“แจ๊ด” ติดคุก “ญี่ปุ่น” ยังไม่พอ ต้องกลับมาติดคุก “ไทย” ด้วย

กระทู้สนทนา
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เป็นที่ชัดเจนเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่า “บิ๊กแจ๊ด-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) จะต้องมีคำนำหน้าชื่อใหม่ว่า “นักโทษชาย” และต้องติดคุกติดตะรางในต่างแดนเป็นเวลาแรมปีจากโทษอาญาข้อหาหนักพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตเข้าประเทศญี่ปุ่น
       
       ทั้งนี้ ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งเห็นได้ชัดว่า โอกาสรอดมีน้อยยิ่ง เพราะปืนเจ้าปัญหา North American Arms .22 Magnums ที่บิ๊กแจ๊ดพกไปนั้น ส่อเค้าเป็น ปืนเถื่อนไม่มีทะเบียน
       
       ซ้ำร้ายเมื่อย้อนกลับไปดูบทสัมภาษณ์ของบิ๊กแจ๊ดในอดีตที่ผ่านมาก็ยิ่ง เห็นชัดว่า บิ๊กแจ๊ดตั้งใจที่จะพกปืนติดตัวตลอดเวลาจนเป็นนิสัย มิได้หลงลืมแต่ประการใด
       
       หนักไปกว่านั้นก็คือ การเดินทางไปญี่ปุ่นของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ยังมีเงื่อนงำเกี่ยวธุรกิจโรงไฟฟ้าจากขยะซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่อดีตนายตำรวจผู้กว้างขวางแห่งเมืองปทุมธานีผู้นี้รับงานเป็น “ล็อบบี้ยิสต์” เพื่อเคลียร์ปัญหากับบรรดานักการเมืองท้องถิ่น รวมถึงการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าอีกด้วย
       
       กระนั้นก็ดี คดีของบิ๊กแจ๊ดยังส่งผลอาฟเตอร์ช็อกแสดงให้เห็นถึงปัญหาความห่วยในประเทศไทยที่จำเป็นต้องปฏิรูปและแก้ไขเป็นการเร่งด่วน โดยเฉพาะหน่วยงานที่พยายาม “อุ้ม” อย่าง “บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัดมหาชน หรือ ทอท.” ซึ่งพยายามปกปิดความด้อยประสิทธิภาพของตนเองในระบบตรวจตราและรักษาความปลอดภัย รวมถึงหน่วยงานที่พยายาม “ช่วย” อย่าง “กระทรวงการต่างประเทศ” ด้วยเหตุผลที่ไม่เข้าท่า
       
       วิบากกรรมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ บอกได้คำเดียวว่า “หนักหนาสาหัส” เหลือประมาณเพราะนอกจากจะต้องติดคุกในประเทศญี่ปุ่นแล้วยังต้องกลับมาติดคุกต่อในประเทศไทยอีกด้วย
       
       “แจ๊ด” ตั้งใจพกปืน(เถื่อน)ไปญี่ปุ่น
       
       เรื่องราวของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ยังคงเป็นประเด็นที่ร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง และยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประเด็นที่ต้องขยายความและชำแหละแคะคุ้ยออก มามากมาย
       
       เรื่องแรกที่ถือเป็นประเด็นสำคัญที่สุดคือเรื่องปืน North American Arms .22 Magnums ซึ่งตำรวจญี่ปุ่นตรวจพบว่าถูกซุกซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าสะดายที่จะนำติดตัวขึ้นเครื่องบินของสายการบินไทยเพื่อเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2558
       
       ทั้งนี้ เมื่อตำรวจญี่ปุ่นได้นำอาวุธปืนดังกล่าวส่งไปยังสำนักงานพิสูจน์หลักฐานของตำรวจญี่ปุ่นเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อทดสอบว่าปืนดังกล่าวมีอานุภาพรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และถูกต้องตามกฎหมายไทยหรือไม่ ก่อนที่จะนำข้อมูลการตรวจสอบทั้งหมดเสนอให้อัยการญี่ปุ่นพิจารณาประกอบสำนวนว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้องต่อไป
       
