แหม กำลังจะพาไปแถว ๆ สามย่านแล้วเชียว แต่นึกได้ว่าลืมของไว้ที่แถว ๆ บางลำภู ของที่ว่าก็คือความทรงจำบางอย่างที่อยากจะบันทึกเพิ่มอีกนี้ดส์นึง เริ่มเลยแล้วกันนะ
งานเลี้ยงปีใหม่ ใครเค้าเอาหนังสือมาอ่านกันฟะ คำตอบก็คือเพื่อน ๆ ผู้หญิงในห้องเรานี่แหละ ช่วงนั้นใกล้สอบหรือไงนี่หละ ที่แน่ ๆ ไม่ใช่แค่คนสองคนสามคนสี่คนห้าคนนะ แต่มีเพียบเลยอะ ประเภทนั่งกินไปคุยไปแป๊บ ๆ เดี๋ยวก็เอาหนังสือข้าง ๆ ตัวขึ้นมาอ่านทบทวนกันอีกแระ บรรยากาศงานมันเลยเหมือนคนเข้าห้องน้ำแล้วฉี่ไม่สุด มันอึด ๆ อัด ๆ เดี๋ยวปิ๊ด เดี๋ยวหยุด เป็นระยะ ๆ จนไอ้เกียรติทนไม่ไหว เลยปล่อยของออกอาการวีนสาว ๆ พวกนั้นกลางงาน ร้อนถึงพวกเราต้องปรามต้องรั้งไว้ เพราะเดี๋ยวจะไปกันใหญ่
ขอไหลเรื่องงานแบบยำ ๆรวม ๆ มิตร ๆ ไปเลยแล้วกันนะ ไอ้วัฒนธรรมการล้อชื่อบุพการียังคงฮิตกันอยู่ในชีวิตช่วงนี้ของเรา และตอนนั้น เพลง handy man ของ james taylor ก็กำลังกุมใจไปทั่วแดนสยาม ท่อนที่พวกเราจะหยิบมาร้องล้อชื่อพ่อไอ้ชาญหรือคุณชาญชัยก็คือ " คำมาคำมาคำมาคำมาคำ ๆ คำมาคำมาคำมาคำมาคำ......สิงห์" คงไม่ต้องไขนะว่าพ่อมันชื่ออะไร ส่วนวิชาประวัติศาสตร์ เพื่อนคนนึงก็ยกมือลุกขึ้นถามเสียงดังฟังชัดว่า " อาจารย์ครับ พระนามเดิมของรัชกาลที่ 2 ชื่ออะไรครับ" อาจารย์ก็จะงง ๆ ว่า มันจะถามไปทำไม ( วะ ) ไม่ใช่ข้อมูลสำคัญตรงไหนเลย แล้วอาจารย์ก็ตอบมาว่า " ฉิม" แบบว่าทั้งก๊ากคริคิกหึหึหุหุเอิ๊กอ๊ากประสานกันสนั่นห้องทีเดียวเชียว ครูเลยรู้ทันทีว่า ไอ้พวกนี้มันล้อชื่อพ่อกัน ( อีกแล้ว ) และ อ้อ คนเดียวที่ต่อมฮาไม่ทำงานก็คือ ไอ้พฏ จอมกวนนั่นแหละ เพราะนั่นเป็นชื่อเล่นสามีมารดามัน ที่ฮาสุด ๆตอนนั้นคือ จู่ ๆก็มีนักร้องคนนึงดั๊นมีเพลงฮิตออกมาชื่อเพลง " ยายฉิมเก็บเห็ด" ที่ขึ้นต้นว่า " ฝนตกหยิม ๆ ยายฉิมไปเก็บเห็ด.." โหยยยย แล้วยังงี้จะให้พวกเราอยู่เฉย ไม่หยิบมาร้องให้มันฟังได้ไง จริงมั้ยล่ะท่านผู้ชม
