สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกตั้งแต่ Pantip เปลี่ยนรูปแบบใหม่ตั้งแต่ปี 56
วันนี้ขออนุญาตแชร์ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้น ตามหัวข้อเลยค่ะ
เช้าวันศุกร์อันแสนวุ่นวาย ณ ซอยเล็กๆ ซอยหนึ่งในเมืองหลวง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าก็ตั้งหน้าตั้งตาค้าขายกันอย่างขะมักเขม้น บรรดาลูกค้าผู้มีการศึกษาและมีอันจะกินบ้างไม่มีกินบ้าง ก็ตั้งอกตั้งใจจับจ่ายซื้อของ ไม่มีใครสนใคร
ขณะที่ชั้นกำลังจะเดินพ้นปากซอยที่สุดแสนจะวุ่นวายนั้น แถวฝูงชนก็หยุดนิ่ง เมื่อมองไปด้านหน้าก็เห็นคุณแม่กับลูกวัยอนุบาลยืนอยู่ คุณแม่กำลังหันหลังกลับจากร้านขายเสื้อผ้าที่ตนกำลังเลือกซื้ออยู่ เพื่อจะก้มลงไปหยิบกระติกน้ำของลูกน้อย แต่แล้วมีชายสูงวัยคนหนึ่ง ตัวเตี้ยๆ หลังค่อมๆ ก้มลงไปเก็บกระติกน้ำให้หนูน้อยก่อน คุณแม่ก็กล่าวขอบคุณ และเหตุการณ์ก็กลับคืนสู่สภาวะปกติเหมือนไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น
แต่เมื่อขบวนฝูงชนเริ่มขยับ ลุงคนนั้นเริ่มออกเดินต่อไป ชั้นก็เห็นความผิดปกติ เนื่องจาก ลุงเดินขากะเผลก หรือเรียกว่าขาเป๋ พร้อมแบกกองหนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่งที่มีความสูงเกือบครึ่งตัวของลุง เดินกะเผลกไปมา
นาทีนั้นเองชั้นสะท้อนใจอย่างแรงว่า ผู้คนมากมายที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้น อดทนเห็นภาพเหล่านั้นได้อย่างไร ลุงขาเป๋ แบกกองหนังสือพิมพ์ ก้มลงเก็บกระติกน้ำให้เด็กน้อย ชั้นเองก็เกือบจะเป็นคนหนึ่งที่โดนสังคมเสื่อมทรามกลืนกินไปเช่นกัน เกือบจะเฉยชาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอถึงปากซอยชั้นเดินไปทางซ้าย ลุงเดินไปทางขวา แยกทางกันไป เป็นอันจบ
แต่ชั้นก็ทำใจไม่ได้ จึงหยุดอยู่กับที่ พร้อมคิดว่าลุงเอาหนังสือพิมพ์เหล่านั้นไปทำอะไร เอาไปขาย หรือไปส่งให้ร้านค้า แต่เหลือบไปเห็นลุงมีกระเป๋าสีดำคาดเอวอยู่ ก็สันนิษฐานว่าลุงต้องขายหนังสือพิมพ์แน่ๆ ชั้นจึงเดินตามลุงไป แต่.......... ลุงเดินข้ามถนนไปแล้ว
ชั้นเป็นคนที่กลัวการข้ามถนนที่สุด และจุดที่ข้ามไม่มีสัญญาณไฟคนข้าม หากจะเดินกลับไปตรงจุดที่มีสัญญาณไฟ ก็เกรงว่าลุงจะคลาดสายตาไป คนขี้ขลาดอย่างชั้นจึงได้แต่ยืนมองว่าลุงข้ามไปแล้วจะเดินไปทางไหน แล้วลุงก็หยุดนั่งริมฟุตบาท หน้าประตูร้านค้าที่ยังปิดอยู่ พร้อมวางกองหนังสือพิมพ์ลงกับพื้น