       และผลการตรวจสอบพบว่า ปืนกระบอกดังกล่าวมีเพียงหมายเลขประจำปืนที่สลักไว้ บ่งบอกถึงการผลิตจากโรงงานและเป็นการควบคุมของโรงงานผู้ผลิตว่า ปืนขนาดดังกล่าวถูกนำไปขายที่ประเทศใดบ้าง โดยโรงงานผู้ผลิตจะสลักตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษและหมายเลขอารบิกไว้ที่ตัวปืน
       
       ขณะที่การตรวจสอบเรื่องทะเบียนปืน มีข้อมูลว่า เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานของญี่ปุ่นพยายามตรวจหาหมายเลขทะเบียนปืน ซึ่งหากเป็นอาวุธปืนที่เสียภาษีอย่างถูกต้องของประเทศไทยน่าจะตอกตัวอักษรไทยและเลขไทยไว้ตรงด้ามจับ แต่ก็ยังตรวจไม่พบ หรือแปลญี่ปุ่นเป็นไทยคือ เจ้าปืนลูกโม่จิ่งกระบอกนี้น่าจะเป็น “ปืนเถื่อน” เสียด้วยซ้ำไป
       
       สอดคล้องกับข้อมูลที่มีรายงานออกมาว่า นายตรีลุพท์ ธูปกระจ่าง ลูกชายของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ซึ่งบินด่วนไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำหลักฐานเกี่ยวกับอาวะปืนไปมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นนั้น ทำไปทำมากลายเป็นคนละกระบอก โดยเจ้าลูกโม่จิ๋วสัญญาณอเมริกันของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ที่ถูกยึดไว้นั้น เป็นปืนที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ได้จากเพื่อนและเป็นปืนที่ไม่มีทะเบียนด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับ North American Arms .22 Magnums กระบอกนี้นั้น มีข้อมูลที่น่าสนใจที่มีการเปิดเผยโดยเฟซบุ๊กแฟนเพจพลังประชาชนโค่นระบอบทักษิณที่ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ในอดีตของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เมื่อครั้งมียศ พล.ต.ต.และดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
       
       บทสัมภาษณ์ดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้...
       
       “ที่พกติดตัวมี 4 กระบอก แล้วแต่สถานการณ์ กระบอกแรกในชีวิต คือ สมิธแอนด์เวสสัน .357 MAGNUM รมดำ ลำกล้อง 4 นิ้ว ซื้อมาตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ กระบอกนี้เด็ดชีพโจรมาเยอะ ยิงแก๊งลักรถ วิสามัญฯ แก๊งยาเสพติด ยิ่งตอนหลังไปแต่งไก แต่งศูนย์ ทำด้ามจับใหม่วัดขนาดอุ้งมือ ยิงแล้วกระชับมาก
       
       วิสามัญฯ โจ ด่านช้าง กับพวก 6 ศพ ที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ก็ใช้กระบอกนี้...
       
       มากกว่า 15 ครั้ง ที่ต้องปะทะกับคนร้าย ใช้กระบอกนี้ตลอด
       
       ไม่นับตอนเป็นผู้การฯ นราธิวาส ตอนนั้นไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง
       
       กระบอกที่ 2 พกติดตัวเป็นปืนลูกโม่ NORTH AMERICAN ARMS ขนาด .22 บรรจุ 5 นัด ด้ามเป็นพลาสติกพับเก็บได้ เหน็บเข็มขัดเหมือนพกแพ็คลิ้งค์ ไม่มีใครรู้
       
       เล็กขนาดนี้ คำรณวิทย์บอกระยะ 100 หลา ไม่มีพลาด ...
       
