ธารทิพย์ บทที่ 66

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 65 http://pantip.com/topic/33866639

            คันบังคับเร่งลดรอบเครื่องยนต์ในมือโจถูกดึงถอยหลังมาครึ่งหนึ่งอย่างช้าๆเพื่อลดความเร็ว คุณเป็ดน้ำกดหัวลงเล็กน้อยเมื่อรอบของใบพัดลดลง เธอเริ่มลดระยะสูงร่อนไปข้างหน้ามุ่งสู่ทะเลสาบอันเป็นจุดแตะที่ปรากฏในสายตาอยู่ไกลริบๆ ผ่านผืนป่าและเทือกเขาที่ค่อยๆใกล้กันเข้ามาอย่างช้าๆ

               “น้ำมันมีเยอะขอแฟลปสิบห้าเลยได้มั้ย” โจขอขยายพื้นที่ปีกสิบห้าองศา

               พีหันมาขมวดคิ้วมองหน้าเพื่อนอย่างแปลกใจ

                “ยังอีกตั้งสูง คิดจะทำอะไรวะ” เขาเอ่ยปากถาม

               “ก็อยากบินดูอะไรไปช้าๆหน่อยแค่นั้น” โจตอบหันมองออกไปทางหน้าต่างด้านซ้ายของเขา

                พีเอื้อมมือไปโยกคันบังคับขยายพื้นที่ปีกออกเพื่อให้เรือบินบินช้าลง โจจึงดึงคันเร่งลดรอบของเครื่องยนต์ให้เบาลงอีกตามด้วย

                “เอ้า เชิญชมทัศนียภาพตามสบายท่านเลยนะขอรับ” พีพูดยิ้มๆ

                เรือบินนามว่าคุณเป็ดน้ำร่อนถลาไปกับสายลมด้วยอัตราความเร็วที่ต่ำลงจนผู้ถือคันบังคับพอใจ เธอลื่นไหลลอยล่องออกจากเส้นทางสู่ทะเลสาบอันเป็นจุดแตะข้างหน้าไปอย่างนุ่มนวล สยายปีกโฉบผ่านผืนป่าโตรกผาสูงทะมึนทักทายธรรมชาติไปเรื่อยๆ สองคนเพื่อนเกลอก็ทอดสายตามองภาพอันร่มเย็นไปด้วยกันอย่างใจสงบ จนที่สุดคุณเป็ดน้ำจึงพาทั้งสองมาถึงยังเทือกเขาลักษณะยอดแหลมหลายยอดสูงขึ้นเสียดฟ้า เทือกนี้ทอดตัวโอบล้อมพื้นที่ราบอันเป็นผืนป่าใหญ่ดิบทึบไว้ตรงกลาง

                โจดันคันเร่งเครื่องยนต์เร่งขึ้นอีกครั้งเพื่อรักษาระยะสูงให้คงที่ไว้ แล้วบินโฉบรอบอยู่ภายนอกเทือกเขานั้นโดยไม่ให้ล่วงล้ำเข้าเขตไปภายใน พีมองสลับกันไปมาระหว่างเส้นทางเลาะรอบเทือกเขากับหน้าของโจเพื่อนคู่หู

