หากกล่าวถึงการสังหารฆ่าศึกปัจจุบันอาจจะต้องเฉลี่ยใช้กระสุนเป็นพันๆนัดกว่าจะสังหารศัตรูได้ 1 คนเมื่อเทียบกับพลซุ่มยิงแล้ว พลซุ่มยิงจะใช้กระสุนเพียง 2-3 นัดเท่านั้นนั่นเองทำให้พลซุ่มยิงนั้นมีคุรค่าต่อยุทธการสูงมากถึงขนาดที่ว่าต้องใช้งบมากมายมหาศาลกว่าจะผลิตพลซุ่มยิงได้ 1 คนสังหารฆ่าศึก 1 คนและเงียบหายไปในความมืดพลซุมยิงเพียงแค่ 1 คนก็สามารถสร้างความหวาดผวาได้ทั้งหน่วยรบอีกฝ่ายเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างงั้นจากความร้ายกาจของพวกเขาเหล่านี้ทำให้หลายครั้งพวกเขามักจะถูกตั้งค่าหัวมากมายและมียุทธวิธีมากมาย เพื่อกำจัดและต่อต้านพลซุ่มยิงเหล่านี้แต่ถึงจะมียุทธวิธีมากมายเพื่อต่อต้านและกำจัดเหล่าพลซุ่มยิง แต่เหล่าพลซุ่มยิงก็ยังคงเป็นที่เกรงกลัวและการมีกล่าวถึงและหวาดผวาเสมอเมื่อได้ยินชื่อพวกเขาเหล่านั้น
คำว่า sniper หรือ พลซุ่มยิงมาจากไหน
คำว่า sniper มีรากฐานคำศัพท์มาจากนก snipe และทำไมต้องเป็นนก snipe? ผมจะเล่าประวัติคร่าวๆของเจ้านกตัวนี้ให้ฟัง นกสนิปนั้นพบมากในเอเชียและยุโรป และมีหลากหลายสายพันธุ์บางสายพันธุ์นั้นอาจพบแค่ในบางที่อย่างนิวซีแลนด์เป็นต้น นกสนิปนั้นกินเหล่าแมลงเป้นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นแมลงวัน ผีเสื้อแมลงชนิดต่างๆตามแหล่งน้ำคืออาหารของนกชนิดนี้ โดยมันจะชอบไปเพ่นพ่านอยู่แถวๆแหล่งๆน้ำไม่ว่าจะเป้นทะเลสาบ แหล่งน้ำทะเลสาบต่างๆ เนื่องจากมันเป้นนกที่ว่องไวอย่างมาก และมักจะชอบซ่อนตัวจากเหล่าผู้ล่าและมักอยู่หย่อมๆไม่ได้พบง่ายๆแบบนกทั่วๆไป ทำให้นกชนิดนี้ถูกหล่าวนายพรานตามล่าเป็นอย่างมาก และเนื่องจากความว่องไวนี่เองทำให้โอกาสจะฆ่ามันได้นั้นค่อนข้างยากมากและยิ่งบวกกับปืนไรเฟิลในสมัยนั้นที่อานุภาพมันไม่เสถียรนักทำให้โอกาสตามล่ามันมักจะเป็น 0 จนมีสำนวนและมุกตลกในตอนนั้นว่า "Going on a snipe hunt" แปลได้ตรงๆว่า เหมือนออกไปล่านกสนิป หมายถึง การลงทุนอะไรบางอย่างที่โอกาสแทบประสบความสำเร็จแทบจะเป้น 0 หรือการทำอะไรที่โง่เง่าสุดๆทั้งๆที่โอกาสมันแทบเป็นไปไม่ได้ เปรียบได้กับการล่านกสนิปที่แสนยากลำบากและโอกาสสำเร็จแทบไม่มี และต้องใช้ประสบการณ์และการพรางตัวและความชำนาญความแม่นยำปืนอย่างสุงถึงจะสามารถสังหารนกชนิดนี้ได้ คนที่สามารถสังหารนกชนิดนี้ได้จะถือว่าเป้นคนที่มีฝีมืออย่างมากและได้รับการยอมรับจากเหล่านายพรานด้วยกัน
รูปนายวาดของพรานคนหนึงที่กำลังพยายามสังหารนกสนิป

