ก่อนอื่นขอบอกรายละเอียดของคนชื่อ แกร็กอรี่ ก่อนนะครับ
แกร็ก เป็นคน อเมริกัน มาจากเมืองเล็กๆ ชื่อ นิวเบสฟอรด์ จากรัฐ เพนซิวาเนีย มาอยู่ ซานฟรานซิสโก ผมได้เจอ กับคนนี้ ที่โรงเรียนที่เราไปเรียน และเราก็ได้คุยกับ และเริ่ม คบกันมาเลื่อยๆ พอประมาณหกเดือน ก็ตกลงว่า เรามาเป็นแฟนกันจริงจัง สิ่งแรกที่เขาและเราตกลงกันคือ เราไปตรวจเลือด เพื่อความปลอดภัยทั้งคู่ และหลังจากนั้นเราก็คบกันมาเลื่อยๆ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย
แกร็ก ไม่ได้เป็นคนที่มาจากครอบครัวมีฐานะอะไร ใช้ชีวิตเรียบงาน จากวันแรกที่เจอกันมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังเหมือนเดิม คือ การแต่งตัว การกิน นึกถึงคนรอบข้าง ฯลฯ พอเราได้คุยแล้วมันทำให้เรารู้สึกว่าคนนี้ใช่น่ะ
วันที่เราทุกข์ เขาก็พร้อมที่จะอยู่ข้างๆ ถึงแม้ว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม คือว่า ประมาณ สี่ปี ที่แล้ว ผมเกิดวิกฤต ทางครอบครัวคือ พ่อผมป่วยหนัก มากแล้วผมก็ต้องกลับเมืองไทยกะทันหัน เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องลาโรงเรียน เตรียมเดินทางกลับ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราจะได้กลับมาซานฟรานอีกหรือเปล่า เราทุกข์ เขาก็เครียด เลยได้จุดจบที่ว่า เขาให้บัตรเครดิต เขาไว้เพือฉุกเฉิน และเขาบอกว่าจะตามเราไปเมืองไทย ถ้าจำเป็นต้องอยู่เมืองไทยเขาก็จะอยู่ ลาออกจากงานก็ยอม พอเรากลับเมืองไทยไปดูแลพ่อได้ประมาณสิบกว่าวัน พ่อก็ เสียชีวิต และเขาก็ตามไปว่าจะเอาอย่างไรต่อไป เขาตามไปสองอาทิตย์ และเขาก็กลับ พอเสร็จธุระ กับทางครอบครัว เราก็เดือนทางกลับ มา พอมาถึง ไปรายงานตัวกับทางโรงเรียนดันมีปัญหาเรื่องวีซ่าที่เราใช้อยู่ มาอยู่ได้เดือนหนึ่ง ก็ต้องเดินทางกลับเมืองไทยอีก ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผม กับ แกร็ก แย่มาก เพราะว่าไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บ้าง ถ้าไม่ได้วีซ่า ผมก็ไม่ได้กลับมา คือผมก็ไม่อยากให้เขาตามอยู่ที่เมืองไทย กลัวเขาลำบาก ไหนจะพ่อแม่พี่น้องเขาอีก แต่ว่าโชคยังเข้าข้างเราบ้าง ผมไปยื่นขอวีซ่า ผมก็ผ่าน และก็เดินทางกลับมาทัน พอกลับมาถึงได้สักประมาณสองเดือน แกร็กก็เลยตัดสินใจว่า เราสองคนต้องไปจดทะเบียน เป็น Domestic Partner เพื่อ ป้องกันเรื่องบ้างเรื่องว่า ตม. จะไม่สามารถ ไล่ผมออกนอกประเทศได้ เพราะว่ามีข้อยื่นยันว่าเราได้จดทะเบียน พาสเนอร์ กันแล้ว (ตอนนี้กฎหมายแต่งงานเพศเดียวกันยังไม่ผ่าน) แต่ว่าตอนจดทะเบียน แกร็ก ก็เป็นคนขอเปลี่ยนนามสกุล ของเขาจากเดิม Gregory Lee Hartzell เป็น Gregory Lee Kongthavorn เราก็เลยบอกว่า ถ้างั้น เราก็ขอใช้ชื่อกลางของเขาแล้วกัน คือ Lee พอจดเสร็จทุกอย่างทำให้เราสองคนสะบายใจไปเปาะหนึ่ง