ที่ร่ายมาตั้งนานก็เพื่อจะพามาเกี่ยวกับงานเลี้ยงตรงนี้เอง คืนก่อนงาน พวกเราไปจัดเตรียมสถานที่ที่บ้านเพื่อนชื่อวันชัยตรงแถวเทเวศร์ มันเลี้ยงนกขุนทองไว้ตัวนึง จู่ ๆ พวกเราเลยปิ๊งไอเดียล้อชื่อพ่อไอ้พฏกัน เลยช่วยกันจับเจ้าขุนทองมาเข้าคอร์สเร่งรัดฝึกพูดภาษาคนไทยให้ได้ภายในคืนเดียว พอถึงคืนวันงาน พวกเราก็ชวนไอ้พฏมาฟังนกพูด แล้วให้มันทายว่ามันพูดว่าไง แล้วนกมันก็ทำเสียงแปร่ง ๆออกมาว่า " ชี....ม ชี.....ม" แรก ๆมันก็ยังไม่ค่อยชัดนัก แต่ตอนหลัง นกมันเกิดมั่นขึ้นมารึไงนี่แหละ มันเลยออกเสียง " ชีม ชีม ชีม" ซะชัดแจ้งทีเดียว เล่นเอาพวกเราน้ำตาเล็ด บางคนก็ลงไปนอนท้องแข็งบิดไปบิดมาเลยเชียว
อีกงานนึง ไปจัดที่บ้านวิไล เกิดไปรบกวนคนแถวนั้น มันเลยเขวี้ยงของมา ไอ้เกียรติที่ใจร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ปีนพรวดขึ้นไปยืนบนกำแพง พร้อมกับตะโกนท้าทายเย้ว ๆ ล่อเป้าซะเต็มที่เลย พวกเรากลัวมันจะหัวร้างข้างแตกต้องมาคอยเช็ดเลือด หาดินน้ำมันมาอุดหัว เลยรีบฉุดดึงมันลงมาแบบหายใจไม่ทั่วท้องไปตาม ๆ กัน
ขอเล่าถึงไอ้เกียรติหน่อยเถอะ มันนี่มีทางเฉพาะตัวเหลือเกิน อยู่ ๆ วันนึงมันก็โทรไปหาไอ้พฏในวันหยุด บอกว่ามีธุระด่วน ไม่สบายใจอยากจะปรึกษา ไอ้พฏทนลูกตื๊อไม่ไหวก็เลยต้องถ่อสังขารมาจากบ้าน แล้วไอ้เกียรติมันก็พาไอ้พฏไปตีสนุ้ก บอกว่า เดี๋ยวตีให้หายเครียดก่อนแล้วค่อยคุยกัน ผ่านไปสองชั่วโมง พอไอ้พฏถาม มันก็ตอบหน้าตาเฉยว่า " เปล่าหรอก กรูเหงา อยากหาคนมาตีนุกด้วยน่ะ" แป่ววววววว ดูดู๊ดู ดูมันช่างทำกับลูกคุณ....ได้
มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา มิใกล้เอ็นสะท้าน มิอ่านตำรา ที่จริงเราสอบเทียบม.ศ.5 ได้ด้วยนะเออ ร่ำลาเพื่อน ๆ ซะดิบดี กะว่าจะอ่านหนังสือยู่บ้าน ไม่ต้องไปเรียนแล้ว ทว่าทำได้แค่วันสองวันเองมั้ง เกิดเหงาคิดถึงก๊วนเกลอแทบใจจะขาด เลยหอบหนังสือกลับเข้าไปเรียนเหมือนเดิมซะงั้น เพื่อน ๆ มันอุตส่าห์ล้มวัวฉลองกันไปแล้วอีกตะหาก เรื่องนี้มีเกล็ดเกี่ยวกับน้องสาวด้วยสิ เราสอบเทียบได้คะแนน 504 แต้ม น้องสาวเรามันหัวเราะเยาะใหญ่โตว่า " โธ่ เกินครึ่งมาแค่นี้เองอะเหรอ" ปีถัดมา ไปรษณียบัตรแจ้งคะแนนสอบเทียบของมันก็ส่งมาถึงบ้าน แถ่นแทนแท้น 502 คือตัวเลขที่อยู่ในนั้น 555 หัวเราะทีหลังมักจะดังกว่าเสมอ หะฮิ้ววว