โดยคนที่สามารถสังหารเจ้านกสนิปได้บ่อยๆจะถูกเรียกว่า sniper หรือนักล่าสนิปโดยๆคำๆนี้ถูกใช้ครั้งแรกในช่วง 1770 แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่คำที่เป็นทางการนักและยังไม่ได้หมายถึงพลซุ่มยิงโดยตรง โดยคำที่เป็นทางการกว่าอย่างคำว่า sharp shooter หรือนักแม่นปืนนั้นจะเป็นคำที่เป็นทางการกว่าและกล่าวถึงความหมายของพลซุ่มยิงได้ดีกว่าในตอนนั้น โดยคำๆนี้ปรากฎครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ Edinburgh Advertiser ฉบับวันที่ 23 มิถุนายน 1801 โดยหน้าของหนังสือพิมพ์ได้พาดหัวเกี่ยวกับคำๆนี้ว่า "This Regiment has several Field Pieces, and two companies of Sharp Shooters, which are very necessary in the modern Stile of War"
สงครามปฏิวัติอเมริกา
การปรากฏตัวของการสังหารระยะไกลครั้งแรกของโลกโดยที่ฆ่าศึกไม่รู้ตัวนั้นไม่ปรากฎแน่ชัด แต่สงครามที่พลซุ่มยิงถูกใช้จริงๆจังๆครั้งแรกน่าจะเป็นปฏิวัติอเมริกันนำโดยนายพล จอร์จ วอชิงตัน เพื่อปลดแอกอเมริกาจากการปกครองของอังกฤษในตอนนั้นและนแน่นนอนมีอาสสมัครมากมายออกไปรบเพื่อกอบกูบ้านเกิดตนเองจากการการปกครองของอังกฤษ Timothy Murphy ก็เป็นหนึ่งในนั้น
Timothy Murphy (ต่อไปนี้จะเรียกว่าเมอร์ฟี่)เกิดในปี 1751 โดยพ่อแม่ของเขาเป้นชาวไอแลนด์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ต่อมาในปี 1759 เมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบพ่อแม่เขาก็ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในย่านซันบูรี่ ในรัฐเพนซิวาเนียต่อมาเขาได้ผันตัวไปเป็นฝึกงานกับ มิสเตอร์ วาน แคมเปน โดยเขาได้ร่วมเดินทางไปกับครอบครัวของนาย วาน แคมเปน ไปอยู่ที่ wyoming valley แถวๆเขตชานแดนของประเทศในตอนนั้น ในวันที่ 29 มิถุนายน 1775 หลังจากเกิดสงครามกลางปลดแอกจากอังกฤษได้ไม่นาน เมอร์ฟี่และพี่ชายของเขาได้เข้าร่วมกับกองทัพปลดแอกในขณะนั้นและตัวเมอร์ฟี่เองนั้นก็ได้เข้าร่วมรบในสมรภูมิต่างๆไม่ว่าจะเป็น Siege of Boston และ the Battle of Long Island และ และ skirmishing in Westchester หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นสิบเอก และได้เข้าร่วมกับกรมทหารราบที่ 12 แห่งเพนซิวาเนีย โดยตอนที่เขาเป็นทหารนั้นเขาได้รับคำชมมากมายเกี่ยวกับความแม่นปืนของเขา โดยมีคนกล่าวว่าเขาสามารถยิงโดนเป้ายิงที่มีขนาด 7 นิ้วในระยะประมาณ 228 เมตรได้อย่างแม่นยำ(บางคนอาจสงสัยว่าทำไมระยะแค่นี้ถึงกลับต้องชมเลยหรอ ก็ขอบอกว่าในสมัยนั้นการยิงสังหารระยะไกลๆนั้นมีโอกาสโดนเป้ายากถึงยากมาก เพราะปืนไรเฟิลในตอนนั้นยังคงใช้แบบคาบศิลาซึ่งไม่เสถียรและมีระยะหวังผลไม่ถึง 50 เมตร) ด้วยสกิลความแม่นยำระดับเมอร์ฟี่ทำให้เขาได้ได้รับการบรรจุ ในหน่วยพลแม่นปืนมอแกนโดยตั้งชื่อตามนายพลมอแกนผู้ที่เป้นคนก่อตั้งทหารหน่วยนี้ขึ้นมา