What's on your mind? "เปลี่ยน ‘ความขี้อิจฉา’ เป็นพลังพัฒนาตัวเอง"

กระทู้สนทนา
เราว่าคลิปวิดีโอจากงานวิจัยนี้น่าสนใจมากๆ เลย ไม่รู้ว่ามีใครแชร์ไปบ้างหรือยัง
แต่เราขอแชร์กับสมาชิกในพันทิปแล้วกันนะคะ
.
What's on your mind? ....ถ้าใครใช้เฟซบุ๊คจะรู้ว่าก่อนจะโพสต์อะไรบนสเตตัสอันว่างเปล่าของเรา จะมีคำถาม หรือคำเชิญชวนให้เราโพสต์อะไรสักอย่าง ...หรือที่เป็นภาษาไทยว่า "บอกเล่าเรื่องของคุณบ้าง" (ไม่เชื่อกดหน้า New feed หรือหน้าหลักดูสิ)
.
แม้เฟซบุ๊คจะมีไว้ให้แชร์ ให้เล่า และบอกเรื่องราวของแต่ละคนที่มีมากมายหลายรูปแบบแทบไม่ซ้ำกันเลย บางคนชอบเที่ยว บางคนชอบกิน บางคนชอบที่จะแบ่งปันเรื่องราวดีๆ บางคนชอบสอน บางคนชอบธรรมะ บางคนชอบเวิ่นเว้อ เพ้ออะไรไปเรื่อย บางคนขายของ บางคนชอบแชร์ บางคนชอบเสียดสีเหน็บคนอื่นเล็กบ้างหนักบ้าง บางคนแทบไม่โพสต์อะไรเลย ชอบส่องคนอื่นอย่างเดียว ^___^
.
ถ้ารับรู้อย่างเดียว ไม่เอาไปคิดอะไรต่อให้ฟุ้งซ่านก็คงจะไม่เป็นปัญหา ...แต่บางคนกลับถลำลึกลงไปในสเตตัสเหล่านี้ จนลืมใครบางคนข้างนอก ลืมคนบางคนในชีวิตจริง ลืมแม้กระทั่งการออกไปใช้ชีวิตให้คุ้มค่าข้างนอกจอคอม ...บางคนก็รอคอย กังวล หมกมุ่นกับเพื่อนในโลกโซเชียลมากเกินไป ตั้งกระทู้แล้วรอดูแต่คอมเมนท์ หรือตั้งสเตตัสแล้วนับไลค์ รอคอยคอมเมนท์จนวิตกจริต หรือพอได้รับคอมเมนท์ที่เราอ่านแล้วรู้สึกลบๆ ก็พลอยหดหู่ไปด้วย ปล่อยให้เพื่อนในโซเชียลที่จริงๆ ไม่รู้จะนับเป็นเพื่อนได้หรือเปล่ามามีอิทธิพลกับชีวิตจนมากเกินไป บางคนถึงขั้นถูกทำร้าย (จิตใจ) อย่างหนักจากโลกโซเชียลจนพลอยทำให้ชีวิตจริงๆ เป๋ๆ เขวๆ ไปด้วยก็มี เช่น ถูกออกจากงาน เพราะไปแสดงทัศนคติรุนแรงต่อเรื่องอะไรบางเรื่องที่กำลังเป็นกระแสสังคม อะไรประมาณนั้น
.
*** วิดีโอนี้เจ๋งดีนะ ได้อีกมุมมองหนึ่งเหมือนกัน บางทีเราก็แยกไม่ออก ระหว่างโลกจริง กับโลก Fakeเฟคบนเฟซบุ๊ค ...เป็นงานของ Juliana Breines นักศึกษาปริญญาเอกด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย UC Berkeley (สหรัฐอเมริกา) มียอดวิวกว่า 13 ล้านวิวแล้ว!!!
.
.................................
.
"เปลี่ยน ‘ความขี้อิจฉา’ เป็นพลังพัฒนาตัวเอง"
.
บ่อยไหมที่คุณใช้เวลาก่อนนอนสำรวจเพื่อนในเฟซบุ๊ค แล้วพบว่าคนเหล่านั้นช่างมีชีวิตที่ทำให้ตาเราร้อนผ่าว ไม่ว่าจะเป็นภาพสวยๆ จากทริปต่างประเทศ เปิดตัวรถป้ายแดงคันใหม่ สเตตัสบอกเงินออม มีเวลายามบ่ายไปจิบกาแฟ กินบรั้นช์ หรือปิดท้ายวันด้วยการดื่มด่ำค้อกเทลบนดาดฟ้าโรงแรมหรู ในขณะที่เรานั้นยังต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงานประจำ มีเงินเก็บบ้างไม่มีบ้าง แต่มีรายจ่ายเพียบ เรื่องความฝันที่อยากมีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเองนั้นจึงต้องประคับประคองไปก่อน…ไม่รู้จะเป็นจริงได้วันไหน
.
