เรื่องการเรียนปริญญาโทก็เป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวนี้ใครๆก็เรียนปริญญาโทกัน แล้วคุณละคิดอย่างไร ผมเคยมีความคิดหรือทัศนคติต่อการเรียนปริญญาโทแบบว่า “ไม่เห็นจะต้องเรียนเลย อ่านเอาเองก็ได้” แต่จริงๆแล้วมันไม่เป็นแบบนั้น
สิ่งที่ปริญญาโท สอนผม คือ การบริหารจัดการเวลา ได้รู้จักคนที่มาจากสายอาชีพอื่น(ในกรณีที่คุณเรียนพวก
MBA จะได้พบกับสายงานที่คุณไม่เคยได้รู้จักเลยแต่ถ้าเป็นแบบเฉพาะทาง ก็อาจจะเป็นสายอาชีพเดิม) การเห็นว่าศาสตร์ทุกอย่างที่เรียนล้วนมีความสัมพันธ์กันไม่มากก็น้อย และ ศาสตร์บางอย่างที่เราคิดว่าอ่านเองได้
จริงๆแล้วเราอาจต้องใช้เวลานานมากกว่าเราก็จะเข้าใจวิชาหรือศาสตร์นั้นด้วยตนเองแต่ถ้าได้อาจารย์มาแนะนำก็จะเข้าใจเร็วขึ้นและมากขึ้นและศาสตร์บางอย่างก็ไม่น่าเชื่อว่ามันมีอยู่บนโลกในนี้ ผมเขียนบันทึกนี้แบบกลางๆนะครับ
โปรดใช้ หลักกาลามสูตร ในการอ่าน เป็นข้อคิดเห็น...ส่วนตัว
1.ศาสตร์ไหนที่คุณอยากจะเลือกเรียนปริญญาโทและควรทำงานก่อนหรือเรียนต่อจากปริญญาตรีไปเลยดี
ผมรู้สึกว่าการเรียนศาสตร์หรือวิชาในระดับปริญญาโทเป็นได้ 2 แบบ ครับ หนึ่งคือ คุณเรียนลึกลงไปในศาสตร์ที่คุณเรียนในระดับปริญญาตรี ครับ ตรงจุดนี้ โดยส่วนตัวผมคิดว่าคุณสามารถที่จะเรียนต่อจากระดับปริญญาตรีได้เลย
(เพราะว่ามันเป็นศาสตร์ที่คุณเรียนมาก่อนในระดับปริญญาตรี)หรือคุณไปเรียนโทศาสตร์ยอดนิยมที่ไม่ใช่ศาสตร์ที่คุณเคยเรียนเลย เช่น คุณจบทางแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ คุณจะก้าวสู่ผู้บริหาร คุณอาจจะต้องไปเรียน MBA
(Master of Business Administration) แบบหลังนี่แหละ ผมว่า คุณทำงานไปก่อนสักระยะ ประมาณ 3-5 ปี แล้วมาเรียนดีที่สุดเพราะว่าศาสตร์ตรีที่คุณเคยรู้มันใช้ไม่ได้ มันต้องอาศัยประสบการณ์การทำงาน
การมองเห็นภาพการทำงานแบบองค์รวม มันจะทำให้คุณเห็นภาพและเรียนปริญญาโทได้เข้าใจมากขึ้น
สรุป ตรงนี้ ทำงานสัก 3-5 ปีก่อนแล้วค่อยเรียนถ้าคุณไม่ได้เรียนศาสตร์ที่เป็นคุณในช่วงปริญญาตรี
2.สถาบันที่คุณต้องการที่จะเลือกเรียนปริญญาโท
สถาบันที่คุณจะเลือกเรียน
เราต้องเปิดใจกว้างๆ ประเด็นนี้ละเอียดอ่อนมาก ผมพูดกว้างๆ ภาพรวมมิได้หมายถึงสถาบันใดหรือหน่วยงานใด
สถาบันที่เปิดสอนปริญญาโท มีมากมาย จนผมรู้สึกว่าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม
จะเลือกสถาบันใดก็จงศึกษาข้อมูลว่าสถาบันนั้นว่าเป็นอย่างไร ผมว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องหนึ่งที่คุณต้องนำมันมาพิจารณาว่าควรเลือกสถาบันใด คือ วัตถุประสงค์ของการเรียนปริญญาโท คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า ทำไมถึงเรียนปริญญาโทหรือ
