ทำดีได้ดี ทุกวันนี้ฉันไม่ค่อยเชื่อคำนี้เท่าไหร่แล้วล่ะ แต่ว่าฉันยังคงทำเหมือนเดิมอยู่นะ แต่แค่เปลี่ยนเป็น "ทำดีเพราะใจรัก" แทน^^
อันที่จริง ฉันไม่เคยคิดจะพิสูจน์คำนี้หรอกนะ ฉันเชื่อสนิทใจมาตลอด ว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ไม่ดี ชัวร์ๆ อยู่แล้ว บาปกรรมมีจริง ถึงวันนี้ไม่ได้รับ สักวันทุกชีวิตก็ต้องรับผลในความดี ความชั่วนั้นๆ แน่นอน แต่ประสบการณ์ชีวิต มันก็ทำให้ฉันเขวจนได้สิน่า
ฉันเริ่มได้เลี้ยงแมวตัวแรก เมื่อปี 46 เป็นลูกแมวตัวหนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้านของฉันเอง แม่มันเป็นแมวขาวมณีตาสองสี ที่พี่ รปภ.หมู่บ้านเลี้ยงไว้ มันเอาลูกๆ มาแอบเลี้ยงไว้ที่บ้านร้างข้างบ้านฉันพอดี ฉันคอยเอานมไปป้อนทุกวันหลังกลับจากโรงเรียน แต่ยังไม่ได้เอามาเลี้ยงหรอก เพราะที่บ้านฉันเลี้ยงน้องหมาอยู่ 2 ตัวแล้ว จากนั้นลูกแมวค่อยๆ ตายไปทีละตัว รถทับบ้าง ตากฝนบ้าง จนเหลือเจ้าแมวน้อยอยู่แค่ตัวเดียวที่ยังรอดอยู่จนเริ่มโต และเริ่มมีปัญหากับคน เพราะความซนของมัน มันโดนไล่ตีบ่อยๆ บาดเจ็บ และแม่ฉันก็จะช่วยพาไปหาหมอ ค่ารักษาหลายพันบาท แพงจนจะซื้อแมวพันธุ์มาเลี้ยงได้เลยล่ะ^^ แต่ในที่สุดวันหนึ่งมันก็โดนจับไปปล่อยที่อื่นจนได้ ตอนนั้นแหละ ที่ฉันเป็นห่วงมันมาก และตัดสินใจว่าต้องเข้าไปช่วยเต็มตัวแล้ว ฉันไปขอร้องให้คนที่เอามันไปปล่อย ไปเอามันกลับมา ฉันจะเลี้ยงเอง วันนั้นฉันต้องแอบเอามันเข้าบ้าน และเตรียมโดนแม่โกรธ ที่รับสัตว์เลี้ยงมาโดยไม่ปรึกษาก่อน แต่ฉันรู้ ว่าเหตุผลของฉัน แม่จะเข้าใจแน่นอน
จากนั้นมันก็อยู่กับครอบครัวฉัน เข้ากันได้กับน้องหมา และยังมีของแถมเป็นลูกน้อยติดท้องมาให้อีก 3 ตัว เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้มีแมวงอกมาเป็นร้อยตัว ในปัจจุบัน และฉันตั้งชื่อมันว่า "ซันนี่" หมายถึงแสงอาทิตย์ในฤดูร้อน ที่ยังคงส่องสว่างอยู่ได้ แม้ว่าพี่น้องของมันที่ฉันเคยตั้งชื่อไว้ คือวินนี่(สายลม) เรนนี่(ฝนพรำ) และอีกตัวนึงที่ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อ จะจากไปแล้ว
ตั้งแต่ฉันยังจำความไม่ได้ ฉันก็มีสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกครอบครัวมาตลอดเลยล่ะ ตัวแรกเป็นน้องหมาไทย ชื่อเป๊ปซี่ ฉันจำมันไม่ได้เลย เพราะได้อยู่ด้วยกันแค่ช่วงที่ฉันเพิ่งเกิด มันโดนวางยาเบื่อตายไปซะก่อน ที่ฉันจะทันได้โตมาทำความรู้จักกับมันอย่างจริงจัง แต่เวลาที่ฉันฟังพ่อเล่าถึงมัน ฉันก็รู้สึกว่าฉันต้องรักมันแน่นอน ส่วนน้องหมาที่ฉันจำได้ว่าได้เลี้ยงเป็นตัวแรกจริงๆ น่ะหรอ มันชื่อหนุงหนิง เป็นหมาที่ป้าของฉันคนหนึ่งยกให้ มันเป็นสปิตช์สีขาวขนฟูฟ่อง ดุนิดหน่อย และมาอยู่กับฉันตอนมันโตแล้ว และแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันกับมันได้อยู่ด้วยกัน แต่ฉันกับมันก็รักกันเอามากๆ เลยล่ะ ช่วงนั้น บ้านฉันยังเป็นทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ มันเล็กจนค่อนข้างลำบากที่จะเลี้ยงสุนัข หลายครั้งพ่อกับแม่ต้องพามันไปฝากไว้ชั่วคราวกับป้าของฉันอีกคน ฉันจำได้ดีว่าทุกๆ วัน ฉันคิดถึงมันเพียงใด และมันก็คิดถึงฉันมากๆ เหมือนกัน ฉันรอคอยทุกสุดสัปดาห์ที่ฉันจะได้ไปหามัน และมันก็ดีใจสุดๆ ทุกครั้งที่ได้เจอฉัน แต่แล้ววันหนึ่ง มันก็ถูกรถชนตายที่หน้าบ้านของป้าฉัน ป้าฉันได้แต่มาบอกให้ฉันรับรู้ และฉันไม่ได้แม้แต่จะเห็นมันเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งทำให้ฉันเสียใจมาก และรู้สึกแย่สุดๆ ที่ไม่ได้ลากันดีๆ หรือแม้แต่จะได้ฝังเค้าในหลุมอย่างดีสมกับที่เค้าเป็นเพื่อนสุดที่รักของฉัน
หลังจากนั้นไม่นาน แม่พยายามปลอบประโลมฉันด้วยการหาเพื่อนใหม่ให้ฉัน แม่พาฉันไปเลือกน้องหมาที่จตุจักร ทั้งที่ตอนนั้นแม่ก็ไม่ค่อยมีตังค์ ฉันยังจำได้ว่าฉันชี้ไปที่น้องหมาสีขาวพันธุ์แท้ตัวหนึ่ง แม่ฉันนิ่งไป ฉันเห็นแววตาแม่ รู้ว่าเค้าอยากซื้อให้ฉัน แต่เค้าไม่ไหว ในที่สุดฉันได้น้องหมาพันธุ์ผสมอีกตัวที่อยู่ใกล้ๆ กันมาแทน มันสีขาว มีลายวงกลมสีน้ำตาลอ่อน มันน่ารักไม่แพ้ตัวแรกที่ฉันชอบหรอก และนาทีที่มันเป็นของฉัน ฉันก็ปักใจรักมันไปแล้ว
ทรามวัย คือชื่อของมัน มาจากการ์ตูนเรื่องทรามวัยกับไอ้ตูบนั่นเอง ตอนนั้นฉันยังอยู่อนุบาล และเป็นลูกคนเดียว ฉันจึงใช้ชีวิตกับทรามวัยแบบพี่น้องที่โตมาด้วยกัน ฉันตื่นเช้าไปโรงเรียนทุกวันโดยการปลุกของมัน เรากินข้าวพร้อมกัน เล่นกัน มันเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ ของฉันจริงๆ
พอฉันเริ่มโตขึ้น ฉันเริ่มมีปัญหากับแม่ ส่วนมากเราจะทะเลาะกัน และคงเป็นเพราะฉันเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ทำงานหนัก ไม่มีเวลาว่าง ฉันเริ่มกลายเป็นคนเงียบ ซึมเศร้า ไม่มีเพื่อน ไม่สุงสิงกับใคร มีเพื่อนในจินตนาการ และพูดคนเดียว เวลาทั้งหมดหมดไปกับการเอาแต่อ่านหนังสือเรียน และทำตัวดีแบบเว่อร์ อยู่ในกรอบเป๊ะๆ ด้วยความคิดว่าถ้าเราเป็นเด็กดีมากๆ พ่อแม่จะหันมารัก สนใจ และมีเวลาให้ แต่มันก็ไม่ได้ผล ทุกวันฉันจึงมักจะกลับมาบ้าน นั่งเหงาๆ และมักจะร้องไห้ "ทรามวัย"คือเพื่อนคนเดียวที่ดีที่สุดของฉัน มันจะนั่งฟังฉันพูด ฉันคร่ำครวญ และเลียมือฉันไม่หยุด เวลาที่ฉันร้องไห้
ตอนหลัง ทรามวัยมีลูก เพราะมันหลุดไปอยู่นอกบ้าน 1 วัน ไม่มีใครรู้ หลังจากวันนั้นไม่นาน มันก็ท้อง มีลูกออกมาหลายตัว แต่บ้านเราอย่างที่บอก เป็นทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ น่ารัก ที่ทางจึงไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงสุนัขจำนวนมาก (แค่ตัวเดียวที่ก็จะไม่พอแล้ว) พ่อกับแม่ต้องจำใจยกลูกของทรามวัยไปให้คนอื่นเลี้ยง โดยเก็บตัวที่อ่อนแอที่สุดเอาไว้ ซึ่งก็คือเจ้าเบนจี้ ฉันจึงได้โตมาโดยมีทรามวัยเป็นน้องสาว และเบนจี้เป็นน้องชาย (จริง ต้องเป็นหลานเนอะ อิอิ) และเบนจี้ก็ดีกับฉันมากๆ เหมือนทรามวัยเช่นกัน ตอนนี้ฐานะทางบ้านฉันก็เริ่มโอเคขึ้น ฉันกับทรามวัย เบนจี้ ได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังโต มีสนามหญ้าให้พวกเค้าวิ่งเล่น พ่อกับแม่ฉันยังทำงานหนัก ไม่มีเวลาว่าง แต่รายได้ก็อยู่ในระดับดีด้วย ฉันมักจะได้ข้าวของดีๆ ต่างๆ มากมาย ความเป็นอยู่นี้ถือว่าดีดี๊ก็จริง แต่ด้านจิตใจฉันยังแย่อยู่ ฉันยังทำตัวเป็นเด็กดีตามกรอบสุดๆ อยู่เหมือนเดิม(ยังหวังลมๆ แล้งๆ 55) ตอนนั้นเหงามากกกก เริ่มเก็บตัว เริ่มติดเกม ทะเลาะกับแม่หนักๆ บ่อยๆ และมักจะน้อยใจพ่อ รู้สึกว่าพ่อเข้าข้างแม่คนเดียว โชคดีที่ฉันมีน้องหมาเป็นเพื่อนแท้ที่ไม่เคยห่างหายไปไหน หลายครั้งฉันเคยจิตตกจนทำร้ายตัวเอง หรืออยากฆ่าตัวตาย ก็ได้พวกเค้านี่แหละ ที่ช่วยเอาไว้ ทรามวัยจากฉันไปด้วยโรคชรา ประมาณปี 45 ตอนนั้นฉันและแม่เสียใจแบบที่จะตายตามเค้าได้ และทุกวันนี้ฉันยังคิดถึงทรามวัยเสมอ แต่ไม่ใช่ความรู้สึกเศร้าหมองแบบวันนั้น แต่เป็นความทรงจำที่ดีและสวยงามที่สุดในชีวิตและในหัวใจของฉันตลอดไป
ปลายปี 45 ฉันรับน้องหมาตัวใหม่มาเลี้ยงอีกครั้ง ด้วยความคิดถึงทรามวัยประกอบ ฉันจึงให้มันชื่อว่าเลดี้ ซึ่งเป็นชื่อภาคภาษาอังกฤษของเรื่องทรามวัยกับไอ้ตูบ (Lady and the tramp) มันเป็นสปิตช์ญี่ปุ่นสีขาว ปลายหูส้มนิดๆ เหมือนกับทรามวัย ฉันไม่ได้เอาเลดี้มาแทนทรามวัย ไม่มีใครแทนใครได้สำหรับฉัน แต่ทรามวัยเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันพบรักกับเลดี้ จากนั้นฉันก็มีเบนจี้ และเลดี้เป็นเพื่อน เลดี้นิสัยไม่เหมือนทรามวัยเลย มันออกจะเหมือนสาวน้อยแสนงอนมากกว่า แต่มันก็คอยอยู่เป็นเพื่อนฉันตลอดเหมือนกัน หลังจากนั้นไม่กี่ปี เบนจี้ก็จากฉันไปอีกคน ด้วยโรคชราเช่นกัน ฉันรับน้องหมาตัวใหม่เข้ามาเป็นเพื่อนเลดี้ เป็นปอมขาวหูแฟนซี ชื่อซูชิ ฉันซื้อมันมาทั้งที่รู้ว่ามันไม่แข็งแรง เพราะอยากช่วย มันมาป่วยหนักอยู่กับฉัน แทบจะไม่รอดในตอนแรก แต่ในที่สุด มันก็หายดี และกลายมาเป็นคุณชายของบ้านฉัน ต้องเรียกว่าคุณชายจริงๆ นะ เพราะมันทั้งขี้เหวี่ยง เอาแต่ใจ และนิสัยคุณหนูมากๆ มันไม่เอาใครเลยนอกจากคนในบ้าน หน้าตาน่ารัก แต่ดุมาก กัดจริง เจ็บจริง และติดฉันมากด้วย^^ และก็ช่วงนี้นี่เองไง ที่ฉันเล่าค้างไว้ว่าได้รับซันนี่เข้ามาเป็นแมวตัวแรก +ของแถมเป็นลูกแมวน้อยที่ติดท้องมาอีก 3 ตัว เจ้า 3 ตัวนี้ ชื่อว่า ไอซ์ซี่ ไม้ม้วน และชาเย็น
คนเลี้ยงหมาแมว คงจะรู้จักคำว่า เด็กใครก็เด็กใคร ฉันก็มีเด็กของฉัน นั่นก็คือ เลดี้ ซูชิ และไม้ม้วน ชิกับเล สนิทกับฉันอยู่แล้ว เพราะฉันเป็นคนซื้อมาตั้งแต่แรกนินะ แต่ไม้ม้วนเนี่ย สนิทกับฉัน เพราะแม่ฉันจะแบ่งห้องให้แมวอยู่ตัวละห้อง และมันได้อยู่ในห้องฉันไงล่ะ^^ ระหว่างนั้น แม่ก็เริ่มรับเลี้ยงแมวเข้าบ้านมาเรื่อยๆ ก็เป็นแมวที่มาขอข้าวกินในบ้านนั่นแหละ พอป่วยแม่ก็พาไปหาหมอ พอกลับมาก็ต้องเอามาใส่กรงพักฟื้น พักไปพักมาก็อยู่ถาวรเลย (ตอนนั้นแม่ยังเลี้ยงไหว พ่อกับแม่ยังทำงาน บ้านเรายังมีเงินใช้ไม่ขัดสน จึงไม่ลำบากอะไรที่จะช่วยเหลือแมวจรจัดจำนวนมาก) แม่เคยบอกว่ามันคงมีสื่ออะไรสักอย่าง เวลาเราเลี้ยงสัตว์ สัตว์ตัวอื่นๆ ข้างนอกก็มักจะชอบเข้าหาเราโดยอัตโนมัติ จริงไม่จริงไม่รู้นะ แต่ตอนนี้แมวที่เข้ามาหาเราเองที่ว่าเนี่ย ก็เหยียบร้อยตัวแล้วอ่ะ ถึงจะเยอะแบบนี้ ฉันก็รักทุกตัวนะ แต่สนิทที่สุด ก็ยังคงเป็น ชิ เล ม้วน^^ เหมือนเดิม
...ยาวแระ พักดื่มน้ำปัสสาวะก่อน แล้วเดี๋ยวมาต่อเนอะ...
แมว100ตัว กับฉันที่ห้ามแพ้
อันที่จริง ฉันไม่เคยคิดจะพิสูจน์คำนี้หรอกนะ ฉันเชื่อสนิทใจมาตลอด ว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ไม่ดี ชัวร์ๆ อยู่แล้ว บาปกรรมมีจริง ถึงวันนี้ไม่ได้รับ สักวันทุกชีวิตก็ต้องรับผลในความดี ความชั่วนั้นๆ แน่นอน แต่ประสบการณ์ชีวิต มันก็ทำให้ฉันเขวจนได้สิน่า
ฉันเริ่มได้เลี้ยงแมวตัวแรก เมื่อปี 46 เป็นลูกแมวตัวหนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้านของฉันเอง แม่มันเป็นแมวขาวมณีตาสองสี ที่พี่ รปภ.หมู่บ้านเลี้ยงไว้ มันเอาลูกๆ มาแอบเลี้ยงไว้ที่บ้านร้างข้างบ้านฉันพอดี ฉันคอยเอานมไปป้อนทุกวันหลังกลับจากโรงเรียน แต่ยังไม่ได้เอามาเลี้ยงหรอก เพราะที่บ้านฉันเลี้ยงน้องหมาอยู่ 2 ตัวแล้ว จากนั้นลูกแมวค่อยๆ ตายไปทีละตัว รถทับบ้าง ตากฝนบ้าง จนเหลือเจ้าแมวน้อยอยู่แค่ตัวเดียวที่ยังรอดอยู่จนเริ่มโต และเริ่มมีปัญหากับคน เพราะความซนของมัน มันโดนไล่ตีบ่อยๆ บาดเจ็บ และแม่ฉันก็จะช่วยพาไปหาหมอ ค่ารักษาหลายพันบาท แพงจนจะซื้อแมวพันธุ์มาเลี้ยงได้เลยล่ะ^^ แต่ในที่สุดวันหนึ่งมันก็โดนจับไปปล่อยที่อื่นจนได้ ตอนนั้นแหละ ที่ฉันเป็นห่วงมันมาก และตัดสินใจว่าต้องเข้าไปช่วยเต็มตัวแล้ว ฉันไปขอร้องให้คนที่เอามันไปปล่อย ไปเอามันกลับมา ฉันจะเลี้ยงเอง วันนั้นฉันต้องแอบเอามันเข้าบ้าน และเตรียมโดนแม่โกรธ ที่รับสัตว์เลี้ยงมาโดยไม่ปรึกษาก่อน แต่ฉันรู้ ว่าเหตุผลของฉัน แม่จะเข้าใจแน่นอน
จากนั้นมันก็อยู่กับครอบครัวฉัน เข้ากันได้กับน้องหมา และยังมีของแถมเป็นลูกน้อยติดท้องมาให้อีก 3 ตัว เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้มีแมวงอกมาเป็นร้อยตัว ในปัจจุบัน และฉันตั้งชื่อมันว่า "ซันนี่" หมายถึงแสงอาทิตย์ในฤดูร้อน ที่ยังคงส่องสว่างอยู่ได้ แม้ว่าพี่น้องของมันที่ฉันเคยตั้งชื่อไว้ คือวินนี่(สายลม) เรนนี่(ฝนพรำ) และอีกตัวนึงที่ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อ จะจากไปแล้ว
ตั้งแต่ฉันยังจำความไม่ได้ ฉันก็มีสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกครอบครัวมาตลอดเลยล่ะ ตัวแรกเป็นน้องหมาไทย ชื่อเป๊ปซี่ ฉันจำมันไม่ได้เลย เพราะได้อยู่ด้วยกันแค่ช่วงที่ฉันเพิ่งเกิด มันโดนวางยาเบื่อตายไปซะก่อน ที่ฉันจะทันได้โตมาทำความรู้จักกับมันอย่างจริงจัง แต่เวลาที่ฉันฟังพ่อเล่าถึงมัน ฉันก็รู้สึกว่าฉันต้องรักมันแน่นอน ส่วนน้องหมาที่ฉันจำได้ว่าได้เลี้ยงเป็นตัวแรกจริงๆ น่ะหรอ มันชื่อหนุงหนิง เป็นหมาที่ป้าของฉันคนหนึ่งยกให้ มันเป็นสปิตช์สีขาวขนฟูฟ่อง ดุนิดหน่อย และมาอยู่กับฉันตอนมันโตแล้ว และแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันกับมันได้อยู่ด้วยกัน แต่ฉันกับมันก็รักกันเอามากๆ เลยล่ะ ช่วงนั้น บ้านฉันยังเป็นทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ มันเล็กจนค่อนข้างลำบากที่จะเลี้ยงสุนัข หลายครั้งพ่อกับแม่ต้องพามันไปฝากไว้ชั่วคราวกับป้าของฉันอีกคน ฉันจำได้ดีว่าทุกๆ วัน ฉันคิดถึงมันเพียงใด และมันก็คิดถึงฉันมากๆ เหมือนกัน ฉันรอคอยทุกสุดสัปดาห์ที่ฉันจะได้ไปหามัน และมันก็ดีใจสุดๆ ทุกครั้งที่ได้เจอฉัน แต่แล้ววันหนึ่ง มันก็ถูกรถชนตายที่หน้าบ้านของป้าฉัน ป้าฉันได้แต่มาบอกให้ฉันรับรู้ และฉันไม่ได้แม้แต่จะเห็นมันเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งทำให้ฉันเสียใจมาก และรู้สึกแย่สุดๆ ที่ไม่ได้ลากันดีๆ หรือแม้แต่จะได้ฝังเค้าในหลุมอย่างดีสมกับที่เค้าเป็นเพื่อนสุดที่รักของฉัน
หลังจากนั้นไม่นาน แม่พยายามปลอบประโลมฉันด้วยการหาเพื่อนใหม่ให้ฉัน แม่พาฉันไปเลือกน้องหมาที่จตุจักร ทั้งที่ตอนนั้นแม่ก็ไม่ค่อยมีตังค์ ฉันยังจำได้ว่าฉันชี้ไปที่น้องหมาสีขาวพันธุ์แท้ตัวหนึ่ง แม่ฉันนิ่งไป ฉันเห็นแววตาแม่ รู้ว่าเค้าอยากซื้อให้ฉัน แต่เค้าไม่ไหว ในที่สุดฉันได้น้องหมาพันธุ์ผสมอีกตัวที่อยู่ใกล้ๆ กันมาแทน มันสีขาว มีลายวงกลมสีน้ำตาลอ่อน มันน่ารักไม่แพ้ตัวแรกที่ฉันชอบหรอก และนาทีที่มันเป็นของฉัน ฉันก็ปักใจรักมันไปแล้ว
ทรามวัย คือชื่อของมัน มาจากการ์ตูนเรื่องทรามวัยกับไอ้ตูบนั่นเอง ตอนนั้นฉันยังอยู่อนุบาล และเป็นลูกคนเดียว ฉันจึงใช้ชีวิตกับทรามวัยแบบพี่น้องที่โตมาด้วยกัน ฉันตื่นเช้าไปโรงเรียนทุกวันโดยการปลุกของมัน เรากินข้าวพร้อมกัน เล่นกัน มันเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ ของฉันจริงๆ
พอฉันเริ่มโตขึ้น ฉันเริ่มมีปัญหากับแม่ ส่วนมากเราจะทะเลาะกัน และคงเป็นเพราะฉันเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ทำงานหนัก ไม่มีเวลาว่าง ฉันเริ่มกลายเป็นคนเงียบ ซึมเศร้า ไม่มีเพื่อน ไม่สุงสิงกับใคร มีเพื่อนในจินตนาการ และพูดคนเดียว เวลาทั้งหมดหมดไปกับการเอาแต่อ่านหนังสือเรียน และทำตัวดีแบบเว่อร์ อยู่ในกรอบเป๊ะๆ ด้วยความคิดว่าถ้าเราเป็นเด็กดีมากๆ พ่อแม่จะหันมารัก สนใจ และมีเวลาให้ แต่มันก็ไม่ได้ผล ทุกวันฉันจึงมักจะกลับมาบ้าน นั่งเหงาๆ และมักจะร้องไห้ "ทรามวัย"คือเพื่อนคนเดียวที่ดีที่สุดของฉัน มันจะนั่งฟังฉันพูด ฉันคร่ำครวญ และเลียมือฉันไม่หยุด เวลาที่ฉันร้องไห้
ตอนหลัง ทรามวัยมีลูก เพราะมันหลุดไปอยู่นอกบ้าน 1 วัน ไม่มีใครรู้ หลังจากวันนั้นไม่นาน มันก็ท้อง มีลูกออกมาหลายตัว แต่บ้านเราอย่างที่บอก เป็นทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ น่ารัก ที่ทางจึงไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงสุนัขจำนวนมาก (แค่ตัวเดียวที่ก็จะไม่พอแล้ว) พ่อกับแม่ต้องจำใจยกลูกของทรามวัยไปให้คนอื่นเลี้ยง โดยเก็บตัวที่อ่อนแอที่สุดเอาไว้ ซึ่งก็คือเจ้าเบนจี้ ฉันจึงได้โตมาโดยมีทรามวัยเป็นน้องสาว และเบนจี้เป็นน้องชาย (จริง ต้องเป็นหลานเนอะ อิอิ) และเบนจี้ก็ดีกับฉันมากๆ เหมือนทรามวัยเช่นกัน ตอนนี้ฐานะทางบ้านฉันก็เริ่มโอเคขึ้น ฉันกับทรามวัย เบนจี้ ได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังโต มีสนามหญ้าให้พวกเค้าวิ่งเล่น พ่อกับแม่ฉันยังทำงานหนัก ไม่มีเวลาว่าง แต่รายได้ก็อยู่ในระดับดีด้วย ฉันมักจะได้ข้าวของดีๆ ต่างๆ มากมาย ความเป็นอยู่นี้ถือว่าดีดี๊ก็จริง แต่ด้านจิตใจฉันยังแย่อยู่ ฉันยังทำตัวเป็นเด็กดีตามกรอบสุดๆ อยู่เหมือนเดิม(ยังหวังลมๆ แล้งๆ 55) ตอนนั้นเหงามากกกก เริ่มเก็บตัว เริ่มติดเกม ทะเลาะกับแม่หนักๆ บ่อยๆ และมักจะน้อยใจพ่อ รู้สึกว่าพ่อเข้าข้างแม่คนเดียว โชคดีที่ฉันมีน้องหมาเป็นเพื่อนแท้ที่ไม่เคยห่างหายไปไหน หลายครั้งฉันเคยจิตตกจนทำร้ายตัวเอง หรืออยากฆ่าตัวตาย ก็ได้พวกเค้านี่แหละ ที่ช่วยเอาไว้ ทรามวัยจากฉันไปด้วยโรคชรา ประมาณปี 45 ตอนนั้นฉันและแม่เสียใจแบบที่จะตายตามเค้าได้ และทุกวันนี้ฉันยังคิดถึงทรามวัยเสมอ แต่ไม่ใช่ความรู้สึกเศร้าหมองแบบวันนั้น แต่เป็นความทรงจำที่ดีและสวยงามที่สุดในชีวิตและในหัวใจของฉันตลอดไป
