เรื่องที่จะเล่านี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นจากการที่มีเพื่อนไลน์เข้ามาหา
L: แก 20 - 23 ไปวังเวียงกันมั้ยยยยยย B , G ชวน ตั๋วโปร 600 เองแก ส อา จ อ
เรา : how much budget?
L: ไม่เกินสี่พัน ถ้าไม่ขึ้นบอลลูน
เรา : จองให้ด้วย
แล้วก็เริ่มจองตั๋ว ณ นาทีนั้นโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ก็สรุปว่าได้ตั๋วขาไปมาในราคา 600 บาท สวยๆ
เรากะ S ต้องจองตั๋วขาไปเองเพราะเพื่อนกลุ่มแรกมันจองไว้เรียบร้อยแล้วและเราจองไม่ทัน
ดังนั้นผู้ร่วมเดินทางทั้งหมดก็จะประกอบด้วย เรา S L ที่เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว แล้ว L ก็เป็นเพื่อนกับ B และ G อีกที
ทุกคนในกลุ่มนี้เป็นผู้หญิงทั้งหมด และอายุอานามเพิ่ง 25 ได้ไม่นาน
ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าเราเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยในทริป แค่อยากจะเป็นกาฝากคนอื่นไปแบบขำๆมีอะไรก็เที่ยวแบบนั้น
ไม่ได้ศึกษาและอ่านอะไรของลาวมาก่อนเลย จังหวัดที่จะไปลงเครื่องยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
นี่คือบรรยากาศตอนถึงที่พักค่ะ พวกเราตั้งใจจะมา slow life กันอย่างที่ฮิปสเตอร์ทั้งหลายเค้าทำกัน

ซึ่งบรรยากาศที่นั่นก็ชิว มีฝนประปราย และแน่นอนสิ่งที่แก๊งชะนีทั้ง 5 ตั้งหน้าตั้งตามารอดูคือ นักท่องเที่ยวค๊าาาา
ที่ลาวตอนนี้แวดล้อมไปด้วยประชาชี เกาหลี และพี่ฝรั่ง พอสำรวจได้สักพักพอให้อิ่มใจ พวกเราก็มุ่งหน้าเข้าที่พักกันค่ะ
โรงแรมที่พวกเราเลือกมา เป็นโรงแรมระดับ สี่ดาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซอง ห้องพักเป็นลักษณะยกสูงมีใต้ถุนอยู่ด้านล่าง
เป็นไม้ๆค่ะ ดังนั้น เวลาเดินจะโยกเยกนิดหน่อยพอให้รู้สึกได้ถึงพลังงานความเคลื่อนไหว เรือนที่พวกเรานอนจะอยู่สุดริมทางเดินของโรงแรม
หนึ่งเรือนจะมีสองห้องติดกันเป็นบ้านแฝด หนึ่งห้องนอนได้สามคน แยกเป็นเตียงใหญ่หนึ่งเตียง เตียงเล็กหนึ่งเตียง
เอารูปมาแปะจะได้ติดตามกันแบบเห็นภาพนะคะ
เรานอนห้องเดียวกับ L และ S ที่ห้องด้านซ้าย
ส่วน G และ B นอนด้วยกันห้องด้านขวา
บอกก่อนว่า โรงแรมนี้ทุกห้องจะมีแม่กุญแจแขวนไว้กับประตูเพื่อให้เราล็อคจากด้านนอกได้
เมื่อเราเข้าพักแล้วก็ล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมตัวออกไปทานข้าว
ที่ห้องพัก B กับ G เราพบว่าขวดน้ำถูกแกะไปหนึ่งขวด พร้อมกับห้องน้ำที่เหมือนมีคนใช้ไป
เพราะพื้นห้องน้ำก็เปียกแล้วก็ชักโครกถูกใช้ไปแต่ยังไม่กด
เพื่อนสองคนคิดว่าแม่บ้านของที่นี่อาจจะไม่ได้ทำความสะอาดห้องให้ก่อนเราเข้าพัก
