มีผลย้อนหลังกับการกระทำผิดในอดีต) มีสาระสำคัญหลายประการ เช่น การครอบคลุมไปถึง เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ และการไม่นับอายุความในช่วงที่มีการหลบหนีไปต่างประเทศ
แต่ประเด็นที่ทุกฝ่ายควรต้องให้ความสนใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการนำโทษประหารชีวิตมาใช้ในพรบ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริต
เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร
มีการแถลงว่าการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ เพื่อให้อนุวัตรสอดคล้องกับอนุสัญญาของ สหประชาชาติ ที่มีชื่อว่า UNCAC ( United Nations Convention against Corruption 2003) ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นความจริงบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด
เพราะในตัวเอกสารของ UNCAC ไม่ได้พูดถึงเรื่องให้นำโทษประหารมาใช้ในกฏหมายปราบคอรัปชั่น
(https://www.unodc.org/documents/treaties/UNCAC/Publications/Convention/08-50026_E.pdf )
หรือแม้แต่การสัมนาวิชาการของวุฒิสภาไทยและนักกฎหมายเรื่อง UNCAC เมื่อ ปี 2551 ก็ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องจะนำโทษประหารมาใช้ในกฎหมายที่ต้องออกเพิ่ม เติม เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญา UNCAC
(http://www.senate.go.th/lawdatacenter/includes/FCKeditor/upload/Image/b/s22%20jun_5_2.pdf )
ท่าทีที่ผ่านมาของสหประชาชาติ
แต่การแถลงว่า การแก้กฎหมายครั้งนี้ทำไปตามอนุสัญญาของสหประชาชาติ ก็สมควรที่ฝ่ายนิติบัญญัติในขณะนี้ จะต้องทราบด้วยว่า สหประชาชาตินั้น มีนโยบายให้ประเทศสมาชิกเลิกใช้โทษประหารชิวิต ไม่ใช่ให้ใช้มากขึ้นหรือบ่อยขึ้น ดังจะเห็นได้จาก ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ มีมติ 4 ครั้งแล้วที่ให้ประเทศสมาชิกชลอการใช้กฎหมายที่มีโทษประหารและสมควรดำเนิน การยกเลิก
(http://www.un.org/apps/news/story.asp?NewsID=45305#.VaKJDoE_yrU)
และเป็นการใช้เพิ่มขึ้นในระบบการยุติธรรมที่มีการพิจารณาคดีในศาลเดียว
คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มาตราการบรรเทาผลร้ายที่อาจเกิดขึ้น
ดังนั้น หากจะมีการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ต่อชีวิตบุคคล ก็สมควรต้องปรับปรุงระบบยุติธรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปปช อัยการ หรือแม้แต่ศาลเอง ให้เป็นที่มั่นใจของประชาชน และสมควรที่จะต้องให้มีการดำเนินคดีนี้ในศาลอื่นอีกครั้ง เช่น ใช้ที่ประชุมใหญ่ของศาลฏีกาของศาลยุติธรรม เป็นอีกศาลหนึ่ง สำหรับกรณีที่มีการตัดสินในการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้
และจะต้องมีมาตรการ ทั้งป้องกันและลงโทษ เจ้าหน้าที่การยุติธรรมที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นปปช หรือเจ้าหน้าที่การยุติธรรมอื่น โทษนั้นจะต้องหนักกว่าเจ้าหน้าที่ทั่วไป หากจงใจกลั่นแกล้งดำเนินคดีให้เกิดความไม่เที่ยงธรรม
จะต้องให้มีระบบตรวจการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องนี้ทั้งหมด เช่น อาจให้คณะกรรมาธิการยุติธรรมของสภา หรือแม้แต่สภาผู้แทนราษฎรเอง มีสิทธิตรวจสอบการดำเนินการของกระบวนการยุติธรรม และควรให้สภาผู้แทนราษำรมีสิทธิที่จะวีโต้คำตัดสินประหารนี้ และให้ส่งคดีกลับไปดำเนินการในศาลยุติธรรมที่มีสามศาลแทน เพิ่มเติมจากขั้นตอนสุดท้ายที่อาจให้ผู้ต้องหากราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษ
สรุป
การปรับปรุงการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด เพื่อเป็นการสร้างระบบที่ปลอดภัยให้แก่ทุกฝ่าย และคำนึงถึงชีวิตมนุษย์ผู้อาจบริสุทธิ์ที่อาจต้องรับผลหากมีความผิดพลาดใน การยุติธรรมไม่ว่าจะในขั้นตอนใดก็ตาม
และเป็นการป้องกันข้อครหาว่า กฎหมายอาจจะมีขึ้นเพื่อขู่ให้ฝ่ายตรงข้ามกลัว และละเว้นไม่กล้ามายุ่งเกี่ยวการเมือง เฉพาะแต่ฝ่ายพวกของตัวจึงจะเข้ามาเล่นได้อย่างปลอดภัย
จึงหวังว่าสังคมไทยจะใช้สติพิจารณาเรื่องที่มีความสำคัญเช่นนี้ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยความเที่ยงธรรมที่ไม่หวังผลอื่นใด นอกจากความยุติธรรมที่มั่นคงของสังคมครับ