สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 19
ผมขออีก 1 งาน สำหรับอาชีวะช่วยชาติครับ แต่ช่วยชาติด้วยความรู้ที่ร่ำเรียนมา และประสบการณ์ในการทำงาน เพื่อนำมาพัฒนาประเทศ และทำประโยชน์ให้กับสังคมไทยจริงๆครับ
ในกรณีที่เราอยากจะมีระบบน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตร อุปโภค บริโภคเองดูนะ ในกรณีของนิด ถ้าใช้สำหรับนา 20 ไร่ หรือใช้ในครัวเรือนคิดว่าเพียงพอแน่นอนสำหรับ 1 บ่อนะ ลองคิดแบบคร่าวๆกันดูนะ น่าจะพอใกล้เคียงกับกระทู้ที่ลงมาแล้ว
จากประสบการณ์จริงที่เคยไปเดินระบบน้ำทั้งระบบไว้ เจาะบาดาลลึก 40 เมตร (อย่างกรณีของนิดก็เพิ่มเข้าไปอีกไม่มากก็น่าจะเจอตาน้ำ) จนผ่านชั้นหินที่ไปสู่ชั้นที่มีน้ำบาดาล คนจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลมารับงานนอกในวันหยุดเจาะให้เอง ค่าเจาะ 17,000 บาท ราคานี้ใช้ท่อ PVC 5" ขนาดความหนาเบอร์ 8.5 (ส่วนใหญ่ผู้รับงานจะใช้ท่อ 4") ซึ่งความลึกขนาดนี้จะเป็นความลึกโดยประมาณเฉลี่ยต่อในหลายๆพื้นที่ บางที่อาจจะต้องเจาะลึกกว่านั้นขึ้นไป แต่บางพื้นที่แค่ไม่เกิน 10 เมตรเราก็จะเจอตาน้ำแล้วแต่ของนิดนี่ไม่น่าจะต่ำกว่า 40 เมตรแน่นอน ให้ราคาปัดไว้เผื่อที่ 25,000 บาท แต่จริงๆแล้วไม่น่าจะถึง แค่หมื่นกว่าบาทตามข้างต้นนี่แหละก็น่าจะพอ (เผื่อไว้ในกรณีที่บริเวณที่จะเจาะไม่มีน้ำที่จะไปหล่อเย็นหัวเจาะเพราะจะทำให้เจาะยากและหัวเจาะไหม้หรือแตกหักได้ จึงจำเป็นต้องเผื่อค่าเช่ารถน้ำที่เขาเอามาหล่อเย็นหัวเจาะ หรือถ้าเรามีน้ำพอที่จะเปิดเลี้ยงหัวเจาะไว้ ค่าใช้จ่ายตรงนี้จะถูกลงไปอีก)
หมายเหตุเพิ่มเติมในส่วนนี้เล็กน้อย >ทางภาคเหนืออาจจะเจาะลึกลงไปกว่านี้ครับบางที่อาจลึกลงไปถึงหลัก 100 เมตรขึ้นไป ค่าเจาะก็จะมากขึ้นตามความลึกที่เจอตาน้ำครับ บางครั้งเป็นแสนก็มีแต่คุ้มค่าแน่นอนครับสำหรับการนำน้ำมาใช้ในการเกษตร์
ใช้ Submersible Pump (ปั๊มแช่สำหรับน้ำบาดาล) อย่างดีของ Franklin ปั๊มบาดาล 1 แรงม้า 7 ใบพัด Schaefer TRI-SEAL ขนาดท่อออกได้ทั่ง 1 1/2" และ 1 1/4" ตัวละ 14,000 บาท จุ่มลงไปในก้นบ่อที่เจาะ ดูดไปเรื่อยๆจนกว่าน้ำมันจะใสหรือหายขุ่นบางที่วันเดียวก็ใสแล้ว บางที่ก็นานกว่านั้น เหตุผลที่ใช้ปั๊มแค่ 1 แรงม้าก็คือ หากเราใช้ปั๊มที่แรงกว่านั้น น้ำจากตาน้ำบ่อบาดาลจะไหลกลับเข้ามาป้อนเข้าปี๊มไม่ทันตามอัตราการไหลของน้ำของปั๊ม ไม่ใช่ว่าอยากจะดูดขึ้นมาแรงเท่าไหร่ก็ได้ ไม่งั้นจะได้น้ำบ้างอากาศบ้าง และอาจจะทำให้ปั๊มพังได้ในกรณีที่น้ำมาไม่ทันขาดช่วงนานๆ