อย่างที่บอก การเรียนของเรามันพุ่งปี๊ดลงป๊าดเหมือนรถไฟเหาะก็มิปาน แต่พอย่างเข้าเดือนมีนาปี 2525 เราก็เกิดคิดขึ้นมาได้ว่า ตายล่ะหว่า มันจะเอ็นสะท้านแล้วนี่นิ ตรูยังไม่ได้อ่านตำราอะไรจริงจังเล้ยยย แล้วเกิดสอบไม่ติด แม่จะเสียใจแค่ไหน เพราะแม่แกเห็นพี่ชายเราเข้า 'ถาปัดจุฬาไปแล้วสองปีก่อนหน้า มูลสุกรมูลสุนัข ยังไงซะ เราก็ต้องเข้าที่ไหนได้ซักที่ล่ะน่า ทีนี้ก็งานเข้าสิครับ เราเลยเกิดแรงฮึดขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่เคยจัดตารางเวลาชีวิตก็มาเริ่มเขียนซอยเป็นช่วง ๆ ในแต่ละวันว่าจะตื่นกี่โมง อ่านวิชาไหนกี่ชั่วโมง นอนกี่ชั่วโมง ต้องอ่านให้ได้วันละกี่เล่ม เราเอาตำราทุกวิชาที่จะสอบมากองรวมกัน นับจำนวนแล้วหารด้วยวันที่เหลือ เขียนป้ายแปะฝาห้องว่า " 3 วันเล่ม" พร้อมด้วยคำปลุกใจ

ลับใจว่า " อยู่สูงก็สบาย อยู่ใต้ป่ายต่อไป"
กอปรกับ เราให้มีช็อตนึงที่ต้องไปเป็นเพื่อนพี่ชาย ( อีกคน ) ในการลงทะเบียนที่มหาวิทยาลัยเปิดแห่งนึง ตอนเที่ยง ๆแดดตรงหัว ร้อนแทบตับจะแลบ มองไปทางไหนก็แทบจะไม่เห็นร่มไม้ให้พักพิงเอาซะเลย มีแต่ตึก ๆ ๆ ตึกตึกตึกตึก แถวต่อก็ยาวเหยียดเป็นตู้รถไฟอีกตะหาก นาทีนั้นเลยตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ยังไงซะ ก็จะต้องสอบเข้ามหา'ลัยให้ได้ จะพยายามเคี่ยวเข็ญตัวเองในเวลาเท่าที่เหลือนี่แหละ ทีนี้ปีนั้นเป็นปีฉลองสมโภชน์ 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ซะด้วยดิ เรียกว่างานไดโนเสาร์ยี่สิบตัวมัดรวมกันชุบแป้งทอดนั่นเลย โดยปกติวิสัย เราจะต้องดี๊ด๊าหลองเหลิมชนิดด่าวดิ้นสิ้นแรงไปนั่นล่ะ ทว่าเรากลับพาน้องชายไปสัมผัสแสงสีเสียงอลังการที่สนามหลวงแค่คืนเดียวเท่านั้น ที่เหลือก็ตื่นเช้ากินข้าวอ่านหนังสือกินข้าวเที่ยงอ่านหนังสือพักแป๊บนึง แล้วอ่านหนังสือกินข้าวเย็นอาบน้ำแล้วก็อ่านหนังสือ อ่าน ๆๆๆๆท่อง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆจนถึงตี 2 ทุกคืนโน่นเลย ง่วง ๆก็อัดเพลงร็อคฝรั่งเข้าหูนี่แหละ เราว่าส่วนนึงที่เราสอบได้ก็เป็นคุณานุคุณของท่านพี่ john cougar,the eagles,tom petty แล้วก็อีกหลาย ๆ วงนั่นเอง thank you หลาย ๆ เด้อตัวเอง
ช่วงเข้าถ้ำอ่านสอบเนี่ยมีเกล็ดเกี่ยวกับพี่ชาย ( ถาปัด)อยู่ติ่งนึงด้วย วันนึง เรานั่งท่อง ๆ เนื้อหาฟิสิกซ์อยู่ มันก็แท่ด ๆเข้ามาเอ่ยคำปลุกปลอบให้กำลังใจว่า " 555 มีที่ไหนวะ ท่องฟิสิกซ์ เค้ามีแต่ทำโจทย์เยอะ ๆ กัน" เอ่อ พี่ครับ อันนั้นผมรู้ครับ แต่ผมมีเวลาเหลือแค่นี้ ขอผมท่องสูตรแล้วไปวัดอีกทีในห้องสอบแล้วกันนะครับ เหมือนสวรรค์จงใจช่วยเรายังไงนี่แหละ ปีนั้นเป็นปีแรกในประวัติศาสตร์การสอบเอ็นสะท้านวิชาฟิสิกซ์ที่ข้อสอบกว่าครึ่งเป็นการเติมคำในช่องว่างแบบวัดความเข้าใจและเขียนสูตร ไอ้ที่เราท่อง ๆ มาเลยถูกจับมาเติมลงไปชนิดเนื้อ ๆ เน้น ๆ และนั่นก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้เราได้แต่งชุดนิสิตจุฬาเป็นครั้งแรกในปีนั้นซะด้วยสิ อะแฮ่ม ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับท่านผู้ชม ของบางอย่าง มันสุดยากจะคาดคะเน แบบว่า ฟ้าลิขิต ปิดปากมิดคนรู้จริงอะ อิอิ
บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-26/49 ใครออกข้อสอบฟิสิกซืปีสมโภชน์กรุงน้าาาา
งานเลี้ยงปีใหม่ ใครเค้าเอาหนังสือมาอ่านกันฟะ คำตอบก็คือเพื่อน ๆ ผู้หญิงในห้องเรานี่แหละ ช่วงนั้นใกล้สอบหรือไงนี่หละ ที่แน่ ๆ ไม่ใช่แค่คนสองคนสามคนสี่คนห้าคนนะ แต่มีเพียบเลยอะ ประเภทนั่งกินไปคุยไปแป๊บ ๆ เดี๋ยวก็เอาหนังสือข้าง ๆ ตัวขึ้นมาอ่านทบทวนกันอีกแระ บรรยากาศงานมันเลยเหมือนคนเข้าห้องน้ำแล้วฉี่ไม่สุด มันอึด ๆ อัด ๆ เดี๋ยวปิ๊ด เดี๋ยวหยุด เป็นระยะ ๆ จนไอ้เกียรติทนไม่ไหว เลยปล่อยของออกอาการวีนสาว ๆ พวกนั้นกลางงาน ร้อนถึงพวกเราต้องปรามต้องรั้งไว้ เพราะเดี๋ยวจะไปกันใหญ่
ขอไหลเรื่องงานแบบยำ ๆรวม ๆ มิตร ๆ ไปเลยแล้วกันนะ ไอ้วัฒนธรรมการล้อชื่อบุพการียังคงฮิตกันอยู่ในชีวิตช่วงนี้ของเรา และตอนนั้น เพลง handy man ของ james taylor ก็กำลังกุมใจไปทั่วแดนสยาม ท่อนที่พวกเราจะหยิบมาร้องล้อชื่อพ่อไอ้ชาญหรือคุณชาญชัยก็คือ " คำมาคำมาคำมาคำมาคำ ๆ คำมาคำมาคำมาคำมาคำ......สิงห์" คงไม่ต้องไขนะว่าพ่อมันชื่ออะไร ส่วนวิชาประวัติศาสตร์ เพื่อนคนนึงก็ยกมือลุกขึ้นถามเสียงดังฟังชัดว่า " อาจารย์ครับ พระนามเดิมของรัชกาลที่ 2 ชื่ออะไรครับ" อาจารย์ก็จะงง ๆ ว่า มันจะถามไปทำไม ( วะ ) ไม่ใช่ข้อมูลสำคัญตรงไหนเลย แล้วอาจารย์ก็ตอบมาว่า " ฉิม" แบบว่าทั้งก๊ากคริคิกหึหึหุหุเอิ๊กอ๊ากประสานกันสนั่นห้องทีเดียวเชียว ครูเลยรู้ทันทีว่า ไอ้พวกนี้มันล้อชื่อพ่อกัน ( อีกแล้ว ) และ อ้อ คนเดียวที่ต่อมฮาไม่ทำงานก็คือ ไอ้พฏ จอมกวนนั่นแหละ เพราะนั่นเป็นชื่อเล่นสามีมารดามัน ที่ฮาสุด ๆตอนนั้นคือ จู่ ๆก็มีนักร้องคนนึงดั๊นมีเพลงฮิตออกมาชื่อเพลง " ยายฉิมเก็บเห็ด" ที่ขึ้นต้นว่า " ฝนตกหยิม ๆ ยายฉิมไปเก็บเห็ด.." โหยยยย แล้วยังงี้จะให้พวกเราอยู่เฉย ไม่หยิบมาร้องให้มันฟังได้ไง จริงมั้ยล่ะท่านผู้ชม
