มนุษย์เป็นเผ่าที่ต้องการการยอมรับทางสังคมสูงมาก



คนเราไม่สามารถเป็นตัวเราเองในความเข้าใจของคนอื่นได้


            เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกรอเทปอีกครั้ง  กลับมาพล็อตเดิม แต่เปลี่ยนตัวละคร

               เมื่อหลายปีก่อนตอนเราอยู่ ม.๖ เทอม ๒ มีอาจารย์คณิตศาสตร์มาใหม่ ในการสอบเก็บคะแนนครั้งแรก นั่งกันอยู่บนม้านั่งใต้ตึก รู้สึกจะเป็นบทแคลคูลัส นั่งสอบกระจายตัวกันอย่างกราฟเบี่ยงเบน  โดยเพื่อนก็ลอกกันไปลอกกันมา ทีนี้อาจารย์คนนั้นกล่าวหาเราว่าส่ง sms ไปขอคำตอบจากเพื่อน

                เราไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างไร คือตั้งแต่เราเรียนอนุบาลมา เราไม่เคยลอกข้อสอบเพื่อนเลย จะมีก็แต่แบ่งคำตอบให้เพื่อนบ้าง เราไม่รู้จักอาจารย์คนนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าพื้นฐานแกเป็นคนอย่างไร แต่อาจารย์ที่สอนเราตั้งแต่ ม.๖ เทอมแรกส่งเราไปแข่งเพชรยอดมงกุฎคณิตศาสตร์

                ณ เวลานั้น เรายอมรับว่าเราโกรธอาจารย์คนนั้นมาก แต่จะร้ายจะดีก็กลับกลายเป็นว่าสุดท้ายเราก็จำชื่ออาจารย์ท่านนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ


                สุดท้ายแล้วคนที่พูดโดยไม่แคร์ความรู้สึกเรา  เขาก็จบหายไปกับชีวิตเราอยู่ดี  ในห้าปี สิบปี ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในมโนภาพของเราแล้ว เราจะไปแคร์เขาทำไม?



Adaptation is survivor.
                ต่อเนื่องจากเรื่องข้างบน  เราจะอยู่ได้หรือเปล่า มันขึ้นกับว่าเราปรับตัวกันได้หรือเปล่า?
                คนเราอาจจะเกิดมาดี มามี มาพร้อม แต่หากว่าปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ มันก็จะเหมือนไม้ที่โตอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่ง วันหนึ่งหากไม่โดนลม ก็ถูกฟ้าผ่าล้ม  ในขณะที่พวกไม้เถาเป็นไม้ล้มลุกที่พร้อมจะขยายทิศทางเติบโต แต่หากขึ้นไปไม่พ้นดินก็มักถูกเหยียบย่ำ  เราเลือกไม่ได้หรอกว่าจะเกิดเป็นไม้อะไร แต่เราเลือกได้ว่าจะอยู่อย่างไร
                ถ้าเป็นไม้ใหญ่โตในป่า เกิดอะไรขึ้นก็มีต้นอื่นๆ คำจุนแรงเสียดสีจากลม ไม่อยู่โดดเดี่ยว  แต่ถ้าเกิดเป็นไม้เลื้อย ก็ต้องเลื้อยไปให้เจออากาศ เห็นท้องฟ้าอย่าให้เสียชาติเกิด
                คนเรามีตัวตนอยู่ในสังคมโดยปรับตัวไม่ได้จะมีประโยชน์อะไร?
                เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้อื่นให้ได้ไม่ดีกว่าหรอ? อยู่ในสังคมที่เป็นเรา และเราก็เป็นแบบนั้น ไม่ไปขวนขวายทำอะไรเกินตัว พูดจาให้เป็นที่รักกับคนรอบข้าง เราไม่ได้อยู่คนเดียว และเวลามีความสุขการแบ่งปันให้กับคนอื่นเราจะสุขกว่ามาก


ปัญหาไม่มีทางแก้ก็มี

                ตอนมัธยมคุณครูสอนว่า ถ้าเป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์ มีปัญหาอยู่ ๓ แบบ คือ
                ๑ หาคำตอบได้
                ๒ มีคำตอบมากกว่าหนึ่ง
                ๓ หาคำตอบไม่ได้
                กับปัญหาอื่นๆ ในชีวิตก็แบบนี้เหมือนกัน บางทีก็ไม่มีคำตอบหรอก อย่าเสียเวลาไปแก้เลย


มีแต่ครอบครัวที่อยู่กับเรา

                หลายครั้งที่อยู่นอกบ้าน ไปโดนด่า ถูกคำพูดที่เจ็บปวด เก็บมาคิด หรือเจอปัญหามากมาย จนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าที่จะอยู่ตรงนั้นแล้ว ตัวอย่างเช่น
                โดนอาจารย์มองว่าโง่
                โดนเพื่อนนินทา
                โดนเพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ
                โดนใส่ร้าย
                โดนกระทำจนรู้สึกว่า “เห้ย! ทำไมชีวิตแย่ขนาดนี้”  จนตื่นมาไม่อยากไปเรียน  ไม่อยากไปทำงาน  ไม่อยากจะกลับไปเจอสังคมเดิมๆ เพื่อนเดิมๆ คนเดิมๆ ที่ต้องเห็นตั้งแต่แปดโมงเช้ายันค่ำ ..ลืมไปหรือเปล่าว่ามีคนที่บ้านรออยู่

                พ่อกับแม่ซื้อกับข้าวรออยู่ โทรถามว่าจะกลับมากินข้าวหรือเปล่า  ..บางทีเราก็ไปว่าเขาว่าจะโทรจิกโทรตามทำไม เพราะเราหงุดหงิดกับเรื่องที่ทำงานอยู่
                พ่อแม่รอเห็นหน้าเราตอนกลับบ้าน ..ทั้งๆ ที่เรากลับง่วนคิดว่า พรุ่งนี้เราจะเจอเรื่องอะไรเราต้องทำตัวยังไงคนอื่นถึงจะยอมรับและชอบเรา โดยที่คนพวกนั้นไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าวันต่อๆ ไปเราจะมาทำงานหรือเปล่า? หรืออยู่ในฐานะอะไร
                มีแต่ครอบครัวเท่านั้นที่รอเราอยู่ ความรู้สึกบริสุทธิ์ที่มีให้เราไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าแต่ละวันไปเจอเรื่องที่น่าอารมณ์เสียมามากแค่ไหน มันไม่เห็นจำเป็นเลยที่ต้องมาหน้ามุ่ยมู่ทู่ใส่พ่อใส่แม่ ถ้าเปลี่ยนเป็นว่าเราโยนเรื่องวุ่นวายทิ้งไว้หน้าประตูที่ทำงาน แล้วซื้อของอร่อยกลับมากินกับที่บ้าน ดูหนังด้วยกันสักเรื่อง พูดเรื่องโจ๊กเรื่องตลกกัน  ชีวิตเราไม่ดีขึ้นกว่าการหมกมุ่นอยู่กับการเข้าสังคมหรอกหรือ?

                ถึงเวลาหรือยังที่จะ back to basic เอาใจกลับมาไว้ที่บ้าน

// สำหรับคนที่ขาดกำลังใจทั้งหลาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่