ให้สูบเก็บใส่แท๊งค์ไว้ที่ติดตั้งไว้ข้างบ่อบาดาล (ติดตั้งสวิทช์ลูกลอยอัตโนมัติไว้ให้ปั๊มมันติดเมื่อน้ำลดถึงระดับที่ตั้งไว้ และหยุดเมื่อน้ำเพิ่มถึงระดับที่ต้องการ) จะซื้อเป็นแท๊งค์เก็บหรือบ่อพักก็แล้วแต่ขนาด หากเอาแค่ 10,000 ลิตร ก็ไม่เกิน 2-3 หมื่นบาท หรือหากจะก่อเป็นบ่อปูน+กันซึม เอาแบบเป็นแสนลิตรก็ประมาณ 5 หมื่นบาท(ก่ออิฐบล็อคและก็ฉาบปูนผสมน้ำยากันซึม ห้ามใช้อิฐมวลเบาเด็ดขาด) น้ำจากบ่อบาดาลจะเติมลงบ่อพักนี้เรื่อยๆจนกว่าจะถึงระดับที่เราตั้งสวิทช์ลูกลอยไว้ปั๊มมันจะตัด
ค่าเดินท่อรวมอุปกรณ์ ไม่เกิน 500 บาท / 12 เมตร (คิดคล่าวๆโดยเฉลี่ยจากการใช้ทั้งท่อ PE ท่อ PVC อย่างใดอย่างหนึ่ง) หากต้องการเดินท่อในตำแหน่งที่ห่างจากบ่อไป 100 เมตร จะต้องใช้ เงินตรงนี้ประมาณ 500*100/12 = 4,167 บาท เคสนี้คิดไว้แบบเดินท่อรวมไป 500 เมตรก็ประมาณ 20,000 บาทก็แล้วกันอาแบบต้นไม้ได้น้ำทั่วถึงไปเลย แต่ถ้าใช้เป็นสายยางเกษตร ราคาจะถูกลงกว่านี้มาก
ต้นกำลังส่งน้ำออกจากบ่อพักน้ำไปยังพื้นที่เป้าหมายเอาเป็นปั๊มหอยโข่งขนาด 3 " ก็แล้วกัน (แล้วค่อยแยกไลน์ลดขนาดท่อลงไปตามความเหมาะสม) ราคาไม่เกิน 15,000 บาท (หากให้มันเปิดปิดตามเวลาที่ต้องการก็ติดตั้ง Timer เอา ตีราคาให้ไม่เกิน 1,000 บาท) ในกรณีที่ส่งน้ำไปไกลหรือขึ้นที่สูงเราจำเป็นที่จะต้องติดตั้งหม้อลม (air chamber หรือชาวบ้านบางคนเรียกแอร์แวะ) ในแนวตั้งตรงตำแหน่งหลังปั๊ม เพราะลมหรืออากาศที่มากับน้ำจะลอยขึ้นไปสู่ส่วนบนเจ้าหม้อลมอันนี้แล้วมันก็จะไปต่อไม่ได้ก็จะผลักเอาน้ำให้มีแรงดันพุ่งออกไปให้ไกลขึ้นหลายเท่าตัวของประสิทธิภาพปั๊ม ให้ค่างบทำหม้อลม + เช็ควาล์วกันลมย้อนกลับกระแทกปั๊มไว้ที่ 1,000 บาท
รวมๆแล้วทั้งระบบ เจาะบ่อบาดาล+ปั๊มบาดาล+บ่อพักน้ำ+ปั๊มส่งน้ำจากบ่อพักไปยังต้นไม้+เดินท่อหรือสายยางก็ประมาณ 1 แสน หรือน้อยกว่านั้น
และในกรณีที่เราต้องการน้ำตรงนี้มาใช้อุปโภคบริโภค หากคุณภาพน้ำมันดีอยู่แล้วก็นำมาใช้ได้เลย เพราะน้ำบาดาลเป็นน้ำใต้ชั้นหินที่สะอาดอยู่แล้ว และหากน้ำมันเหลือง เราก็อาจจะซื้อถังพลาสติกมาทำเป็นบ่อปรับสภาพน้ำหรือบ่อกรองน้ำคือเติมผงแมงกานีสเข้าไป (สั่งซื้อตามเน็ตได้) หากน้ำมีรสเค็มหรือเปรี้ยว เราก็เติมเรซิ่นกรองน้ำลงไปในบ่อกรอง และเติมผงคาร์บอนลงไปเพื่อไม่ให้น้ำมีกลิ่นเป็นต้น ลองไปประยุกต์ใช้ดูนะ
คิดว่าบ่อเดียวมันเพียงพอสำหรับนา 20 ไร่ หรือถ้าจะเอาแบบประหยัดสุดๆจริงๆก็แค่เจาะบ่อหมื่นกว่าบาท แล้วต่อสายยางลงไปที่ๆนาเราต่อได้เลย ก็สามารถทำได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราต้องอยู่กับมันตลอด คอยเปิดปิดปั๊มเอง และคอยลากสายยางไปตามจุดต่างๆเองเท่านั้น
ขออนุญาตเพิ่มเติมเนื้อหากระทู้เล็กน้อยครับ อันนี้จะเพิ่มในส่วนที่รัฐบาลจะใช้วิธีเจาะบาดาลเพื่อแก้ภัยแล้ง ผมขออนุญาตนำคำตอบที่เพื่อนสมาชิกได้ถามเอาไว้ และผมตอบในเม้นต์ย่อยมาเพิ่มเติมตรงหัวกระทู้ครับ เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรจะรู้ไว้
- ในการเจาะบ่อบาดาลเพื่อแก้ภัยแล้งของรัฐบาลในครั้งนี้ คงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งระบบ แต่เห็นด้วยในการที่จะทำเพราะใช้งบประมาณที่ไม่มากเลยเมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ บางโครงการเสียเงินไปเป็นจำนวนมากโดยที่ประชาชนไม่ได้อะไรกลับมาเลยเสียด้วยซ้ำ การขุดเจาะบ่อบาดาลเพียงแค่เสริมเข้าไปไม่ให้พื้นที่เกษตรแห้งสนิทในยามที่แหล่งน้ำตามธรรมชาติขาดแคลนเท่านั้น ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพเช่นไฟฟ้าที่เราใช้อยุ่ทุกวันนี้มาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ (CNG) และถ่านหินเป็นหลัก แต่เรามีโรงไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อเดินเครื่องจ่ายโหลดเสริมในช่วง Peak load (ช่วงหัวค่ำของทุกๆวันและในช่วงหน้าร้อน) บ่อบาดาลนี้ก็เช่นเดียวกันกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำครับ แต่หากเรานำมาใช้เพื่อการอุปโภค บริโภค เฉยๆ 1 บ่อ/50-100 ครัวเรือนนี้ก็ได้อยู่ครับผม ทำบ่อพักน้ำให้ดีๆปั๊มน้ำมันจะเติมน้ำเข้าบ่อตลอดครับ
- เรื่องบริหารจัดการน้ำที่ดีคือการแก้ไขปัญหาที่ถูกจุดที่สุด ซึ่งประเทศเรานั้นเดิมทีมีต้นทุนทางทรัพยากรน้ำสูงกว่าหลายๆประเทศ หากเรามีการบริหารจัดการน้ำที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ปัญหาภัยแล้งก็จะไม่เกิด ประชาชนโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมก็จะไม่เดือดร้อน
- นี่คือภาพแสดงดัชนีความมั่นคงด้านน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำ ที่จริงแล้วประเทศเรานับว่าโชคดีที่มีน้ำจืดอุปโภคบริโภคมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่พอดูดัชนีแล้วจะเห็นว่า ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์รวมถึงสิงคโปร์ ทั้งๆ ที่ประเทศเขาขาดแคลนน้ำจืด แต่ทำไมดัชนีความมั่นคงน้ำถึงสูง นั่นก็เพราะเขามีการจัดการที่ดี ในขณะที่เราเองกลับอยู่เกาะกลุ่มกับอินเดีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ ซึ่งรู้กันอยู่ว่าประเทศเหล่านี้มีปัญหาขาดแคลนน้ำมากกว่าเรา (บังคลาเทศอาจมีน้ำท่วมบ่อยๆ แต่ไม่ได้หมายถึงมีน้ำใช้เพียงพอในการอุปโภคบริโภค)