       กระบอกต่อมา เป็นปืนแมกกาซีน BERETTA MOD.950 ขนาด 6.35 ด้ามมุก ผูกขาบ้าง เอาไว้ในเสื้อแจ๊กเก็ตบ้าง แล้วแต่สถานการณ์
       
       แต่ที่พกติดตัวเลยคือ S&W ขนาด .357 ลำกล้อง 2 นิ้ว นกในที่ว่าพิเศษคือ กระบอกทำด้วยวัสดุที่ใช้สร้างยานอวกาศ น้ำหนักเบามาก”
       
       งานนี้ แม้ไม่ได้ระบุว่า เป็นบทสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์เอาไว้ในหนังสือเล่มไหน เมื่อไหร่ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่น่าจะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาได้ว่า ข้อมูลที่พยายามให้ข่าวออกมาเรื่องเป็นปืนที่หายไปและหาไม่เจอนั้นมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน เพราะงานนี้มิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ตั้งใจพกปืนไปจริงๆ
       
       แล้วถ้าเป็นปืนกระบอกเดียวกัน แสดงว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ซึ่งเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั้น พกปืนไม่มีทะเบียนอยู่ตลอดเวลา
       
       ...แค่พกปืนธรรมดาก็หนักหนาสาหัสแล้ว ถ้าเป็นปืนเถื่อนอีกก็ยิ่งหนักไปกว่าเก่า
       
       และต้องบอกว่า ไม่เฉพาะโทษทัณฑ์ที่ต้องรับจากประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ยังต้องกลับมารับข้อหาในประเทศไทยด้วย เนื่องจากพกปืนเถื่อนที่ไม่มีใบอนุญาตอีก 1 กระทง
       
       ไขปริศนา 3 เส้นทางพกปืนเข้าญี่ปุ่น
       
       ทีนี้ มาถึงคำถามที่ยังไม่มีใครให้คำตอบชัดๆ ว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์นำปืนออกนอกประเทศไปได้อย่างไร เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันข้อมูลชัดเจนตรงกันว่า ตรวจไม่พบ
       
       ประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะประธานกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) ระบุชัดว่า ไม่พบหลักฐานว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์พกปืนออกจากสนามบิน
       
       พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ยืนยันไปในทำนองเดียวกันว่าพล.ต.ท.คำรณวิทย์ไม่ได้ใช้สิทธิพิเศษในการออกนอกประเทศและผ่านการตรวจค้นร่างกายและกระเป๋าสัมภาระตามขั้นตอนจากเครื่องซีทีเอกซ์ โดยไม่พบปืนกระบอกดังกล่าว
       
       สอดคล้องกับข้อมูลที่ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้บันทึกรายงานผลการตรวจสอบการเดินทางออกนอกประเทศของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เพื่อเสนอต่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า เดอะแจ๊ดเดินทางไปญี่ปุ่นโดยใช้กระเป๋า 3 ใบ มีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ที่โหลดลงใต้ท้องเครื่องบิน ส่วนกระกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กสีขาว 1 ใบถือขึ้นเครื่องพร้อมกระเป๋ากระสายสีดำอีก 1 ใบ โดยได้ผ่านช่องตรวจสัมภาระผู้โดยสารปกติ มีการแจ้งเตือนสัญญาณช่องเอกซเรย์ของ ทอท. และมีการเรียกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ แต่ไม่พบอาวุธในกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กและกระเป๋าสะพาย
       
       จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าช่องทางที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์นำปืนออกไปได้นั้นมี 3 ช่องทาง
       
       ช่องทางแรกผ่านกระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ที่โหลดลงใต้ท้องเครื่องบิน ซึ่งต้องผ่านการตรวจจากเครื่อง CTX และเป็นไปได้หรือว่า เครื่อง CTX จะไม่สามารถตรวจหาเจอ เพราะในความเป็นจริงมีข้อมูลตรงกันว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ไม่ได้พกแค่เจ้าปืนลูกโม่ขนาดจิ๋วเปล่าๆ หากแต่มีลูกกระสุนรวมอยู่ด้วยถึง 5 นัด
       
       นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเองว่า เครื่อง CTX เป็นเครื่องที่สามารถตรวจวัตถุระเบิดสารตั้งต้นระเบิด หรือสารกัมมันตรังสี
       
       นายนิตินัยบอกเสียงดังฟังชัดว่า “หากปืนดังกล่าวโหลดไปใต้ท้องเครื่องบินก็คงไม่เห็น”
       
       แต่คำถามที่ต้องถามย้ำก็คือ ถ้า พล.ต.ท.คำรณวิทย์โหลดปืนในกระเป๋าสัมภาระจริง เป็นไปได้หรือที่เครื่อง CTX จะตรวจไม่เห็น เพราะเดอะแจ๊ดพกลูกกระสุนไปด้วยถึง 5 นัด
       
       ตรรกะง่ายๆ ที่ต้องการคำตอบมีอยู่ว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ คนมิโหลดปืนและลูกกระสุนใต้ท้องเครื่องบินกันสบายใจเฉิบหรอกหรือ
       
       ทีนี้ ก็มาถึงช่องทางที่ 2 คือพกปืนและเครื่องกระสุนขึ้นเครื่องบิน
       
       ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.ใครหลายคนดังที่เอ่ยชื่อมาแล้วข้างต้นก็บอกอีกว่า ตรวจไม่พบ
       
       เป็นไปได้อย่างไรที่เครื่องเอกซเรย์จะแสกนแล้วมองไม่ออกว่าเป็นปืนและลูกกระสุน
       
       ขนาดกรรไกรตัดเล็บอันกระจิ๋วหลิวยังมองเห็น
       
       เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าหน้าที่ที่ประจำจุดตรวจค้น ซึ่งผ่านการทำงานมาเป็นเวลานานจะมองไม่ออกว่าเป็นปืนและลูกกระสุน
       
       ยิ่งถ้าเป็นปืนขนาด .38 ตามที่พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 ว่า “ยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดว่าปืนกระบอกดังกล่าวเป็นปืน .38 หรือ .22 กันแน่ อาจมีความคลาดเคลื่อนได้” ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะ .38 นั้น ขนาดต่างกับ NORTH AMERICAN ARMS ราวฟ้ากับเหว
       
       ค้นไม่เจอหรือไม่กล้าค้น
       
       หรือไม่เป็นช่องทางที่ 3 คือมีคนหิ้วไปให้ ซึ่งจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจากเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้
       
       ดังนั้น งานนี้ไม่ว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์จะพกพาปืนเข้าญี่ปุ่นไปด้วยวิธีใดปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่เครื่อง CTX หรือเครื่องเอกซเรย์ หากแต่อยู่ที่ ทอท.และ ตม.โดย “คนของ ทอท.และ ตม.” ซึ่งอำนวยความสะดวกให้นายตำรวจผู้มากบารมีคนนี้
       
       ร้ายไปกว่านั้นคือ กรณีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ยังทำให้ทราบด้วยว่าระบบการบันทึกข้อมูลการตรวจเช็กกระเป๋าจากระบบ CTX จะเก็บไว้เพียง 3 วันเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ระบบการรักษาความปลอดภัยของไทยนั้นย่ำแย่ เพียงใด
       
       ขณะที่ “บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน)” เองก็ต้องดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เช่นกัน เพราะมีความผิดทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ.2497 ซึ่งมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 80,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       แต่ถามว่า การบินไทยจะฟ้องร้องหรือไม่
       
       เรื่องนี้...คำตอบอยู่ในสายลม เพราะจนกระทั่งป่านนี้ยังไม่มีท่าทีใดๆ ออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
       
       เมื่อ ฯพณฯธนศักดิ์ประกาศใช้ความสัมพันธ์อันดีช่วยเหลือ
       
       ไม่เพียงแต่ ทอท.ที่ชักแม่น้ำทั้ง 5 วนไปวนมาหาสาระสำคัญอะไรไม่ได้เท่านั้น หากแต่สังคมยังกำลังจับตาท่าทีของ “รัฐบาลไทย” ด้วยว่า จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่