วันที่เขาขอเราแต่งงาน คือสวมแหวน (กฏหมายแต่งงานก็ยังไม่ผ่าน) เขาก็รอเรากลับจากทำงาน ประมาณ ตีหนึ่งได้ เขารู้ว่าเรากลับ เขาก็มาเปิดประตูให้ โดยปกติ แกร็ก ไม่มาเปิดประตูให้ แต่ว่าคืนนี้มาเปิดให้เราก็สงสัยว่าอะไร เขาก็คุกเข่าบอกว่าแต่งงานกัน ผมก็อึ้ง แต่ว่ายิ้ม และยอมสวมแหวน
พอวันที่กฏหมายแต่งงานเพศเดียวกันผ่านของรัฐแคลิฟอร์เนีย แกร็กก็บอกว่าเราต้องแต่งงานกัน เพราะว่ามีหลายเหตุผลคือ
หนึ่ง ผมจะได้ใบเขียว สาเหตุที่ต้องได้ใบเขียว แกร็กไม่อยากเห็นเรามีปัญหาเรื่องวีซ่า เพราะว่ามันทำให้เขารู้สึกแย่ เครียด กลัวไปหมด
สอง ถ้าผมได้ใบเขียว แล้ว แกร็กบอกว่า ผมเหลือแม่ที่เมืองไทยอีกคน และก็อายุมากแล้ว ถ้าแม่ผมป่วย ผมต้องกลับเมืองไทย ผมก็ยังสามารถกลับเข้ามาอเมริกาได้อีก โดยไม่มีปัญหา
สาม ถ้าแม่เขาป่วยแล้วเขาต้องย้ายกลับบ้านแบบกระทันหัน ผมก็จะได้สามารถ หางานทำถูกต้องตามกฏหมาย
สี่ เพราะว่าเรารักกัน และเราก็จะได้ดูแลกันและกัน และครอบครับ
ทั้งหมดสีอย่างที่ผมยกตัวอย่างมา ผมมองว่าคนที่ผมแต่งงานด้วย เขาคือคนที่ใช่ เพราะว่า เขามองเรื่องของคนอื่นมาก่อน พร้อมที่จะช่วยเหลื่อทั้งที่ตัวเองก็ลำบาก และว่าช่วยทางอ้อม และมองว่า ครอบครัวเราก็สำคัญมากสำหรับเรา และอีกอย่างเราก็อยู่ไกลจากครอบครัวด้วย
แกร็ก ตั้งแต่เริ่มคบกันมาจนมาถึงแต่งกัน แกร็กพยายามเรียนรู้วัฒนธรรม เราทุกอย่าง หัดพูด หัดเขียน หัดไหว้ (เมือเวลาเราโมโหเขา เขาจะไหว้และบอกว่าอภัยเขาน่ะ) เราก็ไม่เคยทะเลาะกัน เพราะว่าเราสองคน บอกว่า ห้ามพูดคำหยาบเวลาโมโห ห้ามหลับในขณะยังโกธทหรือโมโหกันอยู่ ต้องคุยกันให้รู้เรื่องถึงแม้ว่าต้องทำให้อีกฝ่ายเสียใจก็ตาม
แกร็ก บอกเสมอว่า เราอยากทำอะไรก็ทำ ถ้าทำได้ก็ดีใจด้วยถ้าเราทำไม่ได้ เราก็แค่หยุด ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ตัวอย่างเช่น ผมเปิดร้านเล็กๆ คือความฝันเราน่ะ อยากเปิด แกร็กก็บอกว่าเปิดไป ถ้าทำได้ก็ทำ ถ้ารุ้ว่าธุรกิจไม่ได้ก็ปิด ถือว่าเราได้เรียนรู้
อาหารการกิน แกร็กก็กินง่ายๆ ทำอะไรให้กินก็กินหมด น้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า ก็กิน ผักต้ม จิ้มน้ำพริกก็กิน (หอยทอด กับ เย็นตาโฟ คือของโปรดเขาแหละ)
นี้ยังน้อยมากที่จะเล่าให้เพือนๆชาวพันทิปฟัง