กลุ่มอาชีวะช่วยชาติเห็นหรือยังครับ ว่าการช่วยชาติที่ถูกต้อง ตามความรู้ความสามารถที่คุณมีอยู่ มันช่วยชาติได้มากมายจริงๆ แต่การช่วยชาติด้วยการที่คุณทำมาตลอดเดือนที่ผ่านมา ผมว่ามันไม่ใช่ครับ มันเป็นการพาชาติถอยหลังมากกว่า
ในกรณีที่เราอยากจะมีระบบน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตร อุปโภค บริโภคเองดูนะ ในกรณีของนิด ถ้าใช้สำหรับนา 20 ไร่ หรือใช้ในครัวเรือนคิดว่าเพียงพอแน่นอนสำหรับ 1 บ่อนะ ลองคิดแบบคร่าวๆกันดูนะ น่าจะพอใกล้เคียงกับกระทู้ที่ลงมาแล้ว
จากประสบการณ์จริงที่เคยไปเดินระบบน้ำทั้งระบบไว้ เจาะบาดาลลึก 40 เมตร (อย่างกรณีของนิดก็เพิ่มเข้าไปอีกไม่มากก็น่าจะเจอตาน้ำ) จนผ่านชั้นหินที่ไปสู่ชั้นที่มีน้ำบาดาล คนจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลมารับงานนอกในวันหยุดเจาะให้เอง ค่าเจาะ 17,000 บาท ราคานี้ใช้ท่อ PVC 5" ขนาดความหนาเบอร์ 8.5 (ส่วนใหญ่ผู้รับงานจะใช้ท่อ 4") ซึ่งความลึกขนาดนี้จะเป็นความลึกโดยประมาณเฉลี่ยต่อในหลายๆพื้นที่ บางที่อาจจะต้องเจาะลึกกว่านั้นขึ้นไป แต่บางพื้นที่แค่ไม่เกิน 10 เมตรเราก็จะเจอตาน้ำแล้วแต่ของนิดนี่ไม่น่าจะต่ำกว่า 40 เมตรแน่นอน ให้ราคาปัดไว้เผื่อที่ 25,000 บาท แต่จริงๆแล้วไม่น่าจะถึง แค่หมื่นกว่าบาทตามข้างต้นนี่แหละก็น่าจะพอ (เผื่อไว้ในกรณีที่บริเวณที่จะเจาะไม่มีน้ำที่จะไปหล่อเย็นหัวเจาะเพราะจะทำให้เจาะยากและหัวเจาะไหม้หรือแตกหักได้ จึงจำเป็นต้องเผื่อค่าเช่ารถน้ำที่เขาเอามาหล่อเย็นหัวเจาะ หรือถ้าเรามีน้ำพอที่จะเปิดเลี้ยงหัวเจาะไว้ ค่าใช้จ่ายตรงนี้จะถูกลงไปอีก)
หมายเหตุเพิ่มเติมในส่วนนี้เล็กน้อย >ทางภาคเหนืออาจจะเจาะลึกลงไปกว่านี้ครับบางที่อาจลึกลงไปถึงหลัก 100 เมตรขึ้นไป ค่าเจาะก็จะมากขึ้นตามความลึกที่เจอตาน้ำครับ บางครั้งเป็นแสนก็มีแต่คุ้มค่าแน่นอนครับสำหรับการนำน้ำมาใช้ในการเกษตร์
นี่คือภาพตัวอย่างรถที่เจาะนะ จะติดตั้งเครื่องเจาะไว้ที่กะบะหลัง เป็นแท่นเครื่องเจาะขนาดใหญ่

นี่คือหลังจากเจาะเสร็จแล้ว ตามภาพกำลังไล่ลมไล่ฝุ่นออกจากบ่ออยู่ บ่อนี้ลึก 40 เมตร


นี่คือหลังจากเจาะเสร็จแล้ว ตามภาพกำลังไล่ลมไล่ฝุ่นออกจากบ่ออยู่ บ่อนี้ลึก 40 เมตร

ใช้ Submersible Pump (ปั๊มแช่สำหรับน้ำบาดาล) อย่างดีของ Franklin ปั๊มบาดาล 1 แรงม้า 7 ใบพัด Schaefer TRI-SEAL ขนาดท่อออกได้ทั่ง 1 1/2" และ 1 1/4" ตัวละ 14,000 บาท จุ่มลงไปในก้นบ่อที่เจาะ ดูดไปเรื่อยๆจนกว่าน้ำมันจะใสหรือหายขุ่นบางที่วันเดียวก็ใสแล้ว บางที่ก็นานกว่านั้น เหตุผลที่ใช้ปั๊มแค่ 1 แรงม้าก็คือ หากเราใช้ปั๊มที่แรงกว่านั้น น้ำจากตาน้ำบ่อบาดาลจะไหลกลับเข้ามาป้อนเข้าปี๊มไม่ทันตามอัตราการไหลของน้ำของปั๊ม ไม่ใช่ว่าอยากจะดูดขึ้นมาแรงเท่าไหร่ก็ได้ ไม่งั้นจะได้น้ำบ้างอากาศบ้าง และอาจจะทำให้ปั๊มพังได้ในกรณีที่น้ำมาไม่ทันขาดช่วงนานๆ
ในภาพชุดปั๊มน้ำบาดาลแบบแช่ ที่จำเป็นต้องใช้แบบนี้เพราะตาน้ำมันอยู่ลึก หากเพียงแค่ 10-20 เมตร เราใช้แค่ปั๊มหอยโข่งธรรมดาเอาก็ได้ ถูกกว่ากัน 2-3 เท่าตัว


ภาพนี้หลังจากเราหย่อนปั๊มลงไปในบ่อแล้วปั๊มน้ำมันทิ้งไว้ซัก 1 วัน 1 คืน น้ำมันก็จะใสแบบนี้ (บางที่อาจจะใช้เวลานานกว่านั้นแล้วแต่คุณภาพน้ำของแต่ละที่




ให้สูบเก็บใส่แท๊งค์ไว้ที่ติดตั้งไว้ข้างบ่อบาดาล (ติดตั้งสวิทช์ลูกลอยอัตโนมัติไว้ให้ปั๊มมันติดเมื่อน้ำลดถึงระดับที่ตั้งไว้ และหยุดเมื่อน้ำเพิ่มถึงระดับที่ต้องการ) จะซื้อเป็นแท๊งค์เก็บหรือบ่อพักก็แล้วแต่ขนาด หากเอาแค่ 10,000 ลิตร ก็ไม่เกิน 2-3 หมื่นบาท หรือหากจะก่อเป็นบ่อปูน+กันซึม เอาแบบเป็นแสนลิตรก็ประมาณ 5 หมื่นบาท(ก่ออิฐบล็อคและก็ฉาบปูนผสมน้ำยากันซึม ห้ามใช้อิฐมวลเบาเด็ดขาด) น้ำจากบ่อบาดาลจะเติมลงบ่อพักนี้เรื่อยๆจนกว่าจะถึงระดับที่เราตั้งสวิทช์ลูกลอยไว้ปั๊มมันจะตัด
ภาพตัวอย่าสวิทช์ลูกลอย ตัวนี้ราคา 4 ร้อยกว่าบาทถ้าจำไม่ผิดนะ แต่ของอิตาลี่สีดำล้วนตัวละ 6 ร้อยกว่าบาทหาภาพไม่เจอ