ต่อมาในเวลาไม่ถึงปีหน่วยพลแม่นปืนมอแกนได้รับคำสั่งให้ไปช่วยให้ไปยันกองทหารอังกฤษที่ซาราโกตาที่มีนายพล John Burgoyne นำทัพ โดยหลังจากเริ่มศึกไปไม่นานทัพหน้าของทหารอังกฤษที่นำโดยแม่ทัพ Simon Fraser ได้เดินทัพมายังสนามรบที่มีกองทัพของนายพลมอแกนรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อมอแกนเห็นแม่ทัพ simon fraser นำทหารกำลังมาเพื่อเตรียมสู้รบ นายพลมอแกนได้สั่งกับเมอร์ฟี่ว่า"แม่ทัพที่กล้าหาญคนนั้นคือนาย simon fraser ฉันเขาเคารพและยกย่องเขานะ แต่ว่าเขาจำเป็นต้องตายและนั่นคือหน้าที่ของนาย" เมื่อได้ยิงคำสั่งดังนั้นเมอร์ฟี่จึงรีบปีนต้นไม้และเล็งนายพล simon fraser โดยเขาเหนี่ยวไกไปทั้งหมด 4 นัดในระยะ 270 เมตร โดยนัดแรกนั้นเฉียดนายพล fraser ไปนัดที่ 2 ยิงโดนม้าของนายพล fraser และนัดที่ 3 โดนนายพล fraser เข้าจังๆเขาตกจากหลังม้า และนัดที่ 4 โดนเข้าที่ท้องของเขาจังๆแต่เขายังไม่ตายแต่บาดเจ็บสาหัส(อึด ship หาย) แต่สุดท้ายเขาก็ได้เสียชีวิตลงเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว
หลังจากจบสงครามเมอร์ฟี่ได้กลับไปอาศัยอยู่กลับครอบครัวโดยชีวิตครอบครัวของเขานั้น เขาได้แต่งงานกับมากาเล็ต และมีลูกทั้งหมด 5 คนแต่นางมากาเล็ตได้เสียชีวิตเขาได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับนาง แมร์รี่ โรเบิร์ตสัน ได้มีลูกสาวและลูกชายทั้งหมด 4 คนและได้ย้ายไปอยู่ยัง ชาร์ล็อตวิล นิวยอร์ก โดยเขาได้อาศัยที่นั่นจนถึงวาระสุดท้ายเขาเสียชีวิตในปี 1818
โดยทางการสหรัฐได้ทำการสร้างสลักรูปปั้นลงบนแผ่นหินของศพที่หลุมศพของนายเมอร์ฟี่ ที่มิดเดิ้นเบิร์ก นิวยอร์กเพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของเขา
Sniper พลซุ่มยิง 1 นัด 1 ศพ
คำว่า sniper หรือ พลซุ่มยิงมาจากไหน
คำว่า sniper มีรากฐานคำศัพท์มาจากนก snipe และทำไมต้องเป็นนก snipe? ผมจะเล่าประวัติคร่าวๆของเจ้านกตัวนี้ให้ฟัง นกสนิปนั้นพบมากในเอเชียและยุโรป และมีหลากหลายสายพันธุ์บางสายพันธุ์นั้นอาจพบแค่ในบางที่อย่างนิวซีแลนด์เป็นต้น นกสนิปนั้นกินเหล่าแมลงเป้นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นแมลงวัน ผีเสื้อแมลงชนิดต่างๆตามแหล่งน้ำคืออาหารของนกชนิดนี้ โดยมันจะชอบไปเพ่นพ่านอยู่แถวๆแหล่งๆน้ำไม่ว่าจะเป้นทะเลสาบ แหล่งน้ำทะเลสาบต่างๆ เนื่องจากมันเป้นนกที่ว่องไวอย่างมาก และมักจะชอบซ่อนตัวจากเหล่าผู้ล่าและมักอยู่หย่อมๆไม่ได้พบง่ายๆแบบนกทั่วๆไป ทำให้นกชนิดนี้ถูกหล่าวนายพรานตามล่าเป็นอย่างมาก และเนื่องจากความว่องไวนี่เองทำให้โอกาสจะฆ่ามันได้นั้นค่อนข้างยากมากและยิ่งบวกกับปืนไรเฟิลในสมัยนั้นที่อานุภาพมันไม่เสถียรนักทำให้โอกาสตามล่ามันมักจะเป็น 