จากนั้นพวกเราทั้งห้าคนก็ออกไปกินข้าวกัน เราสามคนที่นอนห้องด้านซ้ายด้วยกันกลับมาก่อนเพราะว่าฝนทำท่าจะตก
แต่เพื่อนอีกสองคนออกไปปั่นจักรยานกันต่อ
ขณะนั้นพวกเราสามคนก็นั่งเล่นไพ่กันอยู่หน้าห้องด้านขวาซึ่งเป็นห้องนอนของ G และ B กันจนถึงเย็น
ก่อนนอนคืนนั้น G กับ B ได้ยินเสียงฮัดชิ้วเหมือนคนที่ฮัดชิ้วอยู่ในห้อง
แต่เมื่อ B สำรวจรอบห้องแล้วก็ไม่พบอะไรผิดปกติจึงคิดว่าน่าจะเป็นเสียงจามจากใต้ถุน
นอกจากนั้น G ยังเล่าให้ฟังว่าตกกลางคืนรู้สึกว่าเตียงสั่น คิดว่า B นอนสั่นจึงหันไปจับตัว แต่พบว่า B ไม่ได้ตัวสั่น
G คิดว่าตนเองคงเจอสิ่งเหนือธรรมชาติเข้าแล้ว จึงนอนใส่หูฟังเปิดเพลงนอนตลอดคืน
เรื่องมันเกิดอีกทีเมื่อตอนตีสี่
เรานอนหลับอยู่ดีดี เราก็ได้ยินเสียงกรี๊ด แบบดังมาก จึงตกใจตื่นขึ้นมาถามเพื่อนในห้องนอนว่า เห้ย! ได้ยินปะ
ในใจเราคิดว่าเสียงเหมือน G เลย แต่สักพักเสียงนั้นก็เงียบไป เพื่อนจึงพูดขึ้นมา ใครมันมาเมาแถวนี้วะ
จากนั้นอีกสองวินาทีต่อมา กลายเป็นเสียงร้องที่ดังมากเหมือนคนขวัญผวาและเสียงวิ่งมาทางห้องเราแทน
ปังๆๆๆๆ !!! เปิดประตู เปิดประตูๆๆ เสียงนั้นพูดวนๆอยู่ที่หน้าประตูของห้องเรา เรารีบเปิดม่านออกไปดูว่าเป็นเพื่อนเราจริงๆใช่มั้ย
พอเห็นหน้า G เราเลยรีบเปิดประตู และรับทั้งสองคนเข้ามาที่ห้อง ทั้งสองคนตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
G เล่าแบบไม่ค่อยรู้เรื่อง และยังดูขวัญผวา เราก็ตกใจบอกให้ใจเย็นๆ
ตอนนั้นจับใจความได้ว่า มีเด็กมาอยู่ในห้องและพยายามขย่มเตียงให้เพื่อนตื่น หลายๆครั้ง
ณ ตอนนั้นเราก็รู้สึกกลัวเหมือนกันเพราะท้องฟ้ายังมืดอยู่และไม่แน่ใจว่าบุคคลที่อยู่ในห้องเพื่อนตัวใหญ่แค่ไหนเราจะสามารถสู้ได้มั้ย
จึงตัดสินใจว่า ต้องไปที่รีเซพชั่นเพื่อหาพนักงานมาช่วย
ตอนนั้น S และ เรา ออกจากบ้านพักไปที่สำนักงาน โดยมี L ดูแล B กับ G ที่กำลังขวัญผวาอยู่ในห้องพักของเรา
เมื่อเราเดินไปถึงสำนักงานไม่เจอใครเลย ไฟก็ปิดมืด เราจึงเปิดไฟพร้อมเคาะประตูแต่ก็ไม่พบใคร เรารออยู่ห้านาทีเราจึงตัดสินใจเดินกลับ
ขณะที่เราเดินกลับมาถึงหน้าห้องพัก สิ่งที่เรากับ S เจอคือ ผู้หญิงสองคน อายุไล่เลี่ยกัน ผมยาวถึงกลางหลัง ใส่เสื้อคล้ายผ้าม่อฮ่อมนุ่งผ้าถุงยาวๆ
เราหันไปถาม S เพื่อให้มั่นใจว่าเราไม่ได้เห็นคนเดียว ผู้หญิงทั้งสองหันหน้ามามองเรากับ S และเดินหนีออกไปทางใต้ถุนด้านหลัง
เรารีบวิ่งตามไปถาม G และ B เพื่อยืนยันถึงลักษณะของคนร้ายว่าตรงกันหรือไม่
เมื่อยืนยันตรงกันแล้ว พวกเราจึงเข้าตรวจสอบทรัพย์สินในห้อง
เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเงินของ B หายไป 5,000 บาท และเจอร่องรอยผ้าห่มทิ้งไว้ที่หัวเตียงหลอนสุดๆ