ค่าเดินท่อรวมอุปกรณ์ ไม่เกิน 500 บาท / 12 เมตร (คิดคล่าวๆโดยเฉลี่ยจากการใช้ทั้งท่อ PE ท่อ PVC อย่างใดอย่างหนึ่ง) หากต้องการเดินท่อในตำแหน่งที่ห่างจากบ่อไป 100 เมตร จะต้องใช้ เงินตรงนี้ประมาณ 500*100/12 = 4,167 บาท เคสนี้คิดไว้แบบเดินท่อรวมไป 500 เมตรก็ประมาณ 20,000 บาทก็แล้วกันอาแบบต้นไม้ได้น้ำทั่วถึงไปเลย แต่ถ้าใช้เป็นสายยางเกษตร ราคาจะถูกลงกว่านี้มาก
ต้นกำลังส่งน้ำออกจากบ่อพักน้ำไปยังพื้นที่เป้าหมายเอาเป็นปั๊มหอยโข่งขนาด 3 " ก็แล้วกัน (แล้วค่อยแยกไลน์ลดขนาดท่อลงไปตามความเหมาะสม) ราคาไม่เกิน 15,000 บาท (หากให้มันเปิดปิดตามเวลาที่ต้องการก็ติดตั้ง Timer เอา ตีราคาให้ไม่เกิน 1,000 บาท) ในกรณีที่ส่งน้ำไปไกลหรือขึ้นที่สูงเราจำเป็นที่จะต้องติดตั้งหม้อลม (air chamber หรือชาวบ้านบางคนเรียกแอร์แวะ) ในแนวตั้งตรงตำแหน่งหลังปั๊ม เพราะลมหรืออากาศที่มากับน้ำจะลอยขึ้นไปสู่ส่วนบนเจ้าหม้อลมอันนี้แล้วมันก็จะไปต่อไม่ได้ก็จะผลักเอาน้ำให้มีแรงดันพุ่งออกไปให้ไกลขึ้นหลายเท่าตัวของประสิทธิภาพปั๊ม ให้ค่างบทำหม้อลม + เช็ควาล์วกันลมย้อนกลับกระแทกปั๊มไว้ที่ 1,000 บาท
การทำงานคล่าวๆของหม้อลม หรือแอร์แว หรือ Air Chamber


รวมๆแล้วทั้งระบบ เจาะบ่อบาดาล+ปั๊มบาดาล+บ่อพักน้ำ+ปั๊มส่งน้ำจากบ่อพักไปยังต้นไม้+เดินท่อหรือสายยางก็ประมาณ 1 แสน หรือน้อยกว่านั้น
และในกรณีที่เราต้องการน้ำตรงนี้มาใช้อุปโภคบริโภค หากคุณภาพน้ำมันดีอยู่แล้วก็นำมาใช้ได้เลย เพราะน้ำบาดาลเป็นน้ำใต้ชั้นหินที่สะอาดอยู่แล้ว และหากน้ำมันเหลือง เราก็อาจจะซื้อถังพลาสติกมาทำเป็นบ่อปรับสภาพน้ำหรือบ่อกรองน้ำคือเติมผงแมงกานีสเข้าไป (สั่งซื้อตามเน็ตได้) หากน้ำมีรสเค็มหรือเปรี้ยว เราก็เติมเรซิ่นกรองน้ำลงไปในบ่อกรอง และเติมผงคาร์บอนลงไปเพื่อไม่ให้น้ำมีกลิ่นเป็นต้น ลองไปประยุกต์ใช้ดูนะ
คิดว่าบ่อเดียวมันเพียงพอสำหรับนา 20 ไร่ หรือถ้าจะเอาแบบประหยัดสุดๆจริงๆก็แค่เจาะบ่อหมื่นกว่าบาท แล้วต่อสายยางลงไปที่ๆนาเราต่อได้เลย ก็สามารถทำได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราต้องอยู่กับมันตลอด คอยเปิดปิดปั๊มเอง และคอยลากสายยางไปตามจุดต่างๆเองเท่านั้น
...............................................................................................................................................
ขออนุญาตเพิ่มเติมเนื้อหากระทู้เล็กน้อยครับ อันนี้จะเพิ่มในส่วนที่รัฐบาลจะใช้วิธีเจาะบาดาลเพื่อแก้ภัยแล้ง ผมขออนุญาตนำคำตอบที่เพื่อนสมาชิกได้ถามเอาไว้ และผมตอบในเม้นต์ย่อยมาเพิ่มเติมตรงหัวกระทู้ครับ เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรจะรู้ไว้
- ในการเจาะบ่อบาดาลเพื่อแก้ภัยแล้งของรัฐบาลในครั้งนี้ คงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งระบบ แต่เห็นด้วยในการที่จะทำเพราะใช้งบประมาณที่ไม่มากเลยเมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ บางโครงการเสียเงินไปเป็นจำนวนมากโดยที่ประชาชนไม่ได้อะไรกลับมาเลยเสียด้วยซ้ำ การขุดเจาะบ่อบาดาลเพียงแค่เสริมเข้าไปไม่ให้พื้นที่เกษตรแห้งสนิทในยามที่แหล่งน้ำตามธรรมชาติขาดแคลนเท่านั้น ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพเช่นไฟฟ้าที่เราใช้อยุ่ทุกวันนี้มาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ (CNG) และถ่านหินเป็นหลัก แต่เรามีโรงไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อเดินเครื่องจ่ายโหลดเสริมในช่วง Peak load (ช่วงหัวค่ำของทุกๆวันและในช่วงหน้าร้อน) บ่อบาดาลนี้ก็เช่นเดียวกันกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำครับ แต่หากเรานำมาใช้เพื่อการอุปโภค บริโภค เฉยๆ 1 บ่อ/50-100 ครัวเรือนนี้ก็ได้อยู่ครับผม ทำบ่อพักน้ำให้ดีๆปั๊มน้ำมันจะเติมน้ำเข้าบ่อตลอดครับ
- เรื่องบริหารจัดการน้ำที่ดีคือการแก้ไขปัญหาที่ถูกจุดที่สุด ซึ่งประเทศเรานั้นเดิมทีมีต้นทุนทางทรัพยากรน้ำสูงกว่าหลายๆประเทศ หากเรามีการบริหารจัดการน้ำที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ปัญหาภัยแล้งก็จะไม่เกิด ประชาชนโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมก็จะไม่เดือดร้อน
- นี่คือภาพแสดงดัชนีความมั่นคงด้านน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำ ที่จริงแล้วประเทศเรานับว่าโชคดีที่มีน้ำจืดอุปโภคบริโภคมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่พอดูดัชนีแล้วจะเห็นว่า ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์รวมถึงสิงคโปร์ ทั้งๆ ที่ประเทศเขาขาดแคลนน้ำจืด แต่ทำไมดัชนีความมั่นคงน้ำถึงสูง นั่นก็เพราะเขามีการจัดการที่ดี ในขณะที่เราเองกลับอยู่เกาะกลุ่มกับอินเดีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ ซึ่งรู้กันอยู่ว่าประเทศเหล่านี้มีปัญหาขาดแคลนน้ำมากกว่าเรา (บังคลาเทศอาจมีน้ำท่วมบ่อยๆ แต่ไม่ได้หมายถึงมีน้ำใช้เพียงพอในการอุปโภคบริโภค)