Gregory คือคนที่เรารัก ทำไม
แกร็ก เป็นคน อเมริกัน มาจากเมืองเล็กๆ ชื่อ นิวเบสฟอรด์ จากรัฐ เพนซิวาเนีย มาอยู่ ซานฟรานซิสโก ผมได้เจอ กับคนนี้ ที่โรงเรียนที่เราไปเรียน และเราก็ได้คุยกับ และเริ่ม คบกันมาเลื่อยๆ พอประมาณหกเดือน ก็ตกลงว่า เรามาเป็นแฟนกันจริงจัง สิ่งแรกที่เขาและเราตกลงกันคือ เราไปตรวจเลือด เพื่อความปลอดภัยทั้งคู่ และหลังจากนั้นเราก็คบกันมาเลื่อยๆ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย
แกร็ก ไม่ได้เป็นคนที่มาจากครอบครัวมีฐานะอะไร ใช้ชีวิตเรียบงาน จากวันแรกที่เจอกันมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังเหมือนเดิม คือ การแต่งตัว การกิน นึกถึงคนรอบข้าง ฯลฯ พอเราได้คุยแล้วมันทำให้เรารู้สึกว่าคนนี้ใช่น่ะ
วันที่เราทุกข์ เขาก็พร้อมที่จะอยู่ข้างๆ ถึงแม้ว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม คือว่า ประมาณ สี่ปี ที่แล้ว ผมเกิดวิกฤต ทางครอบครัวคือ พ่อผมป่วยหนัก มากแล้วผมก็ต้องกลับเมืองไทยกะทันหัน เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องลาโรงเรียน เตรียมเดินทางกลับ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราจะได้กลับมาซานฟรานอีกหรือเปล่า เราทุกข์ เขาก็เครียด เลยได้จุดจบที่ว่า เขาให้บัตรเครดิต เขาไว้เพือฉุกเฉิน และเขาบอกว่าจะตามเราไปเมืองไทย ถ้าจำเป็นต้องอยู่เมืองไทยเขาก็จะอยู่ ลาออกจากงานก็ยอม พอเรากลับเมืองไทยไปดูแลพ่อได้ประมาณสิบกว่าวัน พ่อก็ เสียชีวิต และเขาก็ตามไปว่าจะเอาอย่างไรต่อไป เขาตามไปสองอาทิตย์ และเขาก็กลับ พอเสร็จธุระ กับทางครอบครัว เราก็เดือนทางกลับ มา พอมาถึง ไปรายงานตัวกับทางโรงเรียนดันมีปัญหาเรื่องวีซ่าที่เราใช้อยู่ มาอยู่ได้เดือนหนึ่ง ก็ต้องเดินทางกลับเมืองไทยอีก ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผม กับ แกร็ก แย่มาก เพราะว่าไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บ้าง ถ้าไม่ได้วีซ่า ผมก็ไม่ได้กลับมา คือผมก็ไม่อยากให้เขาตามอยู่ที่เมืองไทย กลัวเขาลำบาก ไหนจะพ่อแม่พี่น้องเขาอีก แต่ว่าโชคยังเข้าข้างเราบ้าง ผมไปยื่นขอวีซ่า ผมก็ผ่าน และก็เดินทางกลับมาทัน พอกลับมาถึงได้สักประมาณสองเดือน แกร็กก็เลยตัดสินใจว่า เราสองคนต้องไปจดทะเบียน เป็น Domestic Partner เพื่อ ป้องกันเรื่องบ้างเรื่องว่า ตม. จะไม่สามารถ ไล่ผมออกนอกประเทศได้ เพราะว่ามีข้อยื่นยันว่าเราได้จดทะเบียน พาสเนอร์ กันแล้ว (ตอนนี้กฎหมายแต่งงานเพศเดียวกันยังไม่ผ่าน) แต่ว่าตอนจดทะเบียน แกร็ก ก็เป็นคนขอเปลี่ยนนามสกุล ของเขาจากเดิม Gregory Lee Hartzell เป็น Gregory Lee Kongthavorn เราก็เลยบอกว่า ถ้างั้น เราก็ขอใช้ชื่อกลางของเขาแล้วกัน คือ Lee พอจดเสร็จทุกอย่างทำให้เราสองคนสะบายใจไปเปาะหนึ่ง