                “สองรอบแล้วนะ มีอะไรในเทือกเขานั่นวะ บอกซิ” พีจ้องถามอยากให้เพื่อนตอบ

                “รู้จักเทือกเขานี้มั้ย” โจหันมาถามเพื่อน

                “รู้ ภูยม” พีตอบแล้วเอ่ยชื่อ

                “ทำไมเหรอ” เขาถามกลับไป

                “ทำไมเอ็งรู้จักชื่อล่ะ” โจถามไม่หันมามอง เขากำลังบังคับเครื่องให้บินวนรอบอยู่

                “ก็ ปู่ผาเคยบอก” พีตอบห้วนๆ

                “เราลองเข้าไปในนั้นกันมั้ย” โจแกล้งถามลองใจ

                “เข้าไปทำไม ปู่ผาบอกไม่มีมนุษย์เคยเดินเข้าไป” พีตอบไม่มองหน้า

                “ปู่ผาบอก ทำไมข้าไม่เคยได้ยินวะ” โจย้ำถามไม่เปลี่ยนเรื่อง

                “โอ๊ะ ไอ้นี่เซ้าซี้ จะไปรู้เอ็งเหรอว่าทำไมไม่ได้ยิน” พีพูดปัด

                “ไปเหอะ เดี๋ยวลุงไกรคอยนาน” พีเปลี่ยนเรื่อง

                “เอ็งว่าที่ราบกลางหุบนั่นคุณเป็ดน้ำลงจอดได้มั้ยวะ” โจก็แกล้งเปลี่ยนเรื่องถามใหม่

                “นี่ไอ้บ้า เอ็งมีปัญหาอะไรกับตรงนั้นนักหนาเนี่ย บอกมาซิ” พีหันมาพูดเสียงเขียว

                “ถ้าข้าชวนเอ็งบินเข้าไปลงเอ็งจะกล้าเข้าไปมั้ย” โจถามแบบท้าทาย

                พีจ้องหน้าเพื่อนจริงจังแล้วพูดตอบ

                “มา เอาเลยมั้ย อยากลองอีกก็มาข้าบินเอง” พีพูด

                โจหันมาอมยิ้มให้ที่ยั่วเพื่อนได้ ในรอยยิ้มของเขานั้นแฝงนัยบางอย่างของคำว่าอีกที่หลุดออกมาจากปากพีไว้

                “ล้อเล่นไอ้บ้า ใครจะเข้าไป” โจพูดแล้วบิดคันบังคับเพื่อเลี้ยวซ้ายออกจากเขตของเทือกภูยมไป

                ทันทีที่หลุดออกจากเทือกเขามาไม่นาน ภาพเบื้องล่างที่โจยังไม่ได้ใส่ใจมองขณะบินอยู่รอบภูยมก็ปรากฏ จากความทรงจำที่มีอยู่เดิมคือภาพของผืนป่าเต็มพื้นที่ทั่วไปหมด เวลานี้พื้นที่กว้างใหญ่ส่วนที่ติดกับทะเลสาบเป็นเมืองชนบทเล็กๆไม่ใหญ่โตนักตั้งอยู่ มีถนนสามสี่สายใหญ่พอรถยนต์วิ่งทอดตัวยาวอยู่กับเขตชุมชน โจและพีกวาดตามองภาพจนทั่วเมืองเล็กนั้นแล้วจึงหันกลับมาหาการบังคับคุณเป็ดน้ำเพื่อตั้งลำหามุมร่อนลงอีกครั้ง

                “แฟลปฟูล” โจเรียกให้เพื่อนขยายพื้นที่ปีกให้สุดเมื่อเรือบินเข้าสู่การลดระดับลงแตะผิวน้ำ

                พีเอื้อมมือไปโยกคันบังคับตามที่นักบินสั่งโดยไม่ขานรับแต่อย่างใด สีหน้าของชายหนุ่มนิ่งขรึม โจวางสายตาสลับกันระหว่างผิวน้ำที่เป็นจุดแตะกับเครื่องวัดการบินบนแผงตรงหน้าบังคับคุณเป็ดน้ำถลาลงไป หางตาแวบหนึ่งเหลือบมองหน้าเพื่อนแล้วเอ่ยถาม

                “เอ็งเป็นอะไร” โจถามเรียบๆ

                เงียบ ไม่มีเสียงตอบออกจากปากเพื่อนรัก เขาเหลือบตามองครั้งสุดท้ายแล้วหันมาวางสมาธิกับการลงจอด คุณเป็ดน้ำเชิดหัวขึ้นน้อยๆในระยะสูงสิบฟุตก่อนจะถึงผิวน้ำทะเลสาบ วางทุ่นลอยตัวทั้งสองข้างลงฉีกผิวน้ำอย่างนุ่มนวล

                โจปล่อยคุณเป็ดน้ำให้วิ่งตรงต่อไปข้างหน้าโดยไม่รีบเปิดเบรกลดความเร็วมากนักด้วยเหตุผลบางอย่าง จนใกล้จะถึงฝั่งของทะเลสาบด้านหน้ามากแล้วจึงชะลอความเร็วลงจนเกือบหยุด แล้วเลี้ยวซ้ายอย่างช้าๆเมื่อห่างฝั่งเพียงเล็กน้อย เขาหันหน้ามาทางขวาจ้องมองผ่านพีขึ้นไปยังริมฝั่งแล้วมองสบตาเพื่อนเพื่อดูปฏิกิริยา

                พีหันมองออกนอกหน้าต่างตามไปแล้วหันกลับมาหาโจที่มองสบตาเขาอยู่

                “มองอะไรวะ” พีพูดแล้วหันไปมองบนฝั่งอีกครั้ง

                “คุ้นๆมั้ยแถวนี้” โจพูด

                ชายหนุ่มเจตนาให้เพื่อนรักนึกถึงวันที่เขาบินกลับจากการสำรวจภูยม เมื่อลงแตะผิวน้ำแล้วได้มาพบกับพีซึ่งเดินหายไปกับฝูงเสือโคร่งจนมาปรากฏกายอีกครั้งบริเวณนี้