กลุ่มอาชีวะช่วยชาติเห็นหรือยังครับ ว่าการช่วยชาติที่ถูกต้อง ตามความรู้ความสามารถที่คุณมีอยู่ มันช่วยชาติได้มากมายจริงๆ แต่การช่วยชาติด้วยการที่คุณทำมาตลอดเดือนที่ผ่านมา ผมว่ามันไม่ใช่ครับ มันเป็นการพาชาติถอยหลังมากกว่า
ความคิดเห็นที่ 17
ขออนุญาตแจมกระทู้อาชีวะนะครับ เพราะตัวเองก็เคยจบ ปวส. สายช่างมาเหมือนกัน และเป็นลูกพระวิษณุกรรมของแท้ยันจบปริญญาตรีด้วย เรามาช่วยชาติร่วมกันนะครับ อาชีวะช่วยชาติทั้งหลาย
แต่ผมไม่ใช้อาชีวะช่วยชาติที่ไปไล่นักศึกษากลุ่มดาวดินที่เรียกร้องหาประชาธิปไตยครับ แต่เป็นอาชีวะที่นำความรู้ความสามารถที่เรียนมาๆทำประโยชน์ให้กับสังคม มาชวนเพื่อนๆประหยัดไฟ ประหยัดพลังงาน ลดการนำเข้าพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้าน และยังช่วยเพื่อนร่วมชาติประหยัดเงินในกระเป๋าของท่านในสภาวะเศรษฐกิจห่วยๆแบบนี้ด้วย

การใช้พลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ของบ้านเราตอนนี้หนักไปทางระบบทำความเย็นครับโดยเฉพาะหน้าร้อนจะกินพลังงานมากๆ และระบบทำความเย็นที่ใกล้ตัวเราๆท่านๆมากที่สุด ณ เวลานี้ คือระบบปรับอากาศ พูดง่ายๆก็คือแอร์นี่เอง เจ้าแอร์นี่แหละคือตัวกินพลังงานหลักของประเทศและเงินในกระเป๋าของท่าน ฉลากเบอร์ 5 ที่ติดมากับแอร์ที่ท่านซื้อมันคำนวนเงินมาให้ท่านเสร็จสรรพ โดยคำนวนมาที่ท่านเปิดแอร์วันละ 8 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเงินค่าไฟที่เขาคำนวนโดยเฉลี่ยมาให้นั้นมันหมายความว่าแอร์ของท่านจะต้องอยู่ในสภาพที่สะอาดที่สุด เหมือนใหม่ที่สุด แต่ในความเป็นจริงเราๆท่านๆก็คงไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้กันทุกคนนัก ซื้อมาแล้วก็ต้องใช้ให้เต็มที่เท่านั้น ไม่ได้มองไปถึงว่าจะต้องมาเช็คมาดูแลอะไรนักหนา จุดตรงนี้แหละที่ทำให้เราต้องเปลืองพลังงานมากไปเกินความจำเป็น ส่งผลถึงค่าการใช้พลังงานของชาติที่มากขึ้น และค่าไฟที่มากขึ้นของตัวท่านเองด้วย
ผมเองคงไม่ใช่ช่างแอร์ในตำนานที่จะรู้ไปกว่าใครๆนัก เพราะอาชีพหลักก็ไม่ใช่ช่างแอร์โดยตรง แต่ล้างแอร์เป็น คำนวนค่าไฟต่อหน่วยเป็น และเล็งเห็นถึงประโยชน์ตรงนี้ที่จะเกิดแก่เพื่อนสมาชิกทุกท่าน จึงได้นำมาบอกเล่าสู่กันฟังเผื่อมันจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย
ผมไปลองสุ่มตัวอย่างแอร์มา 1 ตัวครับ เป็นแอร์ยี่ห้อหนึ่งขนาด 12,xxx btu สังเกตมันดูว่า มันเย็นไม่เต็มประสิทธิภาพ และมันไม่นิ่ง มีอาการสั่นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากฝุ่นและคราบเหนียวๆต่างๆเข้าไปเกาะบริเวณ คอยล์เย็น พัดลมแอร์ และคอยล์ร้อนบริเวณตู้วางคอมเพสเชอร์ อีกทั้งตะแกรงดักฝุ่นหรือฟิลเตอร์ที่ตัวเครื่องก็มีฝุ่นจับอีกด้วย ทดลองเปิดที่อุณหภูมิ 25 C ความแรงพัดลมที่ Auto ปรากฏว่าเปิดอยู่นานมากเป็นชั่วโมงคอมเพรสเซอร์ทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการตัดการทำงาน วัดค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเท่ากับ 4.875 แอมแปร์ และค่ากำลังไฟฟ้ากินไฟ 1.1032 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ตามภาพ


เรามาลองคิดคำนวนค่าไฟแบบคร่าวๆดูครับสมมุติว่าเราเปิดเจ้าแอร์เครื่องนี้เป็นเวลา 8 ชั่วโมง/วัน สูตรการคำนวนง่ายๆครับ
จำนวนหน่วยที่ใช้ใน 1 วัน = กำลังไฟฟ้า(กิโลวัตต์) x จำนวน เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคำนวณ x จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานในหนึ่งวัน
จำนวนหน่วยที่ใช้ใน 1 วัน = 1.1032 * 1 * 8 = 8.826 หน่วย/วัน จะจ่ายค่าไฟกี่บาทก็แล้วแต่พื้นที่ๆท่านอยู่ว่าเขาเก็บค่าไฟหน่วยละเท่าไหร่ครับ
คราวนี้เราลองมาทดลองล้างแอร์เจ้าเครื่องนี้กันดูครับ
เบื้องต้นก่อนจะถึงวิธีล้างแอร์ มาบอกในสิ่งที่หลายๆคนมองข้ามก่อน นั่นก็คือฟิลเตอร์ดักฝุ่นครับ เจ้าฟิลเตอร์ตัวนี้ถ้าไม่ล้างมันๆก็จะทำให้อากาศร้อนภายในห้องดูดผ่านครีบระบายความร้อนออกไปไม่ได้เหมือนกัน แง้มหน้ากากหน้ามันขึ้น แล้วดึงมันออกมาฉีดล้างให้สะอาดทุกๆอาทิตย์ครับ