0 จนมีสำนวนและมุกตลกในตอนนั้นว่า "Going on a snipe hunt" แปลได้ตรงๆว่า เหมือนออกไปล่านกสนิป หมายถึง การลงทุนอะไรบางอย่างที่โอกาสแทบประสบความสำเร็จแทบจะเป้น 0 หรือการทำอะไรที่โง่เง่าสุดๆทั้งๆที่โอกาสมันแทบเป็นไปไม่ได้ เปรียบได้กับการล่านกสนิปที่แสนยากลำบากและโอกาสสำเร็จแทบไม่มี และต้องใช้ประสบการณ์และการพรางตัวและความชำนาญความแม่นยำปืนอย่างสุงถึงจะสามารถสังหารนกชนิดนี้ได้ คนที่สามารถสังหารนกชนิดนี้ได้จะถือว่าเป้นคนที่มีฝีมืออย่างมากและได้รับการยอมรับจากเหล่านายพรานด้วยกัน
รูปนายวาดของพรานคนหนึงที่กำลังพยายามสังหารนกสนิป
โดยคนที่สามารถสังหารเจ้านกสนิปได้บ่อยๆจะถูกเรียกว่า sniper หรือนักล่าสนิปโดยๆคำๆนี้ถูกใช้ครั้งแรกในช่วง 1770 แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่คำที่เป็นทางการนักและยังไม่ได้หมายถึงพลซุ่มยิงโดยตรง โดยคำที่เป็นทางการกว่าอย่างคำว่า sharp shooter หรือนักแม่นปืนนั้นจะเป็นคำที่เป็นทางการกว่าและกล่าวถึงความหมายของพลซุ่มยิงได้ดีกว่าในตอนนั้น โดยคำๆนี้ปรากฎครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ Edinburgh Advertiser ฉบับวันที่ 23 มิถุนายน 1801 โดยหน้าของหนังสือพิมพ์ได้พาดหัวเกี่ยวกับคำๆนี้ว่า "This Regiment has several Field Pieces, and two companies of Sharp Shooters, which are very necessary in the modern Stile of War"
สงครามปฏิวัติอเมริกา
การปรากฏตัวของการสังหารระยะไกลครั้งแรกของโลกโดยที่ฆ่าศึกไม่รู้ตัวนั้นไม่ปรากฎแน่ชัด แต่สงครามที่พลซุ่มยิงถูกใช้จริงๆจังๆครั้งแรกน่าจะเป็นปฏิวัติอเมริกันนำโดยนายพล จอร์จ วอชิงตัน เพื่อปลดแอกอเมริกาจากการปกครองของอังกฤษในตอนนั้นและนแน่นนอนมีอาสสมัครมากมายออกไปรบเพื่อกอบกูบ้านเกิดตนเองจากการการปกครองของอังกฤษ Timothy Murphy ก็เป็นหนึ่งในนั้น
Timothy Murphy (ต่อไปนี้จะเรียกว่าเมอร์ฟี่)เกิดในปี 1751 โดยพ่อแม่ของเขาเป้นชาวไอแลนด์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ต่อมาในปี 1759 เมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบพ่อแม่เขาก็ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในย่านซันบูรี่ ในรัฐเพนซิวาเนียต่อมาเขาได้ผันตัวไปเป็นฝึกงานกับ มิสเตอร์ วาน แคมเปน โดยเขาได้ร่วมเดินทางไปกับครอบครัวของนาย วาน แคมเปน ไปอยู่ที่ wyoming valley แถวๆเขตชานแดนของประเทศในตอนนั้น ในวันที่ 29 มิถุนายน 1775 หลังจากเกิดสงครามกลางปลดแอกจากอังกฤษได้ไม่นาน