เห็นดังนั้น ชั้นจึงตัดสินใจข้ามถนน พร้อมกับคิดว่า “เอาวะ คิดดีทำดี ถ้ารถจะชนก็ให้มันรู้ไป” ว่าแล้วก็มองซ้ายมองขวา รถโล่งมาก แทบไม่ต้องหยุดรอให้รถผ่านไป แล้วชั้นก็รีบข้ามถนนเพื่อไปซื้อหนังสือพิมพ์ ชั้นเป็นลูกค้ารายแรกของวันนี้ ลุงคงงง วางปุ๊บมาปั๊บ แถมข้ามถนนแล้วตรงมาซื้อหนังสือพิมพ์เลย ลุงก็ชวนคุยนิดหน่อย หนูทำงานที่ไหน เลิกกี่โมง แล้วคุณป้าเจ้าของร้านข้างๆ ก็เดินออกมาแซวลุงว่า วางปุ๊บขายได้ปั๊บเลย ลุงยิ้มๆ แล้วชั้นก็จากมา
อาจจะเล่าไม่เก่ง และยาวไปหน่อย แต่อิ่มเอมใจ ที่ในสังคมนี้ บ้านเมืองนี้ ยังมีคนดีๆ ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่ดี แต่รับรู้ได้เลยว่าจิตใจลุงดีมาก ราคาขายหนังสือพิมพ์ก็ไม่เอาเปรียบ ขาย 10 บาท เท่ากับร้านค้าทั่วไป (เคยมีประสบการณ์สงสารคนแก่แล้วซื้อของได้ราคาแพงกว่าที่ซื้อทั่วไป บอกเลยกลัวเคสแบบนี้มาก) ถึงแม้ร่างกายจะพิการ แต่จิตใจของลุงไม่พิการเลย ทำมาหากินสุจริต คนเช่นลุงนี้หาได้ยากจริงๆ ในสังคมเมืองหลวงแห่งนี้ ชั้นจึงอดใจไม่ไหวที่จะต้องถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ นี้ให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ว่า ยังมีมุมเล็กๆ เช่นนี้ ที่ทำให้สังคมเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
ปล. 1 แอบเสียใจที่ไม่ได้ถ่ายรูปลุงไว้ จะได้แชร์ให้เพื่อนๆ ไปอุดหนุนกันเยอะๆ
ปล. 2 #พิกัดที่พบลุง คือ ถนนดินสอ ค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
แชร์ความรู้สึกดีๆ ที่ได้พบเจอในสังคมเมืองหลวง (ที่ไม่คาดว่าจะได้พบ)
วันนี้ขออนุญาตแชร์ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้น ตามหัวข้อเลยค่ะ
เช้าวันศุกร์อันแสนวุ่นวาย ณ ซอยเล็กๆ ซอยหนึ่งในเมืองหลวง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าก็ตั้งหน้าตั้งตาค้าขายกันอย่างขะมักเขม้น บรรดาลูกค้าผู้มีการศึกษาและมีอันจะกินบ้างไม่มีกินบ้าง ก็ตั้งอกตั้งใจจับจ่ายซื้อของ ไม่มีใครสนใคร
ขณะที่ชั้นกำลังจะเดินพ้นปากซอยที่สุดแสนจะวุ่นวายนั้น แถวฝูงชนก็หยุดนิ่ง เมื่อมองไปด้านหน้าก็เห็นคุณแม่กับลูกวัยอนุบาลยืนอยู่ คุณแม่กำลังหันหลังกลับจากร้านขายเสื้อผ้าที่ตนกำลังเลือกซื้ออยู่ เพื่อจะก้มลงไปหยิบกระติกน้ำของลูกน้อย แต่แล้วมีชายสูงวัยคนหนึ่ง ตัวเตี้ยๆ หลังค่อมๆ ก้มลงไปเก็บกระติกน้ำให้หนูน้อยก่อน คุณแม่ก็กล่าวขอบคุณ และเหตุการณ์ก็กลับคืนสู่สภาวะปกติเหมือนไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น
แต่เมื่อขบวนฝูงชนเริ่มขยับ ลุงคนนั้นเริ่มออกเดินต่อไป ชั้นก็เห็นความผิดปกติ เนื่องจาก ลุงเดินขากะเผลก หรือเรียกว่าขาเป๋ พร้อมแบกกองหนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่งที่มีความสูงเกือบครึ่งตัวของลุง เดินกะเผลกไปมา