หากภาพความสำเร็จของคนอื่นทำให้คุณรู้สึกแย่ เรามีเคล็ดลับปรับใจที่จะช่วยให้คุณกำจัดความรู้สึกนี้ได้ นั่นก็คือ “เลิกอิจฉาเมื่อไหร่…พอใจกับชีวิตเมื่อนั้น” แต่ถ้าบางคนยังรู้สึกว่านั่นมันยากเหลือเกิน ฉันหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไม่ได้เสียที Juliana Breines นักศึกษาปริญญาเอกด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย UC Berkeley (สหรัฐอเมริกา) ได้เรียบเรียงขั้นตอนในการเปลี่ยนมุมมอง ซึ่งจะช่วยให้คุณหยุดนิสัยเชิงลบนี้ พร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้คนอื่นหันมาอิจฉาบ้าง
.
1. ยอมรับความอิจฉานั้น – ให้ทำความเข้าใจกับความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้น รู้ว่านั่นเป็นอาการที่กำลังคุกคามจิตใจเราอยู่ การยอมรับในอารมณ์อ่อนไหวและความรู้สึกไม่มั่นใจเป็นเสมือนการบอกกับตัวเองว่า “เรามีความอิจฉาซ่อนอยู่ลึกๆ” เพื่อเวลาที่เราเห็นหรือเจอสิ่งเร้าอะไรในคราวหน้า ก็จะได้สติมีพิจารณาความรู้สึกพวกนี้ได้เร็วขึ้น
.
2. ไม่มีใครโอ้อวดได้ตลอดไป – ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าการเห็นคนอื่นเป็นเจ้าของในสิ่งที่เราอยากได้มักกัดกร่อนอารมณ์ของเรา เช่น เขาได้ไปอยู่ในคอนเสิร์ตที่เราอยากไป เขาได้งานที่เราอยากทำใจจะขาด ฯลฯ Juliana Breines บอกว่าการไปอิจฉาในสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเสียเวลาทั้งสิ้น เพราะสัจธรรมคือในอีกไม่นานก็จะต้องมีใครสักคนที่ได้งานที่ดีกว่าคนๆ นั้น หรือได้ไปในที่ที่คนๆ นั้นอยากไปใจจะขาด การคิดเช่นนี้จะทำให้เราเกิดความรู้สึกใหม่ว่า “ความอิจฉาที่เรามีให้กับใครนั้นมันช่างเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนเอาเสียเลย”
.
3. แทนที่ความอิจฉาด้วยความเห็นใจ –บ่อยครั้งไปที่เราค้นพบว่าชีวิตคนที่เราเคยอิจฉา แท้จริงต้องเจอกับอะไรบ้าง ทั้งความเครียด ความเศร้า ความเก็บกด และอีกหลายๆ เรื่องที่เขาก็ทุกข์ไม่ต่างกันกับเรา เพียงแต่เขาไม่สามารถแสดงออกให้เห็นเท่านั้น บางทีความเห็นใจเช่นนี้ก็จะทำให้เรามองภาพชีวิตของคนอื่นเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมขึ้นมาได้
.
4. เปลี่ยนความอิจฉาเป็นพลังพัฒนาตัวเอง – หากความอิจฉาเป็นผลมาจากรากฐานบางประการในชีวิตที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ชีวิตในวัยเด็กที่ยากลำบาก เหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ ภาวะสุขภาพที่ไม่แข็งแรง ฯลฯ ก็ให้เราลองปรับมุมมองและเปลี่ยนแรงอิจฉานั้นเป็น “พลังกระตุ้น” ให้เราพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น หลายครั้งถ้าเราได้ขุดลึกถึงก้นบึ้งแห่งความไม่พอใจ หาเหตุว่าทำไมเราจึงโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฯลฯ การนำพลังด้านลบหลายๆ อย่างขึ้นมาพิจารณาใหม่ ทั้งวิเคราะห์ ตีความ ยอมรับ ทำความเข้าใจ จะทำให้เราเปิดโลกอีกใบภายในตัวตนขึ้นมาได้ และผลักดันให้เรากล้าทำชีวิตในวันนี้ให้ดีขึ้นกว่าวันก่อน โดยไม่ต้องชะเง้อชะแง้คอยอิจฉาความสำเร็จของคนอื่นอีกต่อไป
.
5. หัดมองให้เห็นความโชคดีในชีวิตตนเอง - บ่อเกิดของความอิจฉาที่ทำให้เราทุกข์ก็มาจากการที่เราไปนั่งนับความโชคดีในชีวิตของคนอื่น (แทนที่จะนับสิ่งดีๆ ในชีวิตของเราเอง) ลองหันกลับมามองในสิ่งที่เฟสบุ๊คอธิบายหรือสื่อสารไม่ได้บ้าง เช่น คุณค่าที่สำคัญต่อจิตวิญญาณของคุณ ประสบการณ์ที่เป็นอิสระจากพันธะสังคม โอกาสที่ธุรกิจหรือหน้าที่การงานของคุณได้สร้างสิ่งดีกับผู้อื่น ฯลฯ เพราะเมื่อใดที่เราสัมผัสถึงความโชคดีเหล่านี้ได้ด้วยใจของเรา เมื่อนั้นโลกโซเชียลก็จะไม่มีโอกาสทำให้ความสำเร็จของเราต้องเข้า “แข่งขัน” กับความสำเร็จคนอื่นอีกเลย
.
Cr. tcdcconnect
.
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่