คราวนี้มาเข้าวิธีล้างแอร์ช่วยชาติจริงๆแล้ว
1. เริ่มต้นจากสับเบรคเกอร์ลง เตรียมถอดหน้ากากออกก่อน มันจะมีที่ปิดหัวน็อตอยู่ที่ส่วนล่างของช่องลมแอร์ ให้เราใช้ไขควงเล็กๆงัดออก และใช้ไขควงแฉกขันน็อตออกทั้งสองข้างตามภาพ และใช้มือโยกหน้ากากแอร์ออกมา (แอร์บางรุ่นก็ไม่มีเจ้าน็อตยึดหน้ากากนี้เช่นแอร์ SAMSUNG บางรุ่น ใช้มือโยกหน้ากากออกได้เลย)



สังเกตสิ่งสกปรกที่อุดตันครีบระบายความร้อนหรือคอยล์เย็น และสังเกตุพักลมแอร์ที่อยู่ใต้ช่องแอร์ดูครับ มันจะมีคราบเหนียวๆ และฝุ่นจับอยู่เป็นจำนวนมาก ที่แหละคือสิ่งที่ทำให้แอร์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพและทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ที่เป็นตัวการในการกินไฟของคุณไม่ยอมตัดการทำงาน ทำให้แอร์ไม่เย็น เปลืองไฟ เปลืองเงินค่าไฟครับ


2. ใช้แปรงสีฟันชุบน้ำทำความสะอาดคราบไคลที่ติดอยู่กับครีบระบายความร้อนและพัดลมแอร์ให้สะอาดที่สุด และใช้น้ำจากสายยางหรือจากอะไรก็ได้ที่คุณมี ฉีดล้างฝุ่นและคราบเหนียวๆออกให้ได้มากที่สุด ตามภาพผมใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงในการล้างครับ ปรับน้ำให้มันแบนๆที่สุด แล้วฉีดไปตามครีบและพัดลมแอร์ (ในส่วนของพัดลมแอร์ตอนฉีดเราต้องเอามือล็อคไม่ให้ใบพัดหมุนด้วย ไม่เช่นนั้นกระแสไฟฟ้าจากการหมุนของใบพัดมันจะย้อนกับไปที่แผงคอนโทรลแอร์)


นี่คือสภาพสิ่งสกปรกที่ปนมากับน้ำที่เราล้าง

หลังจากล้างเสร็จก็สะอาดแล้วครับ

3. ไปที่คอยล์ร้อนที่อยู่ตรงตู้คอมเพรสเซอร์บ้างครับ ฉีดน้ำล้างเหมือนกันครับ ให้ครีบระบายความร้อนจากตู้คอมเพรสเซอร์ระบายความร้อนได้ง่ายที่สุด

4. เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จครับ ประกอบหน้ากากกลับคืนครับผม

คราวนี้เรามาทดสอบเปิดแอร์กันใหม่ที่อุณหภูมิเดิม ความแรงพัดลมแอร์เท่าเดิมได้ค่าดังนี้ครับผม > ค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านลดลงเหลือเท่ากับ 4.380 แอมแปร์ และค่ากำลังไฟฟ้ากินไฟ 1.0265 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง


ที่ค่าลดลงเนื่องจากมันระบายความร้อนได้ดีขึ้นครับ ลองนึกภาพเราเอามือบีบจมูกแล้วหายใจเราจะใช้แรงในการหายใจมากขึ้น แล้วเวลาเราเอามืออกเราก็จะใช้แรงไม่มากเพราะไม่มีอะไรมาบีบจมูกเราไว้
แต่ไฮไลท์ของการประหยัดพลังงานมันอยู่ตรงนี้ครับ หลังจากเปิดไปได้ประมาณ 15 นาที คอมเพรสเซอร์ก็ตัดการทำงานครับ ทำให้ค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านลดลงเหลือเท่ากับ 0.310 แอมแปร์ และค่ากำลังไฟฟ้ากินไฟ 0.0648 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง


ทดสอบเปิดดูเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ปรากฏว่าใน 1 ชั่วโมงการทำงานมีช่วงที่คอมเพรสเซอร์ทำงานประมาณ 35 นาที และช่วงที่คอมเพรสเซอร์หยุดทำงานประมาณ 25 นาที หลังจากที่ก่อนจะล้างแอร์คอมเพรสเซอร์ทำงานอยู่ตลอดเวลามันไม่ยอมตัดเลย
มาคำนวนหน่วยที่ใช้ไฟคร่าวๆกันใน 1 วันกันใหม่ครับ คิดที่เปิดวันละ 8 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คราวนี้เราต้องคิดที่ทั้งคอมเพรสเซอร์ทำงานและหยุดการทำงานมารวมกัน
จำนวนหน่วยที่ใช้ใน 1 วัน = (1.0265 * 1 * (35/60) *8) + (0.0648 * 1 * (25/60) *8) = 5.006 หน่วย/วัน
จำนวนหน่วยที่ลดลงในการใช้ไฟฟ้าก่อนล้างและหลังล้างที่เราจะประหยัดได้สำหรับแอร์ 1 เครื่องขนาด 12,xxx BTU เท่ากับ 8.826 - 5.006 = 3.82 หน่วยต่อวัน หรือประมาณ 114 หน่วยต่อเดือน(คิดจาก 30 วัน) หรือประมาณ 1394.3 หน่วยต่อปี นี่คือค่าที่ประเทศชาติรวมถึงตัวคุณเองได้ประหยัดการใช้พลังงานเป็นจำนวนหน่วย คิดเป็นจำนวนเงินที่คุณประหยัดได้เท่าไหร่ ต่อวัน ต่อเดือน หรือต่อปี คุณก็ลองเอาอัตราค่าไฟต่อหน่วยของคุณคูนเข้าไปดูครับ สมมุติว่าบ้านคุณเสียค่าไฟหน่วยละ 4 บาท คุณก็จะประหยัดเงินตรงนี้ไปแล้วประมาณ 456 บาท/เดือน หรือ 5,577 บาท ต่อปีต่อเครื่อง ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยครับ
หากล้างไม่เป็นก็ไปจ้างช่างมาล้างทีละ 3-400 บาท ก็คุ้มค่ากับค่าไฟที่ลดลงครับ
อาชีวะเราช่วยชาติได้หลายทางครับ หากพวกคุณนำความรู้ที่คุณมีอยู่ไปทำประโยชน์ให้กับสังคม นี่แหละคือการช่วยชาติที่ยั่งยืนที่สุดครับผม ความชื่นชอบในทางการเมืองของแต่ละคน แต่ละขั้วมันไม่มีเหมือนกันหมดหรอก ขี้เกียจขยายความต่อ เดี๋ยวโดนยึดล็อคอิน เอาเป็นว่าผมออกมาช่วยชาติเหมือนกันครับและไม่กระทบกับจิตใจใครด้วย และคิดว่าการออกมาช่วยชาติในครั้งนี้ของผมจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆสมาชิกที่แวะเข้ามาอ่านไม่มากก็น้อย
แต่ผมไม่ใช้อาชีวะช่วยชาติที่ไปไล่นักศึกษากลุ่มดาวดินที่เรียกร้องหาประชาธิปไตยครับ แต่เป็นอาชีวะที่นำความรู้ความสามารถที่เรียนมาๆทำประโยชน์ให้กับสังคม มาชวนเพื่อนๆประหยัดไฟ ประหยัดพลังงาน ลดการนำเข้าพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้าน และยังช่วยเพื่อนร่วมชาติประหยัดเงินในกระเป๋าของท่านในสภาวะเศรษฐกิจห่วยๆแบบนี้ด้วย