คุณอยากเอาวุฒิไว้เฉยๆ อยากไว้ปรับเงินเดือน อยากได้เครือข่าย/คนรู้จักสำหรับทำงานหรือทำธุรกิจ อยากได้ความรู้
อย่างไหนละที่คุณต้องการ ผมคิดว่าแต่ละสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทให้กับคุณนั้น
ก็มีระดับจุดเด่นจุดด้อยตามวัตถุประสงค์การเรียนของคุณด้วย เช่น ต้องบอกกันตรงๆว่า
สถาบันในประเทศไทยก็มีทั้งแบบ จ่ายค่าเทอมครบจบปริญญาโทแน่ (จบง่าย), จ่ายค่าเทอมครบก็อาจไม่จบ(ถ้าคุณไม่พยายามหรือพยายามไม่พอ สรุปคือ จบปริญญาโทยาก) หรือ สอบได้มีเงินจ่ายค่าเทอมก็อาจไม่ได้เรียนเพราะว่าแข่งขันสูง(คนอยากเรียนปริญญาโทที่นี่เหลือเกิน)คุณอยากได้แบบไหนละ คุณก็ลองสืบค้นข้อมูลดูนะครับ ซึ่งแต่ละที่มันจะมีความยากง่าย ต้นทุนค่าเทอมต่างกันไป คุณต้องรู้ว่าคุณเรียนปริญญาโทไปทำไมละ
3.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณเอง
การวิเคราะห์ปัจจัยโดยรวมทุกอย่าง
การบริหารเวลาชีวิตส่วนตัว การทำงาน คุณ
วิเคราะห์ตัวเองว่าตัวเองมีความพร้อมแค่ไหน สำหรับสถาบัน ศาสตร์ วิชาที่คุณเลือกเรียนปริญญาโท
เช่น คณะ วิชาหรือสถาบันที่เลือกเรียนยากหรือเรียนง่าย งานที่คุณคาดว่าคุณต้องทำช่วงเรียนปริญญาโทนั้นมันหนักหนาไหม(มันส่งผลกระทบต่อการเข้าเรียนและทำงานกลุ่ม)ค่าเทอมมันแพงไหม คุณมีครอบครัวต้องดูแลแล้วหรือยัง
(ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเรียนปริญญาโทบางคนจะแต่งงานแล้ว หรือ มีลูกแล้วเพราะว่าบางทีทำงานมาเป็น
10 ปีแล้วค่อยมาเรียนปริญญาโทก็มี) เพราะว่าการเรียนปริญญาโทในบางสถาบันนั้นเขาเน้นคุณภาพในระดับสูง คุณต้องมาเข้าเรียนมีงานกลุ่มประชุมทำงานกันดึกที่สถาบันที่คุณเรียน คุณจะไหวกับมันหรือเปล่า
บางทียอมรับว่า เราก็ไม่ใช่ยอดมนุษย์นะครับ เรายังเป็นคนธรรมดาที่มีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น
4.หัวข้อที่คุณต้องทำงานวิจัยในเทอมสุดท้ายของปริญญาโท
อีกเรื่องที่รู้สึกเป็นประเด็นและ คันมืออยากเขียนแสดงความคิดเห็นแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเรียนปริญญาโท
(ผมเชื่อว่าคนเรียนปริญญาโทบางคนยังไม่รู้เลยต้องมาทำงานวิจัยงานเดี่ยวโดยฝีมือคุณเอง)
คือ เรื่อง หัวข้อ สารนิพนธ์ Thesis งานศึกษาอิสระ ในระดับปริญญาโท
(ในปริญญาโทเทอมสุดท้าย เราต้องทำงานวิจัย สารนิพนธ์ หรือเราจะเรียกอะไรก็ตามแต่)
แม้ในหลักสูตร หรือ ตามทฤษฎีจะบอกไว้ว่า การเลือกเรื่องหัวข้อที่เราทำงานอยู่แล้ว
หรือ ว่าเลือกเรื่องที่เรามีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วจะทำให้งานวิจัยของเรามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น(ซึ่งใครๆเขาก็เลือกเรื่องที่ตัวเองทำงานอยู่แล้ว)แต่ในความคิดเห็นของผมการเลือกเรื่องที่ตัวเองไม่เคยมีความชำนาญเลยหรือไม่เกี่ยวกับงานที่คุณทำเลยแต่มันมีคุณค่าเชิงนำไปใช้ในการทำงาน หรือ เป็นประโยชน์ต่อสังคม
นั้นน่าจะมีประโยชน์มากกว่า เช่น งานวิจัยที่เกี่ยวกับการลดภาวะโลกร้อน
งานวิจัยที่เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ แบบนี้เป็นต้น แต่ ก็อย่างที่บอก
เมื่อคุณเริ่มทำงานวิจัยแล้ว ความท้าทายของการเลือกอย่างหลังคือ
คุณต้องอ่านเยอะกว่าเขา คุณต้องหาข้อมูลเยอะกว่า และ ความยากที่จะได้มาซึ่งข้อมูลเพื่อไปประมวลผลในงานวิจัยนั้น
ยากกว่าหลายเท่า เพราะว่า คุณไม่ได้เลือกหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับงานของคุณเลย
(ถ้าเลือกข้อมูลที่เกี่ยวกับงานของคุณส่วนใหญ่คุณก็เหมือนทำงานแต่เพิ่มการเก็บข้อมูลขึ้นอีกหน่อยซึ่งนักศึกษาปริญญาโททั่วไปก็ทำกันแบบนั้นซึ่งมันก็ไม่ผิดอะไร)
แต่ก็อย่างที่บอก เดี๋ยวจะกลายเป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณเอง หน่วยงานคุณเอง
ณ ขณะนั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ก็ให้คิดเสียว่า เราได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานวิจัยครั้งนี้แล้วก็ใช้งานจากข้อมูลที่ได้จากการวิจัยนั้นให้เต็มที่เพราะว่า งานวิจัยชิ้นนี้น่าจะใช้ได้กับงานของคุณที่เดียว หรือ หน่วยงานเดียวเท่านั้น เก็บ
วิธีการทำวิจัยที่ถูกต้องไว้เป็นความรู้หลักเพื่อทำงานวิจัยที่มีความสำคัญมากขึ้นในครั้งต่อไป แต่ข้อนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวซึ่งหลายคนอาจไม่เห็นด้วยแต่ผมเข้าใจดีครับ
โดยสรุปผมก็เห็นด้วยกับการเรียนปริญญาโทครับ ยิ่งในสายงานที่คุณต้องการเป็นลูกจ้างมืออาชีพ
หรือ พนักงานบริษัท ยิ่งสำคัญ (สำหรับสังคมไทยต้องยอมรับว่ามันเป็นใบเบิกทางแบบหนึ่ง) แต่สำหรับผู้ประกอบการจะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้ถ้าคุณจะเรียนเอาความรู้ เอา Connection (คนรู้จักไว้ทำธุรกิจ) เรียนก็ดีครับ หรือจะไปเรียนวิชาที่คุณสนใจอื่นๆที่อาจจะไม่จำเป็นต้องอยู่ในหลักสูตรปริญญาโท แต่สามารถนำไปใช้กับกิจการของคุณเอง
หรือแม้กระทั่งเรียนปริญญาตรี อีกใบในสาขาที่คุณสนใจ หลงใหล และ/หรือ นำไปใช้ได้
ขอให้ทุกท่านโชคดีได้เรียนและสำเร็จปริญญาโทตามที่ตัวเองตั้งใจ