เจ้าของโรงแรมพาพวกเราไปแจ้งตำรวจที่นั่นเพื่อหาตัวคนร้าย
ซักเจ็ดโมงกว่าเจ้าของโรงแรมก็แจ้งว่าจับตัวคนร้ายได้แล้ว และพาเราไปยืนยันตัว
พอเจอคนร้ายเพื่อนเราก็ยืนยันว่าตรงกับคนที่เจอในห้องพัก
นางเป็นเด็กตัวเล็กๆสองคน เนื้อตัวมอมแมม หัวกระเซิงติดดิน และที่สำคัญเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ กลิ่นค่ะ
กลิ่นนี้เลยที่อยู่ในห้องเพื่อนเรา พอค้นตัวก็พบเงินอยู่ที่เอวของเด็กรวมกันประมาณ 3,800 บาท
สรุปคือ น้องเค้าซ่อนอยู่ใต้เตียงเราตั้งแต่ตอนที่แม่บ้านทำความสะอาดห้องก่อนที่พวกเราจะเช็คอิน
ซึ่งน้องออกจากห้องไม่ได้เพราะว่าแม่บ้านล็อคกุญแจจากด้านนอก
น้องแอบอยู่ใต้หัวเตียง และออกมาค้นกระเป๋าเพื่อนขณะที่พวกเราไม่อยู่ในห้อง
แต่ไม่ได้เงินไปเพราะเพื่อนนำเงินติดตัวไปด้วยตลอดทุกครั้งที่ออกไปนอกห้อง
น้องจึงต้องรอทั้งวันเพื่อให้พวกเรากลับมาและใช้เวลาตอนกลางคืนค้นของ
เสียงจามที่เพื่อนสองคนได้ยินคงเป็นเสียงของน้อง
และที่เตียงสั่นคงเพราะน้องหนาวเนื่องจากในห้องนั้นเปิดแอร์แรงมาก
และ B ก็รู้สึกตัวตื่นตอนที่น้องออกมาจากใต้เตียงและเริ่มค้นทรัพย์สิน
โดยน้องน่าจะเพิ่งเริ่มค้นจากที่หัวเตียงของ B เพราะ B ตื่นมาเจอห้องที่หัวเตียงจึงสะกิดให้ G ดู
เมื่อ G ได้ยินจึงคิดว่าเป็นผีแน่แล้วเลยรีบวิ่งมาที่ห้องพวกเรา น้องเลยฉวยโอกาสนั้นวิ่งนีออกไป
สรุปว่าน้องเป็นชาวม้งที่เด็กสติไม่ค่อยดี ชอบมาป้วนเปี้ยนรอบๆเมือง
และเป็นที่รู้จักดีของชาวเมือวังเวียงเนื่องจากเมื่อเราเล่าให้ใครฟังทุกคนก็รู้จักน้องแทบทั้งนั้น
แต่ที่อันตรายและเราอยากมาเล่าให้เพื่อนๆฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์เนื่องจากเมื่อน้องถูกจับได้แล้ว ตำรวจก็เพียงแค่อบรมและปล่อยตัวไปเนื่องจากเป็นเด็ก
และจากการสอบถามคนละแวกนั้นพบว่าน้องได้ขโมยของมาแล้ว 4-5 ครั้งโดยที่ตำรวจก็ได้แค่อบรมแล้วก็ปล่อยตัวไป
จึงอยากให้เพื่อนๆที่จะไปวังเวียงระวังตัวและทรัพย์สินมีค่าตลอดเวลา
เพราะแม้กระทั่งในห้องนอนที่เราเข้าพักและคิดว่าปลอดภัยก็ยังมีช่องให้น้องเข้าไปซ่อนได้
ซึ่งถ้ามองจากข้างเตียงจะดูไม่รู้ว่ามีช่องที่เด็กสามารถเข้าไปอยู่ได้และน้องก็อยู่กับเราเกือบ 14 ชั่วโมงโดยที่เราไม่รู้เลย
สุดท้ายนี้ อยากบอกเพื่อนๆว่าอย่ากลัวที่จะไปวังเวียงเลยนะคะ
วังเวียงเป็นเมืองดีที่มีโอปป้าและพี่ฝรั่ง คุ้มค่าที่จะไปเที่ยวค่ะ
[CR] เบญจเพสถามหา @ วังเวียง เช็คอินเข้ามาสองแต่ไม่ได้อยู่กันแค่สอง
L: แก 20 - 23 ไปวังเวียงกันมั้ยยยยยย B , G ชวน ตั๋วโปร 600 เองแก ส อา จ อ
เรา : how much budget?