การใช้พลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ของบ้านเราตอนนี้หนักไปทางระบบทำความเย็นครับโดยเฉพาะหน้าร้อนจะกินพลังงานมากๆ และระบบทำความเย็นที่ใกล้ตัวเราๆท่านๆมากที่สุด ณ เวลานี้ คือระบบปรับอากาศ พูดง่ายๆก็คือแอร์นี่เอง เจ้าแอร์นี่แหละคือตัวกินพลังงานหลักของประเทศและเงินในกระเป๋าของท่าน ฉลากเบอร์ 5 ที่ติดมากับแอร์ที่ท่านซื้อมันคำนวนเงินมาให้ท่านเสร็จสรรพ โดยคำนวนมาที่ท่านเปิดแอร์วันละ 8 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเงินค่าไฟที่เขาคำนวนโดยเฉลี่ยมาให้นั้นมันหมายความว่าแอร์ของท่านจะต้องอยู่ในสภาพที่สะอาดที่สุด เหมือนใหม่ที่สุด แต่ในความเป็นจริงเราๆท่านๆก็คงไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้กันทุกคนนัก ซื้อมาแล้วก็ต้องใช้ให้เต็มที่เท่านั้น ไม่ได้มองไปถึงว่าจะต้องมาเช็คมาดูแลอะไรนักหนา จุดตรงนี้แหละที่ทำให้เราต้องเปลืองพลังงานมากไปเกินความจำเป็น ส่งผลถึงค่าการใช้พลังงานของชาติที่มากขึ้น และค่าไฟที่มากขึ้นของตัวท่านเองด้วย
ผมเองคงไม่ใช่ช่างแอร์ในตำนานที่จะรู้ไปกว่าใครๆนัก เพราะอาชีพหลักก็ไม่ใช่ช่างแอร์โดยตรง แต่ล้างแอร์เป็น คำนวนค่าไฟต่อหน่วยเป็น และเล็งเห็นถึงประโยชน์ตรงนี้ที่จะเกิดแก่เพื่อนสมาชิกทุกท่าน จึงได้นำมาบอกเล่าสู่กันฟังเผื่อมันจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย
ผมไปลองสุ่มตัวอย่างแอร์มา 1 ตัวครับ เป็นแอร์ยี่ห้อหนึ่งขนาด 12,xxx btu สังเกตมันดูว่า มันเย็นไม่เต็มประสิทธิภาพ และมันไม่นิ่ง มีอาการสั่นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากฝุ่นและคราบเหนียวๆต่างๆเข้าไปเกาะบริเวณ คอยล์เย็น พัดลมแอร์ และคอยล์ร้อนบริเวณตู้วางคอมเพสเชอร์ อีกทั้งตะแกรงดักฝุ่นหรือฟิลเตอร์ที่ตัวเครื่องก็มีฝุ่นจับอีกด้วย ทดลองเปิดที่อุณหภูมิ 25 C ความแรงพัดลมที่ Auto ปรากฏว่าเปิดอยู่นานมากเป็นชั่วโมงคอมเพรสเซอร์ทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการตัดการทำงาน วัดค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเท่ากับ 4.875 แอมแปร์ และค่ากำลังไฟฟ้ากินไฟ 1.1032 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ตามภาพ


เรามาลองคิดคำนวนค่าไฟแบบคร่าวๆดูครับสมมุติว่าเราเปิดเจ้าแอร์เครื่องนี้เป็นเวลา 8 ชั่วโมง/วัน สูตรการคำนวนง่ายๆครับ
จำนวนหน่วยที่ใช้ใน 1 วัน = กำลังไฟฟ้า(กิโลวัตต์) x จำนวน เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคำนวณ x จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานในหนึ่งวัน
จำนวนหน่วยที่ใช้ใน 1 วัน = 1.1032 * 1 * 8 = 8.826 หน่วย/วัน จะจ่ายค่าไฟกี่บาทก็แล้วแต่พื้นที่ๆท่านอยู่ว่าเขาเก็บค่าไฟหน่วยละเท่าไหร่ครับ
คราวนี้เราลองมาทดลองล้างแอร์เจ้าเครื่องนี้กันดูครับ
เบื้องต้นก่อนจะถึงวิธีล้างแอร์ มาบอกในสิ่งที่หลายๆคนมองข้ามก่อน นั่นก็คือฟิลเตอร์ดักฝุ่นครับ เจ้าฟิลเตอร์ตัวนี้ถ้าไม่ล้างมันๆก็จะทำให้อากาศร้อนภายในห้องดูดผ่านครีบระบายความร้อนออกไปไม่ได้เหมือนกัน แง้มหน้ากากหน้ามันขึ้น แล้วดึงมันออกมาฉีดล้างให้สะอาดทุกๆอาทิตย์ครับ


คราวนี้มาเข้าวิธีล้างแอร์ช่วยชาติจริงๆแล้ว
1. เริ่มต้นจากสับเบรคเกอร์ลง เตรียมถอดหน้ากากออกก่อน มันจะมีที่ปิดหัวน็อตอยู่ที่ส่วนล่างของช่องลมแอร์ ให้เราใช้ไขควงเล็กๆงัดออก และใช้ไขควงแฉกขันน็อตออกทั้งสองข้างตามภาพ และใช้มือโยกหน้ากากแอร์ออกมา (แอร์บางรุ่นก็ไม่มีเจ้าน็อตยึดหน้ากากนี้เช่นแอร์ SAMSUNG บางรุ่น ใช้มือโยกหน้ากากออกได้เลย)



สังเกตสิ่งสกปรกที่อุดตันครีบระบายความร้อนหรือคอยล์เย็น และสังเกตุพักลมแอร์ที่อยู่ใต้ช่องแอร์ดูครับ มันจะมีคราบเหนียวๆ และฝุ่นจับอยู่เป็นจำนวนมาก ที่แหละคือสิ่งที่ทำให้แอร์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพและทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ที่เป็นตัวการในการกินไฟของคุณไม่ยอมตัดการทำงาน ทำให้แอร์ไม่เย็น เปลืองไฟ เปลืองเงินค่าไฟครับ