จากผู้ที่คิดว่าเรียนปริญญาโทช้าไป และจะรับปริญญาโทอายุ 40 ปี #ร้องไห้หนักมาก 555
ข้อคิดเห็นเรื่อง ปริญญาโท ...(ใครที่เรียนจบปริญญาโทก็ผ่านหัวข้อนี้ไปครับ)
สิ่งที่ปริญญาโท สอนผม คือ การบริหารจัดการเวลา ได้รู้จักคนที่มาจากสายอาชีพอื่น(ในกรณีที่คุณเรียนพวก
MBA จะได้พบกับสายงานที่คุณไม่เคยได้รู้จักเลยแต่ถ้าเป็นแบบเฉพาะทาง ก็อาจจะเป็นสายอาชีพเดิม) การเห็นว่าศาสตร์ทุกอย่างที่เรียนล้วนมีความสัมพันธ์กันไม่มากก็น้อย และ ศาสตร์บางอย่างที่เราคิดว่าอ่านเองได้
จริงๆแล้วเราอาจต้องใช้เวลานานมากกว่าเราก็จะเข้าใจวิชาหรือศาสตร์นั้นด้วยตนเองแต่ถ้าได้อาจารย์มาแนะนำก็จะเข้าใจเร็วขึ้นและมากขึ้นและศาสตร์บางอย่างก็ไม่น่าเชื่อว่ามันมีอยู่บนโลกในนี้ ผมเขียนบันทึกนี้แบบกลางๆนะครับ
โปรดใช้ หลักกาลามสูตร ในการอ่าน เป็นข้อคิดเห็น...ส่วนตัว
1.ศาสตร์ไหนที่คุณอยากจะเลือกเรียนปริญญาโทและควรทำงานก่อนหรือเรียนต่อจากปริญญาตรีไปเลยดี
ผมรู้สึกว่าการเรียนศาสตร์หรือวิชาในระดับปริญญาโทเป็นได้ 2 แบบ ครับ หนึ่งคือ คุณเรียนลึกลงไปในศาสตร์ที่คุณเรียนในระดับปริญญาตรี ครับ ตรงจุดนี้ โดยส่วนตัวผมคิดว่าคุณสามารถที่จะเรียนต่อจากระดับปริญญาตรีได้เลย
(เพราะว่ามันเป็นศาสตร์ที่คุณเรียนมาก่อนในระดับปริญญาตรี)หรือคุณไปเรียนโทศาสตร์ยอดนิยมที่ไม่ใช่ศาสตร์ที่คุณเคยเรียนเลย เช่น คุณจบทางแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ คุณจะก้าวสู่ผู้บริหาร คุณอาจจะต้องไปเรียน MBA
(Master of Business Administration) แบบหลังนี่แหละ ผมว่า คุณทำงานไปก่อนสักระยะ ประมาณ 3-5 ปี แล้วมาเรียนดีที่สุดเพราะว่าศาสตร์ตรีที่คุณเคยรู้มันใช้ไม่ได้ มันต้องอาศัยประสบการณ์การทำงาน
การมองเห็นภาพการทำงานแบบองค์รวม มันจะทำให้คุณเห็นภาพและเรียนปริญญาโทได้เข้าใจมากขึ้น
สรุป ตรงนี้ ทำงานสัก 3-5 ปีก่อนแล้วค่อยเรียนถ้าคุณไม่ได้เรียนศาสตร์ที่เป็นคุณในช่วงปริญญาตรี
2.สถาบันที่คุณต้องการที่จะเลือกเรียนปริญญาโท
สถาบันที่คุณจะเลือกเรียน
เราต้องเปิดใจกว้างๆ ประเด็นนี้ละเอียดอ่อนมาก ผมพูดกว้างๆ ภาพรวมมิได้หมายถึงสถาบันใดหรือหน่วยงานใด
สถาบันที่เปิดสอนปริญญาโท มีมากมาย จนผมรู้สึกว่าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม
จะเลือกสถาบันใดก็จงศึกษาข้อมูลว่าสถาบันนั้นว่าเป็นอย่างไร ผมว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องหนึ่งที่คุณต้องนำมันมาพิจารณาว่าควรเลือกสถาบันใด คือ วัตถุประสงค์ของการเรียนปริญญาโท คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า ทำไมถึงเรียนปริญญาโทหรือ