                พีไม่ตอบ เขาส่ายหน้าปฏิเสธด้วยสีหน้าและแววตาแปลกๆ

                “ไม่คุ้นเลยเหรอแถวนี้” โจย้ำถามอีกครั้ง

                “แล้วเอ็งคุ้นเรื่องอะไรล่ะ” พีถามกลับมาบ้าง

                “เออ ไม่คุ้นก็ไม่คุ้น ไป” โจหันมายิ้มพูด

                คุณเป็ดน้ำแล่นไปบนผิวน้ำตรงเข้าหาสะพานท่าเทียบ มันเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น โจและพีจ้องมองลักษณะของมันที่ถูกสร้างให้มีช่องขนาดไม่ใหญ่กว่าความกว้างของทุ่นลอยตัวคุณเป็ดน้ำมากนักอยู่ตรงกลาง ผู้คนที่มารอรับทั้งบนฝั่งและบนท่าเทียบทั้งชายหญิงลูกเล็กเด็กแดงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าชาวป่ามาก มีชายฉกรรจ์ยืนรายล้อมอยู่ที่ช่องกลางของท่าเทียบถือเชือกหลายเส้นอยู่ในมือ

                โจเข้าใจได้ทันทีว่าช่องตรงกลางสะพานท่าเทียบนั้นต้องถูกสร้างด้วยเจตนาให้คุณเป็ดน้ำเข้าจอดอย่างแน่นอน

                “เจริญขึ้นกว่าเดิมจริงๆ” เขาคิดในใจ

                โจหันมามองหน้าพีที่มองมารอสบตาเขาอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองไม่พูดอะไรออกมาสายตาแสดงความรู้สึกเดียวกัน โจชะลอการเคลื่อนที่ของคุณเป็ดน้ำลงให้ความเร็วพอเหมาะแล้วตรงเข้าช่องจอดนั้นอย่างช้าที่สุด ชายฉกรรจ์สองคนโดดขึ้นมายืนบนทุ่นลอยตัวคนละข้างรีบใช้เชือกในมือผูกคานค้ำปีกกับลำตัวของคุณเป็ดน้ำไว้เพื่อให้คนอื่นๆบนท่าช่วยกันฉุดดึงประคองจนเรือบินหยุดสนิทลง

                ชายหนุ่มทั้งสองต่างคนต่างนั่งก้มหน้าก้มตาปิดระบบของเรือบินด้านของตนเองโดยไม่มีการพูดจาอะไรกัน โจใจเต้นระทึกอย่างไม่มีเหตุผลขึ้นมาเฉยๆ เขาเงยหน้าขึ้นสูดหายใจลึกแล้วหันมองเพื่อน

                “เสร็จนะ” โจถามสั้นๆ

                “อืม เสร็จ” พีก็ตอบกลับสั้นๆ

                โจจ้องหน้าเพื่อนรักของเขาซึ่งหลบตาหันไปมองทางด้านนอกอยู่แล้วพูดขึ้น

                “นี่ไอ้พี เอ็งเป็นอะไรไม่พูดไม่จา บอกข้ามาตรงๆซิ” โจพูด

                “เอ็งกำลังรู้สึกเหมือนกับข้าใช่มั้ย” พีถามเบาๆไม่หันมามอง

                โจขยับตัวชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างทั้งด้านหน้าด้านข้างอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมองมองหน้าเพื่อนสบตากันอีกครั้ง

                “สภาพแบบนี้ เอ็งก็เพิ่งมาเห็นครั้งแรกใช่มั้ยไอ้พี” โจจ้องหน้าถาม

                ทั้งสองเพื่อนรักเพื่อนร่วมตายสบตากันนิ่งก่อนที่พีจะพูดขึ้น

                “ไปวะสะธารามากับกู รู้ใช่มั้ยไอ้โจ” คำถามเสียงหนักแน่น

                “กูรู้” โจรับคำแล้วมองไปด้านนอก น้ำตาไหลพรากลงทันทีที่ได้รู้ว่าเพื่อนรักของเขาก็ยังคงสำนึกทรงจำนั้นอยู่

                “แล้วทำไมไม่บอกกูแต่แรกว่ายังรู้ยังจำได้” โจถามเพื่อน

                “ไอ้โจ กูฝังร่างไปกับน้ำป่าด้วยมือกูเอง” พีพูดน้ำตาไหล

                “กูเสียบหัวใจตัวเองด้วยดาบนรรัตน์เพื่อชดใช้แทนให้กับท่านพยัคฆราช”

                “แล้วกูก็รู้สึกตัวขึ้นที่ห้องในโรงพยาบาล นอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้”