2. ใช้แปรงสีฟันชุบน้ำทำความสะอาดคราบไคลที่ติดอยู่กับครีบระบายความร้อนและพัดลมแอร์ให้สะอาดที่สุด และใช้น้ำจากสายยางหรือจากอะไรก็ได้ที่คุณมี ฉีดล้างฝุ่นและคราบเหนียวๆออกให้ได้มากที่สุด ตามภาพผมใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงในการล้างครับ ปรับน้ำให้มันแบนๆที่สุด แล้วฉีดไปตามครีบและพัดลมแอร์ (ในส่วนของพัดลมแอร์ตอนฉีดเราต้องเอามือล็อคไม่ให้ใบพัดหมุนด้วย ไม่เช่นนั้นกระแสไฟฟ้าจากการหมุนของใบพัดมันจะย้อนกับไปที่แผงคอนโทรลแอร์)


นี่คือสภาพสิ่งสกปรกที่ปนมากับน้ำที่เราล้าง

หลังจากล้างเสร็จก็สะอาดแล้วครับ

3. ไปที่คอยล์ร้อนที่อยู่ตรงตู้คอมเพรสเซอร์บ้างครับ ฉีดน้ำล้างเหมือนกันครับ ให้ครีบระบายความร้อนจากตู้คอมเพรสเซอร์ระบายความร้อนได้ง่ายที่สุด

4. เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จครับ ประกอบหน้ากากกลับคืนครับผม

คราวนี้เรามาทดสอบเปิดแอร์กันใหม่ที่อุณหภูมิเดิม ความแรงพัดลมแอร์เท่าเดิมได้ค่าดังนี้ครับผม > ค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านลดลงเหลือเท่ากับ 4.380 แอมแปร์ และค่ากำลังไฟฟ้ากินไฟ 1.0265 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง


ที่ค่าลดลงเนื่องจากมันระบายความร้อนได้ดีขึ้นครับ ลองนึกภาพเราเอามือบีบจมูกแล้วหายใจเราจะใช้แรงในการหายใจมากขึ้น แล้วเวลาเราเอามืออกเราก็จะใช้แรงไม่มากเพราะไม่มีอะไรมาบีบจมูกเราไว้
แต่ไฮไลท์ของการประหยัดพลังงานมันอยู่ตรงนี้ครับ หลังจากเปิดไปได้ประมาณ 15 นาที คอมเพรสเซอร์ก็ตัดการทำงานครับ ทำให้ค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านลดลงเหลือเท่ากับ 0.310 แอมแปร์ และค่ากำลังไฟฟ้ากินไฟ 0.0648 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง


ทดสอบเปิดดูเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ปรากฏว่าใน 1 ชั่วโมงการทำงานมีช่วงที่คอมเพรสเซอร์ทำงานประมาณ 35 นาที และช่วงที่คอมเพรสเซอร์หยุดทำงานประมาณ 25 นาที หลังจากที่ก่อนจะล้างแอร์คอมเพรสเซอร์ทำงานอยู่ตลอดเวลามันไม่ยอมตัดเลย
มาคำนวนหน่วยที่ใช้ไฟคร่าวๆกันใน 1 วันกันใหม่ครับ คิดที่เปิดวันละ 8 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คราวนี้เราต้องคิดที่ทั้งคอมเพรสเซอร์ทำงานและหยุดการทำงานมารวมกัน
จำนวนหน่วยที่ใช้ใน 1 วัน = (1.0265 * 1 * (35/60) *8) + (0.0648 * 1 * (25/60) *8) = 5.006 หน่วย/วัน
จำนวนหน่วยที่ลดลงในการใช้ไฟฟ้าก่อนล้างและหลังล้างที่เราจะประหยัดได้สำหรับแอร์ 1 เครื่องขนาด 12,xxx BTU เท่ากับ 8.826 - 5.006 = 3.82 หน่วยต่อวัน หรือประมาณ 114 หน่วยต่อเดือน(คิดจาก 30 วัน) หรือประมาณ 1394.3 หน่วยต่อปี นี่คือค่าที่ประเทศชาติรวมถึงตัวคุณเองได้ประหยัดการใช้พลังงานเป็นจำนวนหน่วย คิดเป็นจำนวนเงินที่คุณประหยัดได้เท่าไหร่ ต่อวัน ต่อเดือน หรือต่อปี คุณก็ลองเอาอัตราค่าไฟต่อหน่วยของคุณคูนเข้าไปดูครับ สมมุติว่าบ้านคุณเสียค่าไฟหน่วยละ 4 บาท คุณก็จะประหยัดเงินตรงนี้ไปแล้วประมาณ 456 บาท/เดือน หรือ 5,577 บาท ต่อปีต่อเครื่อง ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยครับ
หากล้างไม่เป็นก็ไปจ้างช่างมาล้างทีละ 3-400 บาท ก็คุ้มค่ากับค่าไฟที่ลดลงครับ
อาชีวะเราช่วยชาติได้หลายทางครับ หากพวกคุณนำความรู้ที่คุณมีอยู่ไปทำประโยชน์ให้กับสังคม นี่แหละคือการช่วยชาติที่ยั่งยืนที่สุดครับผม ความชื่นชอบในทางการเมืองของแต่ละคน แต่ละขั้วมันไม่มีเหมือนกันหมดหรอก ขี้เกียจขยายความต่อ เดี๋ยวโดนยึดล็อคอิน เอาเป็นว่าผมออกมาช่วยชาติเหมือนกันครับและไม่กระทบกับจิตใจใครด้วย และคิดว่าการออกมาช่วยชาติในครั้งนี้ของผมจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆสมาชิกที่แวะเข้ามาอ่านไม่มากก็น้อย
แสดงความคิดเห็น
"กลุ่มอาชีวะฯ56" ประกาศรวมตัวหน้าทำเนียบ 13ก.ค.นี้ หนุนปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
รูป http://www.matichon.co.th/online/2015/07/14366148871436614999l.jpg
http://www.matichon.co.th/online/2015/07/14366148871436614999l.jpg
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มอาชีวะช่วยชาติ ณ ราชดำเนิน 56 ได้แจ้งว่า ในวันที่ 13 กรกฏาคมนี้ ทางกลุ่มจะรวมตัวกันที่ประตู4 หน้าทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 09.30 น. เพื่อยื่นหนังสือและมอบดอกไม้ให้กับนายกรัฐมนตรี เพื่อให้กำลังใจนายกฯและครม.และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อสนับสนุนให้มีการปฏิรูปก่อนจะมีการเลือกตั้ง โดยมีการประกาศเชิญชวน ประชาชน นิสิต นักเรียน นักศึกษา ที่มีความประสงค์จะร่วมกิจกรรม ให้มารวมตัวกันในสถานที่และเวลาดังกล่าว