L: ไม่เกินสี่พัน ถ้าไม่ขึ้นบอลลูน
เรา : จองให้ด้วย
แล้วก็เริ่มจองตั๋ว ณ นาทีนั้นโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ก็สรุปว่าได้ตั๋วขาไปมาในราคา 600 บาท สวยๆ
เรากะ S ต้องจองตั๋วขาไปเองเพราะเพื่อนกลุ่มแรกมันจองไว้เรียบร้อยแล้วและเราจองไม่ทัน
ดังนั้นผู้ร่วมเดินทางทั้งหมดก็จะประกอบด้วย เรา S L ที่เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว แล้ว L ก็เป็นเพื่อนกับ B และ G อีกที
ทุกคนในกลุ่มนี้เป็นผู้หญิงทั้งหมด และอายุอานามเพิ่ง 25 ได้ไม่นาน
ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าเราเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยในทริป แค่อยากจะเป็นกาฝากคนอื่นไปแบบขำๆมีอะไรก็เที่ยวแบบนั้น
ไม่ได้ศึกษาและอ่านอะไรของลาวมาก่อนเลย จังหวัดที่จะไปลงเครื่องยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
นี่คือบรรยากาศตอนถึงที่พักค่ะ พวกเราตั้งใจจะมา slow life กันอย่างที่ฮิปสเตอร์ทั้งหลายเค้าทำกัน
ซึ่งบรรยากาศที่นั่นก็ชิว มีฝนประปราย และแน่นอนสิ่งที่แก๊งชะนีทั้ง 5 ตั้งหน้าตั้งตามารอดูคือ นักท่องเที่ยวค๊าาาา
ที่ลาวตอนนี้แวดล้อมไปด้วยประชาชี เกาหลี และพี่ฝรั่ง พอสำรวจได้สักพักพอให้อิ่มใจ พวกเราก็มุ่งหน้าเข้าที่พักกันค่ะ
โรงแรมที่พวกเราเลือกมา เป็นโรงแรมระดับ สี่ดาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซอง ห้องพักเป็นลักษณะยกสูงมีใต้ถุนอยู่ด้านล่าง
เป็นไม้ๆค่ะ ดังนั้น เวลาเดินจะโยกเยกนิดหน่อยพอให้รู้สึกได้ถึงพลังงานความเคลื่อนไหว เรือนที่พวกเรานอนจะอยู่สุดริมทางเดินของโรงแรม
หนึ่งเรือนจะมีสองห้องติดกันเป็นบ้านแฝด หนึ่งห้องนอนได้สามคน แยกเป็นเตียงใหญ่หนึ่งเตียง เตียงเล็กหนึ่งเตียง
เอารูปมาแปะจะได้ติดตามกันแบบเห็นภาพนะคะ
เรานอนห้องเดียวกับ L และ S ที่ห้องด้านซ้าย
ส่วน G และ B นอนด้วยกันห้องด้านขวา
บอกก่อนว่า โรงแรมนี้ทุกห้องจะมีแม่กุญแจแขวนไว้กับประตูเพื่อให้เราล็อคจากด้านนอกได้
เมื่อเราเข้าพักแล้วก็ล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมตัวออกไปทานข้าว
ที่ห้องพัก B กับ G เราพบว่าขวดน้ำถูกแกะไปหนึ่งขวด พร้อมกับห้องน้ำที่เหมือนมีคนใช้ไป
เพราะพื้นห้องน้ำก็เปียกแล้วก็ชักโครกถูกใช้ไปแต่ยังไม่กด
เพื่อนสองคนคิดว่าแม่บ้านของที่นี่อาจจะไม่ได้ทำความสะอาดห้องให้ก่อนเราเข้าพัก
จากนั้นพวกเราทั้งห้าคนก็ออกไปกินข้าวกัน เราสามคนที่นอนห้องด้านซ้ายด้วยกันกลับมาก่อนเพราะว่าฝนทำท่าจะตก