วันที่เขาขอเราแต่งงาน คือสวมแหวน (กฏหมายแต่งงานก็ยังไม่ผ่าน) เขาก็รอเรากลับจากทำงาน ประมาณ ตีหนึ่งได้ เขารู้ว่าเรากลับ เขาก็มาเปิดประตูให้ โดยปกติ แกร็ก ไม่มาเปิดประตูให้ แต่ว่าคืนนี้มาเปิดให้เราก็สงสัยว่าอะไร เขาก็คุกเข่าบอกว่าแต่งงานกัน ผมก็อึ้ง แต่ว่ายิ้ม และยอมสวมแหวน
พอวันที่กฏหมายแต่งงานเพศเดียวกันผ่านของรัฐแคลิฟอร์เนีย แกร็กก็บอกว่าเราต้องแต่งงานกัน เพราะว่ามีหลายเหตุผลคือ
หนึ่ง ผมจะได้ใบเขียว สาเหตุที่ต้องได้ใบเขียว แกร็กไม่อยากเห็นเรามีปัญหาเรื่องวีซ่า เพราะว่ามันทำให้เขารู้สึกแย่ เครียด กลัวไปหมด
สอง ถ้าผมได้ใบเขียว แล้ว แกร็กบอกว่า ผมเหลือแม่ที่เมืองไทยอีกคน และก็อายุมากแล้ว ถ้าแม่ผมป่วย ผมต้องกลับเมืองไทย ผมก็ยังสามารถกลับเข้ามาอเมริกาได้อีก โดยไม่มีปัญหา
สาม ถ้าแม่เขาป่วยแล้วเขาต้องย้ายกลับบ้านแบบกระทันหัน ผมก็จะได้สามารถ หางานทำถูกต้องตามกฏหมาย
สี่ เพราะว่าเรารักกัน และเราก็จะได้ดูแลกันและกัน และครอบครับ
ทั้งหมดสีอย่างที่ผมยกตัวอย่างมา ผมมองว่าคนที่ผมแต่งงานด้วย เขาคือคนที่ใช่ เพราะว่า เขามองเรื่องของคนอื่นมาก่อน พร้อมที่จะช่วยเหลื่อทั้งที่ตัวเองก็ลำบาก และว่าช่วยทางอ้อม และมองว่า ครอบครัวเราก็สำคัญมากสำหรับเรา และอีกอย่างเราก็อยู่ไกลจากครอบครัวด้วย
แกร็ก ตั้งแต่เริ่มคบกันมาจนมาถึงแต่งกัน แกร็กพยายามเรียนรู้วัฒนธรรม เราทุกอย่าง หัดพูด หัดเขียน หัดไหว้ (เมือเวลาเราโมโหเขา เขาจะไหว้และบอกว่าอภัยเขาน่ะ) เราก็ไม่เคยทะเลาะกัน เพราะว่าเราสองคน บอกว่า ห้ามพูดคำหยาบเวลาโมโห ห้ามหลับในขณะยังโกธทหรือโมโหกันอยู่ ต้องคุยกันให้รู้เรื่องถึงแม้ว่าต้องทำให้อีกฝ่ายเสียใจก็ตาม
แกร็ก บอกเสมอว่า เราอยากทำอะไรก็ทำ ถ้าทำได้ก็ดีใจด้วยถ้าเราทำไม่ได้ เราก็แค่หยุด ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ตัวอย่างเช่น ผมเปิดร้านเล็กๆ คือความฝันเราน่ะ อยากเปิด แกร็กก็บอกว่าเปิดไป ถ้าทำได้ก็ทำ ถ้ารุ้ว่าธุรกิจไม่ได้ก็ปิด ถือว่าเราได้เรียนรู้
อาหารการกิน แกร็กก็กินง่ายๆ ทำอะไรให้กินก็กินหมด น้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า ก็กิน ผักต้ม จิ้มน้ำพริกก็กิน (หอยทอด กับ เย็นตาโฟ คือของโปรดเขาแหละ)
นี้ยังน้อยมากที่จะเล่าให้เพือนๆชาวพันทิปฟัง