นาทีนั้นเองชั้นสะท้อนใจอย่างแรงว่า ผู้คนมากมายที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้น อดทนเห็นภาพเหล่านั้นได้อย่างไร ลุงขาเป๋ แบกกองหนังสือพิมพ์ ก้มลงเก็บกระติกน้ำให้เด็กน้อย ชั้นเองก็เกือบจะเป็นคนหนึ่งที่โดนสังคมเสื่อมทรามกลืนกินไปเช่นกัน เกือบจะเฉยชาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอถึงปากซอยชั้นเดินไปทางซ้าย ลุงเดินไปทางขวา แยกทางกันไป เป็นอันจบ
แต่ชั้นก็ทำใจไม่ได้ จึงหยุดอยู่กับที่ พร้อมคิดว่าลุงเอาหนังสือพิมพ์เหล่านั้นไปทำอะไร เอาไปขาย หรือไปส่งให้ร้านค้า แต่เหลือบไปเห็นลุงมีกระเป๋าสีดำคาดเอวอยู่ ก็สันนิษฐานว่าลุงต้องขายหนังสือพิมพ์แน่ๆ ชั้นจึงเดินตามลุงไป แต่.......... ลุงเดินข้ามถนนไปแล้ว
ชั้นเป็นคนที่กลัวการข้ามถนนที่สุด และจุดที่ข้ามไม่มีสัญญาณไฟคนข้าม หากจะเดินกลับไปตรงจุดที่มีสัญญาณไฟ ก็เกรงว่าลุงจะคลาดสายตาไป คนขี้ขลาดอย่างชั้นจึงได้แต่ยืนมองว่าลุงข้ามไปแล้วจะเดินไปทางไหน แล้วลุงก็หยุดนั่งริมฟุตบาท หน้าประตูร้านค้าที่ยังปิดอยู่ พร้อมวางกองหนังสือพิมพ์ลงกับพื้น
เห็นดังนั้น ชั้นจึงตัดสินใจข้ามถนน พร้อมกับคิดว่า “เอาวะ คิดดีทำดี ถ้ารถจะชนก็ให้มันรู้ไป” ว่าแล้วก็มองซ้ายมองขวา รถโล่งมาก แทบไม่ต้องหยุดรอให้รถผ่านไป แล้วชั้นก็รีบข้ามถนนเพื่อไปซื้อหนังสือพิมพ์ ชั้นเป็นลูกค้ารายแรกของวันนี้ ลุงคงงง วางปุ๊บมาปั๊บ แถมข้ามถนนแล้วตรงมาซื้อหนังสือพิมพ์เลย ลุงก็ชวนคุยนิดหน่อย หนูทำงานที่ไหน เลิกกี่โมง แล้วคุณป้าเจ้าของร้านข้างๆ ก็เดินออกมาแซวลุงว่า วางปุ๊บขายได้ปั๊บเลย ลุงยิ้มๆ แล้วชั้นก็จากมา
อาจจะเล่าไม่เก่ง และยาวไปหน่อย แต่อิ่มเอมใจ ที่ในสังคมนี้ บ้านเมืองนี้ ยังมีคนดีๆ ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่ดี แต่รับรู้ได้เลยว่าจิตใจลุงดีมาก ราคาขายหนังสือพิมพ์ก็ไม่เอาเปรียบ ขาย 10 บาท เท่ากับร้านค้าทั่วไป (เคยมีประสบการณ์สงสารคนแก่แล้วซื้อของได้ราคาแพงกว่าที่ซื้อทั่วไป บอกเลยกลัวเคสแบบนี้มาก) ถึงแม้ร่างกายจะพิการ แต่จิตใจของลุงไม่พิการเลย ทำมาหากินสุจริต คนเช่นลุงนี้หาได้ยากจริงๆ ในสังคมเมืองหลวงแห่งนี้ ชั้นจึงอดใจไม่ไหวที่จะต้องถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ นี้ให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ว่า ยังมีมุมเล็กๆ เช่นนี้ ที่ทำให้สังคมเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
ปล. 1 แอบเสียใจที่ไม่ได้ถ่ายรูปลุงไว้ จะได้แชร์ให้เพื่อนๆ ไปอุดหนุนกันเยอะๆ
ปล. 2 #พิกัดที่พบลุง คือ ถนนดินสอ ค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