แต่เพื่อนอีกสองคนออกไปปั่นจักรยานกันต่อ
ขณะนั้นพวกเราสามคนก็นั่งเล่นไพ่กันอยู่หน้าห้องด้านขวาซึ่งเป็นห้องนอนของ G และ B กันจนถึงเย็น
ก่อนนอนคืนนั้น G กับ B ได้ยินเสียงฮัดชิ้วเหมือนคนที่ฮัดชิ้วอยู่ในห้อง
แต่เมื่อ B สำรวจรอบห้องแล้วก็ไม่พบอะไรผิดปกติจึงคิดว่าน่าจะเป็นเสียงจามจากใต้ถุน
นอกจากนั้น G ยังเล่าให้ฟังว่าตกกลางคืนรู้สึกว่าเตียงสั่น คิดว่า B นอนสั่นจึงหันไปจับตัว แต่พบว่า B ไม่ได้ตัวสั่น
G คิดว่าตนเองคงเจอสิ่งเหนือธรรมชาติเข้าแล้ว จึงนอนใส่หูฟังเปิดเพลงนอนตลอดคืน
เรื่องมันเกิดอีกทีเมื่อตอนตีสี่
เรานอนหลับอยู่ดีดี เราก็ได้ยินเสียงกรี๊ด แบบดังมาก จึงตกใจตื่นขึ้นมาถามเพื่อนในห้องนอนว่า เห้ย! ได้ยินปะ
ในใจเราคิดว่าเสียงเหมือน G เลย แต่สักพักเสียงนั้นก็เงียบไป เพื่อนจึงพูดขึ้นมา ใครมันมาเมาแถวนี้วะ
จากนั้นอีกสองวินาทีต่อมา กลายเป็นเสียงร้องที่ดังมากเหมือนคนขวัญผวาและเสียงวิ่งมาทางห้องเราแทน
ปังๆๆๆๆ !!! เปิดประตู เปิดประตูๆๆ เสียงนั้นพูดวนๆอยู่ที่หน้าประตูของห้องเรา เรารีบเปิดม่านออกไปดูว่าเป็นเพื่อนเราจริงๆใช่มั้ย
พอเห็นหน้า G เราเลยรีบเปิดประตู และรับทั้งสองคนเข้ามาที่ห้อง ทั้งสองคนตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
G เล่าแบบไม่ค่อยรู้เรื่อง และยังดูขวัญผวา เราก็ตกใจบอกให้ใจเย็นๆ
ตอนนั้นจับใจความได้ว่า มีเด็กมาอยู่ในห้องและพยายามขย่มเตียงให้เพื่อนตื่น หลายๆครั้ง
ณ ตอนนั้นเราก็รู้สึกกลัวเหมือนกันเพราะท้องฟ้ายังมืดอยู่และไม่แน่ใจว่าบุคคลที่อยู่ในห้องเพื่อนตัวใหญ่แค่ไหนเราจะสามารถสู้ได้มั้ย
จึงตัดสินใจว่า ต้องไปที่รีเซพชั่นเพื่อหาพนักงานมาช่วย
ตอนนั้น S และ เรา ออกจากบ้านพักไปที่สำนักงาน โดยมี L ดูแล B กับ G ที่กำลังขวัญผวาอยู่ในห้องพักของเรา
เมื่อเราเดินไปถึงสำนักงานไม่เจอใครเลย ไฟก็ปิดมืด เราจึงเปิดไฟพร้อมเคาะประตูแต่ก็ไม่พบใคร เรารออยู่ห้านาทีเราจึงตัดสินใจเดินกลับ
ขณะที่เราเดินกลับมาถึงหน้าห้องพัก สิ่งที่เรากับ S เจอคือ ผู้หญิงสองคน อายุไล่เลี่ยกัน ผมยาวถึงกลางหลัง ใส่เสื้อคล้ายผ้าม่อฮ่อมนุ่งผ้าถุงยาวๆ
เราหันไปถาม S เพื่อให้มั่นใจว่าเราไม่ได้เห็นคนเดียว ผู้หญิงทั้งสองหันหน้ามามองเรากับ S และเดินหนีออกไปทางใต้ถุนด้านหลัง
เรารีบวิ่งตามไปถาม G และ B เพื่อยืนยันถึงลักษณะของคนร้ายว่าตรงกันหรือไม่
เมื่อยืนยันตรงกันแล้ว พวกเราจึงเข้าตรวจสอบทรัพย์สินในห้อง
เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเงินของ B หายไป 5,000 บาท และเจอร่องรอยผ้าห่มทิ้งไว้ที่หัวเตียงหลอนสุดๆ
เจ้าของโรงแรมพาพวกเราไปแจ้งตำรวจที่นั่นเพื่อหาตัวคนร้าย
ซักเจ็ดโมงกว่าเจ้าของโรงแรมก็แจ้งว่าจับตัวคนร้ายได้แล้ว และพาเราไปยืนยันตัว
พอเจอคนร้ายเพื่อนเราก็ยืนยันว่าตรงกับคนที่เจอในห้องพัก
นางเป็นเด็กตัวเล็กๆสองคน เนื้อตัวมอมแมม หัวกระเซิงติดดิน และที่สำคัญเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ กลิ่นค่ะ
กลิ่นนี้เลยที่อยู่ในห้องเพื่อนเรา พอค้นตัวก็พบเงินอยู่ที่เอวของเด็กรวมกันประมาณ 3,800 บาท
สรุปคือ น้องเค้าซ่อนอยู่ใต้เตียงเราตั้งแต่ตอนที่แม่บ้านทำความสะอาดห้องก่อนที่พวกเราจะเช็คอิน
ซึ่งน้องออกจากห้องไม่ได้เพราะว่าแม่บ้านล็อคกุญแจจากด้านนอก
น้องแอบอยู่ใต้หัวเตียง และออกมาค้นกระเป๋าเพื่อนขณะที่พวกเราไม่อยู่ในห้อง
แต่ไม่ได้เงินไปเพราะเพื่อนนำเงินติดตัวไปด้วยตลอดทุกครั้งที่ออกไปนอกห้อง
น้องจึงต้องรอทั้งวันเพื่อให้พวกเรากลับมาและใช้เวลาตอนกลางคืนค้นของ
เสียงจามที่เพื่อนสองคนได้ยินคงเป็นเสียงของน้อง
และที่เตียงสั่นคงเพราะน้องหนาวเนื่องจากในห้องนั้นเปิดแอร์แรงมาก
และ B ก็รู้สึกตัวตื่นตอนที่น้องออกมาจากใต้เตียงและเริ่มค้นทรัพย์สิน
โดยน้องน่าจะเพิ่งเริ่มค้นจากที่หัวเตียงของ B เพราะ B ตื่นมาเจอห้องที่หัวเตียงจึงสะกิดให้ G ดู
เมื่อ G ได้ยินจึงคิดว่าเป็นผีแน่แล้วเลยรีบวิ่งมาที่ห้องพวกเรา น้องเลยฉวยโอกาสนั้นวิ่งนีออกไป
สรุปว่าน้องเป็นชาวม้งที่เด็กสติไม่ค่อยดี ชอบมาป้วนเปี้ยนรอบๆเมือง
และเป็นที่รู้จักดีของชาวเมือวังเวียงเนื่องจากเมื่อเราเล่าให้ใครฟังทุกคนก็รู้จักน้องแทบทั้งนั้น
แต่ที่อันตรายและเราอยากมาเล่าให้เพื่อนๆฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์เนื่องจากเมื่อน้องถูกจับได้แล้ว ตำรวจก็เพียงแค่อบรมและปล่อยตัวไปเนื่องจากเป็นเด็ก
และจากการสอบถามคนละแวกนั้นพบว่าน้องได้ขโมยของมาแล้ว 4-5 ครั้งโดยที่ตำรวจก็ได้แค่อบรมแล้วก็ปล่อยตัวไป
จึงอยากให้เพื่อนๆที่จะไปวังเวียงระวังตัวและทรัพย์สินมีค่าตลอดเวลา
เพราะแม้กระทั่งในห้องนอนที่เราเข้าพักและคิดว่าปลอดภัยก็ยังมีช่องให้น้องเข้าไปซ่อนได้
ซึ่งถ้ามองจากข้างเตียงจะดูไม่รู้ว่ามีช่องที่เด็กสามารถเข้าไปอยู่ได้และน้องก็อยู่กับเราเกือบ 14 ชั่วโมงโดยที่เราไม่รู้เลย
สุดท้ายนี้ อยากบอกเพื่อนๆว่าอย่ากลัวที่จะไปวังเวียงเลยนะคะ
วังเวียงเป็นเมืองดีที่มีโอปป้าและพี่ฝรั่ง คุ้มค่าที่จะไปเที่ยวค่ะ