เมอร์ฟี่และพี่ชายของเขาได้เข้าร่วมกับกองทัพปลดแอกในขณะนั้นและตัวเมอร์ฟี่เองนั้นก็ได้เข้าร่วมรบในสมรภูมิต่างๆไม่ว่าจะเป็น Siege of Boston และ the Battle of Long Island และ และ skirmishing in Westchester หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นสิบเอก และได้เข้าร่วมกับกรมทหารราบที่ 12 แห่งเพนซิวาเนีย โดยตอนที่เขาเป็นทหารนั้นเขาได้รับคำชมมากมายเกี่ยวกับความแม่นปืนของเขา โดยมีคนกล่าวว่าเขาสามารถยิงโดนเป้ายิงที่มีขนาด 7 นิ้วในระยะประมาณ 228 เมตรได้อย่างแม่นยำ(บางคนอาจสงสัยว่าทำไมระยะแค่นี้ถึงกลับต้องชมเลยหรอ ก็ขอบอกว่าในสมัยนั้นการยิงสังหารระยะไกลๆนั้นมีโอกาสโดนเป้ายากถึงยากมาก เพราะปืนไรเฟิลในตอนนั้นยังคงใช้แบบคาบศิลาซึ่งไม่เสถียรและมีระยะหวังผลไม่ถึง 50 เมตร) ด้วยสกิลความแม่นยำระดับเมอร์ฟี่ทำให้เขาได้ได้รับการบรรจุ ในหน่วยพลแม่นปืนมอแกนโดยตั้งชื่อตามนายพลมอแกนผู้ที่เป้นคนก่อตั้งทหารหน่วยนี้ขึ้นมา ต่อมาในเวลาไม่ถึงปีหน่วยพลแม่นปืนมอแกนได้รับคำสั่งให้ไปช่วยให้ไปยันกองทหารอังกฤษที่ซาราโกตาที่มีนายพล John Burgoyne นำทัพ โดยหลังจากเริ่มศึกไปไม่นานทัพหน้าของทหารอังกฤษที่นำโดยแม่ทัพ Simon Fraser ได้เดินทัพมายังสนามรบที่มีกองทัพของนายพลมอแกนรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อมอแกนเห็นแม่ทัพ simon fraser นำทหารกำลังมาเพื่อเตรียมสู้รบ นายพลมอแกนได้สั่งกับเมอร์ฟี่ว่า"แม่ทัพที่กล้าหาญคนนั้นคือนาย simon fraser ฉันเขาเคารพและยกย่องเขานะ แต่ว่าเขาจำเป็นต้องตายและนั่นคือหน้าที่ของนาย" เมื่อได้ยิงคำสั่งดังนั้นเมอร์ฟี่จึงรีบปีนต้นไม้และเล็งนายพล simon fraser โดยเขาเหนี่ยวไกไปทั้งหมด 4 นัดในระยะ 270 เมตร โดยนัดแรกนั้นเฉียดนายพล fraser ไปนัดที่ 2 ยิงโดนม้าของนายพล fraser และนัดที่ 3 โดนนายพล fraser เข้าจังๆเขาตกจากหลังม้า และนัดที่ 4 โดนเข้าที่ท้องของเขาจังๆแต่เขายังไม่ตายแต่บาดเจ็บสาหัส(อึด ship หาย) แต่สุดท้ายเขาก็ได้เสียชีวิตลงเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว
หลังจากจบสงครามเมอร์ฟี่ได้กลับไปอาศัยอยู่กลับครอบครัวโดยชีวิตครอบครัวของเขานั้น เขาได้แต่งงานกับมากาเล็ต และมีลูกทั้งหมด 5 คนแต่นางมากาเล็ตได้เสียชีวิตเขาได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับนาง แมร์รี่ โรเบิร์ตสัน ได้มีลูกสาวและลูกชายทั้งหมด 4 คนและได้ย้ายไปอยู่ยัง ชาร์ล็อตวิล นิวยอร์ก โดยเขาได้อาศัยที่นั่นจนถึงวาระสุดท้ายเขาเสียชีวิตในปี 1818
โดยทางการสหรัฐได้ทำการสร้างสลักรูปปั้นลงบนแผ่นหินของศพที่หลุมศพของนายเมอร์ฟี่ ที่มิดเดิ้นเบิร์ก นิวยอร์กเพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของเขา