กราบสวัสดีชาวพันทิปทุกท่านนะครับ เนื่องด้วยเมื่อวันก่อนน้องสาวคนเล็กได้มาขอคำแนะนำจากผมเรื่องจะไป Work & Travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปีหน้า ทำให้ผมได้มีโอกาสระลึกความทรงจำครั้งอดีตเมื่อปี 2554 ที่ได้ไปเป็นคนไทยตัวน้อยๆร่อนเร่ในทวีปอเมริกาเหนืออันกว้างใหญ่ไพศาล จึงได้ถือโอกาสนี้เล่าเรื่องราวการเดินทางของผมและเพื่อนอีกสองคนจากกรุงเทพสู่หลุมยักษ์แห่งรัฐ Arizona นามว่า The Grand Canyon ครับ
** ขอเน้นเรื่องการเดินทาง และการใช้ชีวิตเป็นหลักนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆที่อยากไปจะ Work ที่ GC จะได้เตรียมตัวไปถูก ส่วนเรื่องค่าใช้ต่างๆคงจะไม่เน้นเท่าไหร่ เพราะน่าเปลี่ยนแปลงไปมากอยู่ครับ **
การเล่าขอแยกเป็น PHASE นะครับ สำหรับคนที่เข้ามาสนใจเฉพาะบางเรื่องจะได้เลือกอ่านได้ครับ
PHASE I : รายละเอียดช่วงเตรียมตัวไปเวิร์ค
PHASE II : การเดินทางจากกรุงเทพ - Grand Canyon (แถมเรื่อง Social Security Card)
PHASE III : รายละเอียดงาน สถานที่ต่างๆ และการใช้ชีวิตบน Grand Canyon
PHASE IV : การท่องเที่ยวบน Grand Canyon
PHASE V : ชีวิตร่อนเร่ใน USA หลังจบงาน (Las Vegas, LA)
PHASE I - Preparation
Why Grand Canyon? : หลุมใหญ่ๆมันมีอะไรดี
ผมไปเวิร์คตอนผมเรียนมหาลัยปี 2 ช่วงปิดซัมเมอร์ครับ ตอนแรกกะจะไปคนเดียว (เนื่องจากหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ยากมาก และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง) โดยเริ่มจากดูที่ทำงานของหลายๆเอเจนซี่ ซึ่งด้วยความที่เป็นคนชอบถ่ายรูปและชอบเที่ยวธรรมชาติมากๆ จึงสนใจการไปทำงานใน National Park ครับ ข้อดีที่จะได้พ่วงมาด้วยกับการทำงานใน Park คือที่พักจะถูกมาก (ตอนผมไปเดือนละ 30$) มี Cafeteria พนักงาน รับคนเยอะ และหา Job เสริมได้ง่ายครับ โดยตอนนั้นมีแค่ 2 เอเจนซี่ที่มี National Park และมีแค่ 2 Park คือ Grand Canyon South rim และ Yellow Stone ซึ่งส่วนของ Yellow Stone จะเปิดให้เข้าทำงานในกลางเดือนเมษายนทำให้เหลือเวลาเวิร์คและเที่ยวแค่เดือนครึ่งเท่านั้น ผมจึงตัดไปและเลือก Grand Canyon (ขอย่อว่า GC นะครับ) แทนครับ ซึ่งชื่อเต็มๆคือ Xanterra South Rim, LLC เป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลด้านที่พัก และอาหาร ของ GC National Park ครับ

Grand Canyon : Orange Route
Team Building : สามชายโฉดแห่งเคบิน112
ถึงตอนแรกจะแพลนไปคนเดียว แต่สุดท้ายก็มีเพื่อนติดสอยห้อยตามมาด้วยอีก 2 คนครับ ซึ่งการหาคนไปจอยก็ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายครับ ในมหาลัยผมจะรับน้องตอนปี 1 เพราะงั้นตอนปี 2 จะว่างครับ เพื่อนๆส่วนใหญ่จะเลือกเรียนซัมเมอร์กัน แต่ก็จะมีกลุ่มเล็กน้อยๆที่วางแผนจะไปเวิร์คครับ อยู่ที่เราจะหากันเจอรึป่าว เคสของผมโชคดีหหน่อย ระหว่างเลือกเอเจนซี่ผมบังเอิญไปเจอเพื่อนคณะเดียวกันคนละภาควิชาที่วางแผนจะไปเวิร์คเหมือนกัน แต่ 2 คนนั้นยังไม่ได้ที่ๆจะไปชัดเจน ผมจึงถือโอกาสรวบตัวเข้ามาร่วมทีมได้ไม่ยาก โดย GC ก็มีเสน่ห์ดึงดูดในตัวมันอยู่แล้ว ขาดแค่คนชี้เป้าว่ามีสถานที่แห่งนี้อยู่นะ (ตอนนั้นส่วนใหญ่เพื่อนๆจะไปเวิร์คที่สวนสนุก สวนน้ำ และพวกฟาสฟู๊ดกันครับ ไม่ค่อยแลตามอง Park เท่าไหร่)

Fast Food ร่วมสาบาน
The Process : กรอกใบสมัครสิครับ จะรออะไร!
ที่พร้อม ทีมพร้อม ก็ต้องรีบสมัครสิครับ ผมสมัครเข้าโครงการกับเอเจนซี่ชื่อไทยว่า "ข้ามทะเล" รายละเอียดเรือนรางไปกับวัยที่ร่วงโรยไปแล้วเรียบร้อย แต่โดยคร่าวๆคือ สมัครโครงการ > สอบข้อเขียน/สัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ > บรีฟต่างๆนาๆ > กดเลือกงานในเวป > เตรียมเอกสารการเงิน > ทำวีซ่า J1 > Meeting > เตรียมเดินทาง ประมาณนี้ครับ โดยเราเลือกได้ว่าจะเดินทางกับเอเจนซี่หรือจะไปเอง ถ้าไปกับเอเจนซี่เค้าจะจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินและการเดินทางในประเทศให้หมดครับ รวมถึงส่งคนไปดูแลตั้งแต่หน้าสนามบินจนถึงหน้าที่พักเลยทีเดียว แต่แน่นอนเราจะไปเองครับ อยากประหยัด เอ้ย ผจญภัย 555 (เรื่องงานขอยกไปอธิบายใน Part การใช้ชีวิตใน GC นะครับ จะเห็นภาพชัดเจนกว่า)
The J1 : วีซ่าพาเพลิน
เราไปเวิร์คต้องขอวีซ่า J1 เป็นวีซ่าที่ใช้ทำงานเสียภาษีในอเมริกาได้ระยะนึงครับ โดยปกติหลังจากจบเวลาการทำงานตามสัญญาจ้างแล้ว จะสามารถอยู่ในอเมริกาได้อีก 30 วัน เราก็จะไปเที่ยวกันช่วงนั้น แต่การซื้อของต่างๆในอเมริกา เราจะขอ Tax Refund ที่สนามบินแบบวีซ่าท่องเที่ยวไม่ได้ครับ แต่ Tax ที่หักไปจากค่าจ้างจะทำเรื่องขอคืนได้ในปีถัดไปครับ
เผอิญเอเจนซี่อยู่ตึกตรงข้ามสถานทูตอเมริกาพอดีครับ ทำให้เวลาไปทำวีซ่าก็จะไปเตรียมตัวกับเอเจนซี่ก่อน ตอนผมไปขอไม่ยากครับ แค่จองคิวให้ได้ เตรียมเอกสารให้ครบ เจ้าหน้าที่จะดุนิดนึง ไปสัมภาษณ์ฝรั่งที่สัมภาษณ์ผมใจดีครับเป็นการถามตอบทั่วไป จะมีประเด็นแค่ตอนสแกนลายนิ้วมือเจ้าหน้าที่บอกว่า "Put your left index in to a scanner" ด้วยความฉลาดผมไม่รู้ว่านิ้วมือทั้ง 5 ของเรามีชื่อของตัวเองด้วย เลยมึนไปพักใหญ่ๆ ( โป้ง-thumb ชี้-index กลาง-middle นาง-ring ก้อย-little) เข้าไปในสถานทูตจะต้องฝากกระเป๋าตังกับโทรศัพท์นะครับ ต้องพกตังเข้าไปจ่ายค่าไปรษณีย์ด้วยหากต้องการให้สถานทูตส่งวีซ่าไปให้ที่บ้าน ถ้าออกไปเอาจะเสียเวลามาก
Food for thought : รอกินมาม่า
ด้วยหลายๆคนได้เตือนผมว่าอาหารการกินที่อเมริกาจะไม่หลากหลายเหมือนบ้านเรา จึงควรเตรียมพวกเครื่องปรุงและอาหารสำเร็จรูปได้ไปด้วยป้องกันการคิดถึงรสชาติไทยๆ (tongue-sick //มั่ว) พวกผมจึงเตรียมมาม่ากันไปคนละ 1-2 แพค จำไม่ได้ เอาเป็นว่าพอถึงเอามาม่ามารวมกันยัดใส่ลิ้นชักยาวได้ 3 ชั้น มีเพื่อนเอากะทะไปด้วย(แต่ไม่มีตะหลิว) ส่วนผมมีพวกปลากับหอยกระป๋องไปเผื่อ และน้ำปลาทิพย์รส ซึ่งกลายเป็นสมบัติล้ำค่ามากชิ้นหนึ่งใน GC
สรุปให้ง่ายๆนะครับ สิ่งที่ควร/ไม่ควรนำไป (จคหสต.นะครับ)
ควรนำไป
-มาม่า เลอค่า ถูก ประหยัด เบา ประกอบอาหารพลิกแพลงตะแคงซ้ายขวาได้มากมาย พอกินหมดกระเป๋ามีที่ หิ้วของกลับไทยได้อีกเยอะ
-กระป๋องทั้งหลายแหล่ (อาหารนะครัช) ในช่วงเดือนแรกถ้าเบื่อมาม่า มันช่วยได้ โจ๊กสำเร็จรูปก็ไม่เลวครับ เอามาผสมมาม่าได้อร่อยอีกแบบ
-เครื่องเทศ มีค่ามหาศาลดั่งอยู่ในยุคโคลัมบัสค้นหาอเมริกา เนื่องจากอาหารที่นั่นจืดชืด คุณจะคืดถึงมะนาว และน้ำปลา เตรียมพวกที่เป็นซองๆไปจะดีมาก รวมถึงพวกผงผัดต่างๆนาๆ
ไม่ควรนำไป
-เครื่องครัว จะบอกว่ากะทะที่เอาไปไม่เคยได้ใช้ 555+ ไปซื้อกะทะไฟฟ้าที่นั่นสะดวกกว่า ก่อนกลับก็ขายคืนให้คนที่ขึ้นมาอยู่ต่อได้ คุ้มค่ามากกว่าแบกไปแบกกลับครับ แถมกระทะไฟฟ้าทำได้ทั้งทอดผัดต้มชาบู
-ของที่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นเนื้อสัตว์ เช่นหมูแผ่น หมูหยอง อาจจะจะโดนดักจับตั้งแต่อยู่สนามบินแล้วครับ

เสน่ห์ปลายจวัก ต้องมาฝึกกันถึง USA
Hot or Cold ทะเลทรายจะหนาวหรอ?
เป็นคำถามติดปากครับ ทุกคนจะเกิดการลังเลว่าช่วงที่ไปเวิร์ค (มีนา-พฤษภา) มันจะยังหนาวมั้ย ซึ่งตามฤดูกาลจะเป็นปลายหนาวแล้ว แถมอริโซน่าก็อยู่ค่อนไปทางใต้ บริเวณที่ไปก็เป็นทะเลทราย อันนี้หลายๆคนเฟิร์มมาให้ว่าไม่หนาวครับ อยากจะฝากไปบอกคนเหล่านั้นครับ "ไม่หนาวพ่**" ขึ้นไปใหม่ๆเจอเศษหิมะดำตามข้างทาง เค้าเว้ากันว่า last snow อาทิตย์ถัดมา มันก็มีฝอยขาวๆเย็นๆร่วงลงมาอีก ก็ last snow อีก ประเด็นคือมันร่วงลงมาแทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์ จนอาทิตย์สุดท้ายก่อนจะกลับ มันก็ยังร่วงลงมา last snow ไหมล่ะะะะครัช สรุปหนาวนะ!! พูดเลย

หลักฐานมาครบครัช หิมะเดือนมีนา

หิมะเดือนเมษา

แถมลูกเห็บเดือนพฤษภาให้ด้วย -/\-
สิ่งที่เน้นมากๆเลยสำหรับต่อสู้กับสภาพอากาศใน GC คือโลชั่นสำหรับผิวแห้งมากๆครับ (เพื่อนเรียกโลชั่นทาเท้า) เพราะบน GC อากาศแห้งมาก ชนิดที่ว่าวันไหนไม่ทาโลชั่น พอเอามือลูบหน้าผิวจะหลุดเป็นละอองระยิบระยับดั่งหิมะเดือนห้า อย่างที่สองคือเสื้อหนาวแบบกันลม ถ้าใส่ไหมพรมแบบเกาหลี ก็ได้ตะคริวจับทั้งตัวนะครับ แม้ว่าอริโซน่าจะเป็นทะเลทราย และอยู่ช่วงล่าง แต่ GC นับได้ว่าเป็นเขตที่สูงครับ ประมาณภูกระดึงเลย แถบมันยังราบมากๆ ทำให้ลมแรง+แห้ง+เย็น ควรจะเอาเสื้อหนาวที่กันลมได้ไปครับ รวมถึงหมวก ถึงมือ รองเท้าหนาๆ ได้ใส่เกือบทุกวัน อีกอย่างคือลองจอน ใส่ไว้ไม่งั้นขาลาย อากาศแห้งมันเป็นแผลง่าย ลิปมันก็จำเป็น แต่ถ้าขี้เกียจพก ก็เอาโลชั่นทาเท้านั่นแหละทาไป แต่แนะนำให้ทาปากก่อนค่อยทาเท้านะครับ

ตัวอย่างการแต่งกายในวันหิมะตกที่ไม่ถูกต้อง (อย่าล้อเล่นไป ตะคริวกินหน้าท้องที่นี่ไม่สนุกนะครับ 555)
Other Destination
http://pantip.com/topic/33621110 8 Day With Her "Mother Russia" : แบคแพคเที่ยวรัสเซีย 8 วันในราคาสบายกระเป๋า
http://pantip.com/topic/33819060 Breath of East Java : ทริปภูเขาไฟ 5 วัน ฝ่าฝุ่นควันและกำมะถันแห่งชวาตะวันออก
ย้อนรำลึก ประสบการณ์ Work&Travel ณ Grand Canyon South rim, USA
** ขอเน้นเรื่องการเดินทาง และการใช้ชีวิตเป็นหลักนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆที่อยากไปจะ Work ที่ GC จะได้เตรียมตัวไปถูก ส่วนเรื่องค่าใช้ต่างๆคงจะไม่เน้นเท่าไหร่ เพราะน่าเปลี่ยนแปลงไปมากอยู่ครับ **
การเล่าขอแยกเป็น PHASE นะครับ สำหรับคนที่เข้ามาสนใจเฉพาะบางเรื่องจะได้เลือกอ่านได้ครับ
PHASE I : รายละเอียดช่วงเตรียมตัวไปเวิร์ค
PHASE II : การเดินทางจากกรุงเทพ - Grand Canyon (แถมเรื่อง Social Security Card)
PHASE III : รายละเอียดงาน สถานที่ต่างๆ และการใช้ชีวิตบน Grand Canyon
PHASE IV : การท่องเที่ยวบน Grand Canyon
PHASE V : ชีวิตร่อนเร่ใน USA หลังจบงาน (Las Vegas, LA)
PHASE I - Preparation
Why Grand Canyon? : หลุมใหญ่ๆมันมีอะไรดี
ผมไปเวิร์คตอนผมเรียนมหาลัยปี 2 ช่วงปิดซัมเมอร์ครับ ตอนแรกกะจะไปคนเดียว (เนื่องจากหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ยากมาก และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง) โดยเริ่มจากดูที่ทำงานของหลายๆเอเจนซี่ ซึ่งด้วยความที่เป็นคนชอบถ่ายรูปและชอบเที่ยวธรรมชาติมากๆ จึงสนใจการไปทำงานใน National Park ครับ ข้อดีที่จะได้พ่วงมาด้วยกับการทำงานใน Park คือที่พักจะถูกมาก (ตอนผมไปเดือนละ 30$) มี Cafeteria พนักงาน รับคนเยอะ และหา Job เสริมได้ง่ายครับ โดยตอนนั้นมีแค่ 2 เอเจนซี่ที่มี National Park และมีแค่ 2 Park คือ Grand Canyon South rim และ Yellow Stone ซึ่งส่วนของ Yellow Stone จะเปิดให้เข้าทำงานในกลางเดือนเมษายนทำให้เหลือเวลาเวิร์คและเที่ยวแค่เดือนครึ่งเท่านั้น ผมจึงตัดไปและเลือก Grand Canyon (ขอย่อว่า GC นะครับ) แทนครับ ซึ่งชื่อเต็มๆคือ Xanterra South Rim, LLC เป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลด้านที่พัก และอาหาร ของ GC National Park ครับ
Grand Canyon : Orange Route
Team Building : สามชายโฉดแห่งเคบิน112
ถึงตอนแรกจะแพลนไปคนเดียว แต่สุดท้ายก็มีเพื่อนติดสอยห้อยตามมาด้วยอีก 2 คนครับ ซึ่งการหาคนไปจอยก็ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายครับ ในมหาลัยผมจะรับน้องตอนปี 1 เพราะงั้นตอนปี 2 จะว่างครับ เพื่อนๆส่วนใหญ่จะเลือกเรียนซัมเมอร์กัน แต่ก็จะมีกลุ่มเล็กน้อยๆที่วางแผนจะไปเวิร์คครับ อยู่ที่เราจะหากันเจอรึป่าว เคสของผมโชคดีหหน่อย ระหว่างเลือกเอเจนซี่ผมบังเอิญไปเจอเพื่อนคณะเดียวกันคนละภาควิชาที่วางแผนจะไปเวิร์คเหมือนกัน แต่ 2 คนนั้นยังไม่ได้ที่ๆจะไปชัดเจน ผมจึงถือโอกาสรวบตัวเข้ามาร่วมทีมได้ไม่ยาก โดย GC ก็มีเสน่ห์ดึงดูดในตัวมันอยู่แล้ว ขาดแค่คนชี้เป้าว่ามีสถานที่แห่งนี้อยู่นะ (ตอนนั้นส่วนใหญ่เพื่อนๆจะไปเวิร์คที่สวนสนุก สวนน้ำ และพวกฟาสฟู๊ดกันครับ ไม่ค่อยแลตามอง Park เท่าไหร่)
Fast Food ร่วมสาบาน
The Process : กรอกใบสมัครสิครับ จะรออะไร!
ที่พร้อม ทีมพร้อม ก็ต้องรีบสมัครสิครับ ผมสมัครเข้าโครงการกับเอเจนซี่ชื่อไทยว่า "ข้ามทะเล" รายละเอียดเรือนรางไปกับวัยที่ร่วงโรยไปแล้วเรียบร้อย แต่โดยคร่าวๆคือ สมัครโครงการ > สอบข้อเขียน/สัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ > บรีฟต่างๆนาๆ > กดเลือกงานในเวป > เตรียมเอกสารการเงิน > ทำวีซ่า J1 > Meeting > เตรียมเดินทาง ประมาณนี้ครับ โดยเราเลือกได้ว่าจะเดินทางกับเอเจนซี่หรือจะไปเอง ถ้าไปกับเอเจนซี่เค้าจะจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินและการเดินทางในประเทศให้หมดครับ รวมถึงส่งคนไปดูแลตั้งแต่หน้าสนามบินจนถึงหน้าที่พักเลยทีเดียว แต่แน่นอนเราจะไปเองครับ อยากประหยัด เอ้ย ผจญภัย 555 (เรื่องงานขอยกไปอธิบายใน Part การใช้ชีวิตใน GC นะครับ จะเห็นภาพชัดเจนกว่า)
The J1 : วีซ่าพาเพลิน
เราไปเวิร์คต้องขอวีซ่า J1 เป็นวีซ่าที่ใช้ทำงานเสียภาษีในอเมริกาได้ระยะนึงครับ โดยปกติหลังจากจบเวลาการทำงานตามสัญญาจ้างแล้ว จะสามารถอยู่ในอเมริกาได้อีก 30 วัน เราก็จะไปเที่ยวกันช่วงนั้น แต่การซื้อของต่างๆในอเมริกา เราจะขอ Tax Refund ที่สนามบินแบบวีซ่าท่องเที่ยวไม่ได้ครับ แต่ Tax ที่หักไปจากค่าจ้างจะทำเรื่องขอคืนได้ในปีถัดไปครับ
เผอิญเอเจนซี่อยู่ตึกตรงข้ามสถานทูตอเมริกาพอดีครับ ทำให้เวลาไปทำวีซ่าก็จะไปเตรียมตัวกับเอเจนซี่ก่อน ตอนผมไปขอไม่ยากครับ แค่จองคิวให้ได้ เตรียมเอกสารให้ครบ เจ้าหน้าที่จะดุนิดนึง ไปสัมภาษณ์ฝรั่งที่สัมภาษณ์ผมใจดีครับเป็นการถามตอบทั่วไป จะมีประเด็นแค่ตอนสแกนลายนิ้วมือเจ้าหน้าที่บอกว่า "Put your left index in to a scanner" ด้วยความฉลาดผมไม่รู้ว่านิ้วมือทั้ง 5 ของเรามีชื่อของตัวเองด้วย เลยมึนไปพักใหญ่ๆ ( โป้ง-thumb ชี้-index กลาง-middle นาง-ring ก้อย-little) เข้าไปในสถานทูตจะต้องฝากกระเป๋าตังกับโทรศัพท์นะครับ ต้องพกตังเข้าไปจ่ายค่าไปรษณีย์ด้วยหากต้องการให้สถานทูตส่งวีซ่าไปให้ที่บ้าน ถ้าออกไปเอาจะเสียเวลามาก
Credit : http://solagroups.com/english/learnenglish/part2/body/
Food for thought : รอกินมาม่า
ด้วยหลายๆคนได้เตือนผมว่าอาหารการกินที่อเมริกาจะไม่หลากหลายเหมือนบ้านเรา จึงควรเตรียมพวกเครื่องปรุงและอาหารสำเร็จรูปได้ไปด้วยป้องกันการคิดถึงรสชาติไทยๆ (tongue-sick //มั่ว) พวกผมจึงเตรียมมาม่ากันไปคนละ 1-2 แพค จำไม่ได้ เอาเป็นว่าพอถึงเอามาม่ามารวมกันยัดใส่ลิ้นชักยาวได้ 3 ชั้น มีเพื่อนเอากะทะไปด้วย(แต่ไม่มีตะหลิว) ส่วนผมมีพวกปลากับหอยกระป๋องไปเผื่อ และน้ำปลาทิพย์รส ซึ่งกลายเป็นสมบัติล้ำค่ามากชิ้นหนึ่งใน GC
สรุปให้ง่ายๆนะครับ สิ่งที่ควร/ไม่ควรนำไป (จคหสต.นะครับ)
ควรนำไป
-มาม่า เลอค่า ถูก ประหยัด เบา ประกอบอาหารพลิกแพลงตะแคงซ้ายขวาได้มากมาย พอกินหมดกระเป๋ามีที่ หิ้วของกลับไทยได้อีกเยอะ
-กระป๋องทั้งหลายแหล่ (อาหารนะครัช) ในช่วงเดือนแรกถ้าเบื่อมาม่า มันช่วยได้ โจ๊กสำเร็จรูปก็ไม่เลวครับ เอามาผสมมาม่าได้อร่อยอีกแบบ
-เครื่องเทศ มีค่ามหาศาลดั่งอยู่ในยุคโคลัมบัสค้นหาอเมริกา เนื่องจากอาหารที่นั่นจืดชืด คุณจะคืดถึงมะนาว และน้ำปลา เตรียมพวกที่เป็นซองๆไปจะดีมาก รวมถึงพวกผงผัดต่างๆนาๆ
ไม่ควรนำไป
-เครื่องครัว จะบอกว่ากะทะที่เอาไปไม่เคยได้ใช้ 555+ ไปซื้อกะทะไฟฟ้าที่นั่นสะดวกกว่า ก่อนกลับก็ขายคืนให้คนที่ขึ้นมาอยู่ต่อได้ คุ้มค่ามากกว่าแบกไปแบกกลับครับ แถมกระทะไฟฟ้าทำได้ทั้งทอดผัดต้มชาบู
-ของที่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นเนื้อสัตว์ เช่นหมูแผ่น หมูหยอง อาจจะจะโดนดักจับตั้งแต่อยู่สนามบินแล้วครับ
เสน่ห์ปลายจวัก ต้องมาฝึกกันถึง USA
Hot or Cold ทะเลทรายจะหนาวหรอ?
