ไม่ว่าจะอย่างไร พระสัทธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถบิดเบือนได้ ผู้บิดเบือนทำลาย พระสัทธรรม หลักๆ คือไม่สามารถ เจริญใน พระธรรมวินัยได้ มรรคผล จะไม่ปรากฏ เมื่อมรรคผลไม่ปรากฏ โดยเฉพาะเรื่องสมาธิ ก็จะมีวิธีการแปลกๆๆ วิธีการ ที่ไม่ใช่เส้นทาง ของ มรรค ปรากฏใน วิธีการสอน
เช่น มหาสังฆิกะ เมื่อแยกตัวออกไป โดยเจตนาไม่บริสุทธิ์ เท่ากับ
ปริยัติผิด การปฏิบัติเพื่อมรรคผลจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึง มีการดึงตันตระ เข้ามาภายหลัง เพื่อ ทำให้ ผู้สนับสนุนเห็นว่า ผลของการปฏิบัติ ของตนเองยังอยู่
แท้ที่จริงแล้วเป็นความรู้พิเศษที่เกิดจากสมาธิที่ไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา
แต่มหาสังฆิกะ ทำไมมีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ ตอบ เพราะ ว่าถ้าผู้บวชเข้ามา มีเจตนาบริสุทธิ์ มีสัมมาทิฏฐิ มีอินทรีย์ที่สั่งสมมาดีแล้ว และมีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติ ก็สามารถ ปฏิบัติแล้วเข้าถึงมรรคผลได้( เป็นความเข้าใจส่วนตัว) แต่ก็ยากมาก เพราะมี ปริยัติที่บิดเบือน
ส่วนเถรวาท นั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มีความถูกต้องชัดเจน ผู้ที่บวชเข้ามาใน พระธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า จึงมีความเจริญงอกงาม ในมรรคผล ปรากฏ เป็นเนื้อนาบุญ ให้เราได้รับรู้รับทราบโดยเฉพาะ ในสังคมไทย ตลอดมา
พระสัทธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บิดเบือนไม่ได้
เช่น มหาสังฆิกะ เมื่อแยกตัวออกไป โดยเจตนาไม่บริสุทธิ์ เท่ากับปริยัติผิด การปฏิบัติเพื่อมรรคผลจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึง มีการดึงตันตระ เข้ามาภายหลัง เพื่อ ทำให้ ผู้สนับสนุนเห็นว่า ผลของการปฏิบัติ ของตนเองยังอยู่ แท้ที่จริงแล้วเป็นความรู้พิเศษที่เกิดจากสมาธิที่ไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา
แต่มหาสังฆิกะ ทำไมมีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ ตอบ เพราะ ว่าถ้าผู้บวชเข้ามา มีเจตนาบริสุทธิ์ มีสัมมาทิฏฐิ มีอินทรีย์ที่สั่งสมมาดีแล้ว และมีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติ ก็สามารถ ปฏิบัติแล้วเข้าถึงมรรคผลได้( เป็นความเข้าใจส่วนตัว) แต่ก็ยากมาก เพราะมี ปริยัติที่บิดเบือน
ส่วนเถรวาท นั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มีความถูกต้องชัดเจน ผู้ที่บวชเข้ามาใน พระธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า จึงมีความเจริญงอกงาม ในมรรคผล ปรากฏ เป็นเนื้อนาบุญ ให้เราได้รับรู้รับทราบโดยเฉพาะ ในสังคมไทย ตลอดมา