คุณอยากเอาวุฒิไว้เฉยๆ อยากไว้ปรับเงินเดือน อยากได้เครือข่าย/คนรู้จักสำหรับทำงานหรือทำธุรกิจ อยากได้ความรู้
อย่างไหนละที่คุณต้องการ ผมคิดว่าแต่ละสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทให้กับคุณนั้น
ก็มีระดับจุดเด่นจุดด้อยตามวัตถุประสงค์การเรียนของคุณด้วย เช่น ต้องบอกกันตรงๆว่า
สถาบันในประเทศไทยก็มีทั้งแบบ จ่ายค่าเทอมครบจบปริญญาโทแน่ (จบง่าย), จ่ายค่าเทอมครบก็อาจไม่จบ(ถ้าคุณไม่พยายามหรือพยายามไม่พอ สรุปคือ จบปริญญาโทยาก) หรือ สอบได้มีเงินจ่ายค่าเทอมก็อาจไม่ได้เรียนเพราะว่าแข่งขันสูง(คนอยากเรียนปริญญาโทที่นี่เหลือเกิน)คุณอยากได้แบบไหนละ คุณก็ลองสืบค้นข้อมูลดูนะครับ ซึ่งแต่ละที่มันจะมีความยากง่าย ต้นทุนค่าเทอมต่างกันไป คุณต้องรู้ว่าคุณเรียนปริญญาโทไปทำไมละ
3.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณเอง
การวิเคราะห์ปัจจัยโดยรวมทุกอย่าง
การบริหารเวลาชีวิตส่วนตัว การทำงาน คุณ
วิเคราะห์ตัวเองว่าตัวเองมีความพร้อมแค่ไหน สำหรับสถาบัน ศาสตร์ วิชาที่คุณเลือกเรียนปริญญาโท
เช่น คณะ วิชาหรือสถาบันที่เลือกเรียนยากหรือเรียนง่าย งานที่คุณคาดว่าคุณต้องทำช่วงเรียนปริญญาโทนั้นมันหนักหนาไหม(มันส่งผลกระทบต่อการเข้าเรียนและทำงานกลุ่ม)ค่าเทอมมันแพงไหม คุณมีครอบครัวต้องดูแลแล้วหรือยัง
(ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเรียนปริญญาโทบางคนจะแต่งงานแล้ว หรือ มีลูกแล้วเพราะว่าบางทีทำงานมาเป็น
10 ปีแล้วค่อยมาเรียนปริญญาโทก็มี) เพราะว่าการเรียนปริญญาโทในบางสถาบันนั้นเขาเน้นคุณภาพในระดับสูง คุณต้องมาเข้าเรียนมีงานกลุ่มประชุมทำงานกันดึกที่สถาบันที่คุณเรียน คุณจะไหวกับมันหรือเปล่า
บางทียอมรับว่า เราก็ไม่ใช่ยอดมนุษย์นะครับ เรายังเป็นคนธรรมดาที่มีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น
4.หัวข้อที่คุณต้องทำงานวิจัยในเทอมสุดท้ายของปริญญาโท
อีกเรื่องที่รู้สึกเป็นประเด็นและ คันมืออยากเขียนแสดงความคิดเห็นแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเรียนปริญญาโท
(ผมเชื่อว่าคนเรียนปริญญาโทบางคนยังไม่รู้เลยต้องมาทำงานวิจัยงานเดี่ยวโดยฝีมือคุณเอง)
คือ เรื่อง หัวข้อ สารนิพนธ์ Thesis งานศึกษาอิสระ ในระดับปริญญาโท
(ในปริญญาโทเทอมสุดท้าย เราต้องทำงานวิจัย สารนิพนธ์ หรือเราจะเรียกอะไรก็ตามแต่)
แม้ในหลักสูตร หรือ ตามทฤษฎีจะบอกไว้ว่า การเลือกเรื่องหัวข้อที่เราทำงานอยู่แล้ว