เป็นคำถามติดปากครับ ทุกคนจะเกิดการลังเลว่าช่วงที่ไปเวิร์ค (มีนา-พฤษภา) มันจะยังหนาวมั้ย ซึ่งตามฤดูกาลจะเป็นปลายหนาวแล้ว แถมอริโซน่าก็อยู่ค่อนไปทางใต้ บริเวณที่ไปก็เป็นทะเลทราย อันนี้หลายๆคนเฟิร์มมาให้ว่าไม่หนาวครับ อยากจะฝากไปบอกคนเหล่านั้นครับ "ไม่หนาวพ่**" ขึ้นไปใหม่ๆเจอเศษหิมะดำตามข้างทาง เค้าเว้ากันว่า last snow อาทิตย์ถัดมา มันก็มีฝอยขาวๆเย็นๆร่วงลงมาอีก ก็ last snow อีก ประเด็นคือมันร่วงลงมาแทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์ จนอาทิตย์สุดท้ายก่อนจะกลับ มันก็ยังร่วงลงมา last snow ไหมล่ะะะะครัช สรุปหนาวนะ!! พูดเลย
หลักฐานมาครบครัช หิมะเดือนมีนา
หิมะเดือนเมษา
แถมลูกเห็บเดือนพฤษภาให้ด้วย -/\-
สิ่งที่เน้นมากๆเลยสำหรับต่อสู้กับสภาพอากาศใน GC คือโลชั่นสำหรับผิวแห้งมากๆครับ (เพื่อนเรียกโลชั่นทาเท้า) เพราะบน GC อากาศแห้งมาก ชนิดที่ว่าวันไหนไม่ทาโลชั่น พอเอามือลูบหน้าผิวจะหลุดเป็นละอองระยิบระยับดั่งหิมะเดือนห้า อย่างที่สองคือเสื้อหนาวแบบกันลม ถ้าใส่ไหมพรมแบบเกาหลี ก็ได้ตะคริวจับทั้งตัวนะครับ แม้ว่าอริโซน่าจะเป็นทะเลทราย และอยู่ช่วงล่าง แต่ GC นับได้ว่าเป็นเขตที่สูงครับ ประมาณภูกระดึงเลย แถบมันยังราบมากๆ ทำให้ลมแรง+แห้ง+เย็น ควรจะเอาเสื้อหนาวที่กันลมได้ไปครับ รวมถึงหมวก ถึงมือ รองเท้าหนาๆ ได้ใส่เกือบทุกวัน อีกอย่างคือลองจอน ใส่ไว้ไม่งั้นขาลาย อากาศแห้งมันเป็นแผลง่าย ลิปมันก็จำเป็น แต่ถ้าขี้เกียจพก ก็เอาโลชั่นทาเท้านั่นแหละทาไป แต่แนะนำให้ทาปากก่อนค่อยทาเท้านะครับ
ตัวอย่างการแต่งกายในวันหิมะตกที่ไม่ถูกต้อง (อย่าล้อเล่นไป ตะคริวกินหน้าท้องที่นี่ไม่สนุกนะครับ 555)
Other Destination
http://pantip.com/topic/33621110 8 Day With Her "Mother Russia" : แบคแพคเที่ยวรัสเซีย 8 วันในราคาสบายกระเป๋า
http://pantip.com/topic/33819060 Breath of East Java : ทริปภูเขาไฟ 5 วัน ฝ่าฝุ่นควันและกำมะถันแห่งชวาตะวันออก