                “ไม่มีใครอยู่ข้างกูเลย ลุงไกร  เหมียว สร้อยแก้ว พี่โละ ไม่มีใครเลย”

                “กูต้องรวบรวมสติรวบรวมสำนึกรู้อยู่คนเดียวว่าตอนนี้กูอยู่ที่ไหน”

                “จะให้กูบอกใครต่อใครว่ายังไง บอกตัวเองยังไม่ค่อยจะแน่ใจเลย”

                “แล้วกูจะรู้มั้ยว่าจะตื่นขึ้นมาด้วยสถานะอะไร”

                “เหลือลุงไกรคนเดียวที่อินทปัตถ์นั่น ในสำนึกสุดท้ายของกู”

                “เรื่องลุงไกรกับแคว้นเล็กๆนี่ กูก็แค่เฝ้าฟังพ่อแม่เค้าคุยกัน”

                “ก็เพิ่งมาเห็นพร้อมเอ็งนี่ล่ะ” พีพูดด้วยความรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้พูดออกไป

                “ข้าก็ยังจำได้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เอ็งกลัวเหมือนกับข้าใช่มั้ยที่จะก้าวลงไปนี่” โจพูด

                “มันดีขึ้นแน่ สำหรับคนกับสถานที่ ถ้าจะกลัวก็กลัวว่าจะลงไปเจออะไรอีกรึเปล่าเท่านั้น” พีตอบ

                ทั้งสองกลับมายิ้มให้กันทั้งน้ำตาอีกครั้ง

                “ไป ลง ผ่านที่นั่นมาได้แล้วโลกนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว” พีพูดเรียกกำลังใจ

                ประตูห้องนักบินสองด้านเปิดออกเมื่อเขาทั้งสองเช็ดหน้าเช็ดตาเรียบร้อย รอยยิ้มอบอุ่นของผู้มารอรับทุกคนช่วยพวกเขาได้มากทีเดียวเมื่อก้าวเท้าลงบนทุ่นลอยตัวของเรือบิน  อาคันตุกะทั้งคู่พนมมือไหว้กราดสวัสดีทักทายไปจนทั่วแล้วจบลงที่บุคคลที่ยืนยิ้มละไมรออยู่

                อีกสามชีวิตของครอบครัวที่ฟันฝ่าไปด้วยกันบัดนี้ยืนยิ้มรับอยู่ตรงหน้า ท่านลุงไกรศักดิ์ในชุดพื้นเมืองดูมีฐานะ พี่โละยังยืนอยู่เคียงข้างเหมือนอดีตชาติด้วยเสื้อใส่ทับชายและกางเกงสีกากีดูเป็นเครื่องแบบ และสุดท้ายที่ส่งรอยยิ้มหวานสดใสมาคือสาวสวยในชุดเสื้อกางเกงเดินป่าสะอาดตาน้องสร้อยแก้ว

                โจและพีตรงเข้าไปกราบบนอกของท่านลุงพร้อมกัน

                “สวัสดีครับคุณลุง” ชายหนุ่มกล่าวคำ

                “เป็นยังไงบ้างลูก โจ หายดีแล้วนะ พีล่ะลูก” ท่านลุงยิ้มถาม

                “สบายดีแล้วครับคุณลุง” โจตอบ

                “ผมก็สบายดีครับ” พีพูดตาม

                “สวัสดีครับพี่โละ” สองหนุ่มยิ้มทักแล้วยกมือไหว้

                ชายวัยเริ่มจะกลางคนยกมือยิ้มรับไหว้ไม่พูดอะไรเช่นบุคลิกเดิม

                “พี่โจพี่พี” เสียงทักสดใสมาจากสาวสร้อยและเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ

                “ไงสร้อย แล้วเอ่อ..” โจทักอึกอักหันไปมองหน้าเพื่อนที่สีหน้าเหลอหลาให้ช่วย

                “อ้าวพี่โจเป็นอะไรคะ นี่ณิชาไง ทำไมจำไม่ได้” สาวสร้อยถามสงสัย

                โจมองหน้าเด็กน้อยตาใสแล้วยิ้มแหยๆ ใบหน้าของน่อเซิ่งในชุดสวยน่ารักแบบเด็กชาวกรุง

                “พี่เค้าแกล้งอำเล่นน่ะ เห็นวันนี้สวยจนจำไม่ได้” พีหาทางออกจนได้แล้วยิ้มสบตากับเพื่อน

                “หนูตามท่านปู่ไกรกับพี่สร้อยมาเที่ยวด้วยจ้ะ” ณิชาพูดยิ้มหน้าบานที่ถูกชม

                “แล้วพ่อแงซาล่ะ อยู่ไหน” โจถามหา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่