ปลายปี 45 ฉันรับน้องหมาตัวใหม่มาเลี้ยงอีกครั้ง ด้วยความคิดถึงทรามวัยประกอบ ฉันจึงให้มันชื่อว่าเลดี้ ซึ่งเป็นชื่อภาคภาษาอังกฤษของเรื่องทรามวัยกับไอ้ตูบ (Lady and the tramp) มันเป็นสปิตช์ญี่ปุ่นสีขาว ปลายหูส้มนิดๆ เหมือนกับทรามวัย ฉันไม่ได้เอาเลดี้มาแทนทรามวัย ไม่มีใครแทนใครได้สำหรับฉัน แต่ทรามวัยเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันพบรักกับเลดี้ จากนั้นฉันก็มีเบนจี้ และเลดี้เป็นเพื่อน เลดี้นิสัยไม่เหมือนทรามวัยเลย มันออกจะเหมือนสาวน้อยแสนงอนมากกว่า แต่มันก็คอยอยู่เป็นเพื่อนฉันตลอดเหมือนกัน หลังจากนั้นไม่กี่ปี เบนจี้ก็จากฉันไปอีกคน ด้วยโรคชราเช่นกัน ฉันรับน้องหมาตัวใหม่เข้ามาเป็นเพื่อนเลดี้ เป็นปอมขาวหูแฟนซี ชื่อซูชิ ฉันซื้อมันมาทั้งที่รู้ว่ามันไม่แข็งแรง เพราะอยากช่วย มันมาป่วยหนักอยู่กับฉัน แทบจะไม่รอดในตอนแรก แต่ในที่สุด มันก็หายดี และกลายมาเป็นคุณชายของบ้านฉัน ต้องเรียกว่าคุณชายจริงๆ นะ เพราะมันทั้งขี้เหวี่ยง เอาแต่ใจ และนิสัยคุณหนูมากๆ มันไม่เอาใครเลยนอกจากคนในบ้าน หน้าตาน่ารัก แต่ดุมาก กัดจริง เจ็บจริง และติดฉันมากด้วย^^ และก็ช่วงนี้นี่เองไง ที่ฉันเล่าค้างไว้ว่าได้รับซันนี่เข้ามาเป็นแมวตัวแรก +ของแถมเป็นลูกแมวน้อยที่ติดท้องมาอีก 3 ตัว เจ้า 3 ตัวนี้ ชื่อว่า ไอซ์ซี่ ไม้ม้วน และชาเย็น
คนเลี้ยงหมาแมว คงจะรู้จักคำว่า เด็กใครก็เด็กใคร ฉันก็มีเด็กของฉัน นั่นก็คือ เลดี้ ซูชิ และไม้ม้วน ชิกับเล สนิทกับฉันอยู่แล้ว เพราะฉันเป็นคนซื้อมาตั้งแต่แรกนินะ แต่ไม้ม้วนเนี่ย สนิทกับฉัน เพราะแม่ฉันจะแบ่งห้องให้แมวอยู่ตัวละห้อง และมันได้อยู่ในห้องฉันไงล่ะ^^ ระหว่างนั้น แม่ก็เริ่มรับเลี้ยงแมวเข้าบ้านมาเรื่อยๆ ก็เป็นแมวที่มาขอข้าวกินในบ้านนั่นแหละ พอป่วยแม่ก็พาไปหาหมอ พอกลับมาก็ต้องเอามาใส่กรงพักฟื้น พักไปพักมาก็อยู่ถาวรเลย (ตอนนั้นแม่ยังเลี้ยงไหว พ่อกับแม่ยังทำงาน บ้านเรายังมีเงินใช้ไม่ขัดสน จึงไม่ลำบากอะไรที่จะช่วยเหลือแมวจรจัดจำนวนมาก) แม่เคยบอกว่ามันคงมีสื่ออะไรสักอย่าง เวลาเราเลี้ยงสัตว์ สัตว์ตัวอื่นๆ ข้างนอกก็มักจะชอบเข้าหาเราโดยอัตโนมัติ จริงไม่จริงไม่รู้นะ แต่ตอนนี้แมวที่เข้ามาหาเราเองที่ว่าเนี่ย ก็เหยียบร้อยตัวแล้วอ่ะ ถึงจะเยอะแบบนี้ ฉันก็รักทุกตัวนะ แต่สนิทที่สุด ก็ยังคงเป็น ชิ เล ม้วน^^ เหมือนเดิม
...ยาวแระ พักดื่มน้ำปัสสาวะก่อน แล้วเดี๋ยวมาต่อเนอะ...