หรือ ว่าเลือกเรื่องที่เรามีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วจะทำให้งานวิจัยของเรามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น(ซึ่งใครๆเขาก็เลือกเรื่องที่ตัวเองทำงานอยู่แล้ว)แต่ในความคิดเห็นของผมการเลือกเรื่องที่ตัวเองไม่เคยมีความชำนาญเลยหรือไม่เกี่ยวกับงานที่คุณทำเลยแต่มันมีคุณค่าเชิงนำไปใช้ในการทำงาน หรือ เป็นประโยชน์ต่อสังคม
นั้นน่าจะมีประโยชน์มากกว่า เช่น งานวิจัยที่เกี่ยวกับการลดภาวะโลกร้อน
งานวิจัยที่เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ แบบนี้เป็นต้น แต่ ก็อย่างที่บอก
เมื่อคุณเริ่มทำงานวิจัยแล้ว ความท้าทายของการเลือกอย่างหลังคือ
คุณต้องอ่านเยอะกว่าเขา คุณต้องหาข้อมูลเยอะกว่า และ ความยากที่จะได้มาซึ่งข้อมูลเพื่อไปประมวลผลในงานวิจัยนั้น
ยากกว่าหลายเท่า เพราะว่า คุณไม่ได้เลือกหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับงานของคุณเลย
(ถ้าเลือกข้อมูลที่เกี่ยวกับงานของคุณส่วนใหญ่คุณก็เหมือนทำงานแต่เพิ่มการเก็บข้อมูลขึ้นอีกหน่อยซึ่งนักศึกษาปริญญาโททั่วไปก็ทำกันแบบนั้นซึ่งมันก็ไม่ผิดอะไร)
แต่ก็อย่างที่บอก เดี๋ยวจะกลายเป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณเอง หน่วยงานคุณเอง
ณ ขณะนั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ก็ให้คิดเสียว่า เราได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานวิจัยครั้งนี้แล้วก็ใช้งานจากข้อมูลที่ได้จากการวิจัยนั้นให้เต็มที่เพราะว่า งานวิจัยชิ้นนี้น่าจะใช้ได้กับงานของคุณที่เดียว หรือ หน่วยงานเดียวเท่านั้น เก็บ
วิธีการทำวิจัยที่ถูกต้องไว้เป็นความรู้หลักเพื่อทำงานวิจัยที่มีความสำคัญมากขึ้นในครั้งต่อไป แต่ข้อนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวซึ่งหลายคนอาจไม่เห็นด้วยแต่ผมเข้าใจดีครับ
โดยสรุปผมก็เห็นด้วยกับการเรียนปริญญาโทครับ ยิ่งในสายงานที่คุณต้องการเป็นลูกจ้างมืออาชีพ
หรือ พนักงานบริษัท ยิ่งสำคัญ (สำหรับสังคมไทยต้องยอมรับว่ามันเป็นใบเบิกทางแบบหนึ่ง) แต่สำหรับผู้ประกอบการจะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้ถ้าคุณจะเรียนเอาความรู้ เอา Connection (คนรู้จักไว้ทำธุรกิจ) เรียนก็ดีครับ หรือจะไปเรียนวิชาที่คุณสนใจอื่นๆที่อาจจะไม่จำเป็นต้องอยู่ในหลักสูตรปริญญาโท แต่สามารถนำไปใช้กับกิจการของคุณเอง
หรือแม้กระทั่งเรียนปริญญาตรี อีกใบในสาขาที่คุณสนใจ หลงใหล และ/หรือ นำไปใช้ได้
ขอให้ทุกท่านโชคดีได้เรียนและสำเร็จปริญญาโทตามที่ตัวเองตั้งใจ
จากผู้ที่คิดว่าเรียนปริญญาโทช้าไป และจะรับปริญญาโทอายุ 40 ปี #ร้องไห้หนักมาก 555