ที่ร่ายมาตั้งนานก็เพื่อจะพามาเกี่ยวกับงานเลี้ยงตรงนี้เอง คืนก่อนงาน พวกเราไปจัดเตรียมสถานที่ที่บ้านเพื่อนชื่อวันชัยตรงแถวเทเวศร์ มันเลี้ยงนกขุนทองไว้ตัวนึง จู่ ๆ พวกเราเลยปิ๊งไอเดียล้อชื่อพ่อไอ้พฏกัน เลยช่วยกันจับเจ้าขุนทองมาเข้าคอร์สเร่งรัดฝึกพูดภาษาคนไทยให้ได้ภายในคืนเดียว พอถึงคืนวันงาน พวกเราก็ชวนไอ้พฏมาฟังนกพูด แล้วให้มันทายว่ามันพูดว่าไง แล้วนกมันก็ทำเสียงแปร่ง ๆออกมาว่า " ชี....ม ชี.....ม" แรก ๆมันก็ยังไม่ค่อยชัดนัก แต่ตอนหลัง นกมันเกิดมั่นขึ้นมารึไงนี่แหละ มันเลยออกเสียง " ชีม ชีม ชีม" ซะชัดแจ้งทีเดียว เล่นเอาพวกเราน้ำตาเล็ด บางคนก็ลงไปนอนท้องแข็งบิดไปบิดมาเลยเชียว
อีกงานนึง ไปจัดที่บ้านวิไล เกิดไปรบกวนคนแถวนั้น มันเลยเขวี้ยงของมา ไอ้เกียรติที่ใจร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ปีนพรวดขึ้นไปยืนบนกำแพง พร้อมกับตะโกนท้าทายเย้ว ๆ ล่อเป้าซะเต็มที่เลย พวกเรากลัวมันจะหัวร้างข้างแตกต้องมาคอยเช็ดเลือด หาดินน้ำมันมาอุดหัว เลยรีบฉุดดึงมันลงมาแบบหายใจไม่ทั่วท้องไปตาม ๆ กัน
ขอเล่าถึงไอ้เกียรติหน่อยเถอะ มันนี่มีทางเฉพาะตัวเหลือเกิน อยู่ ๆ วันนึงมันก็โทรไปหาไอ้พฏในวันหยุด บอกว่ามีธุระด่วน ไม่สบายใจอยากจะปรึกษา ไอ้พฏทนลูกตื๊อไม่ไหวก็เลยต้องถ่อสังขารมาจากบ้าน แล้วไอ้เกียรติมันก็พาไอ้พฏไปตีสนุ้ก บอกว่า เดี๋ยวตีให้หายเครียดก่อนแล้วค่อยคุยกัน ผ่านไปสองชั่วโมง พอไอ้พฏถาม มันก็ตอบหน้าตาเฉยว่า " เปล่าหรอก กรูเหงา อยากหาคนมาตีนุกด้วยน่ะ" แป่ววววววว ดูดู๊ดู ดูมันช่างทำกับลูกคุณ....ได้
มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา มิใกล้เอ็นสะท้าน มิอ่านตำรา ที่จริงเราสอบเทียบม.ศ.5 ได้ด้วยนะเออ ร่ำลาเพื่อน ๆ ซะดิบดี กะว่าจะอ่านหนังสือยู่บ้าน ไม่ต้องไปเรียนแล้ว ทว่าทำได้แค่วันสองวันเองมั้ง เกิดเหงาคิดถึงก๊วนเกลอแทบใจจะขาด เลยหอบหนังสือกลับเข้าไปเรียนเหมือนเดิมซะงั้น เพื่อน ๆ มันอุตส่าห์ล้มวัวฉลองกันไปแล้วอีกตะหาก เรื่องนี้มีเกล็ดเกี่ยวกับน้องสาวด้วยสิ เราสอบเทียบได้คะแนน 504 แต้ม น้องสาวเรามันหัวเราะเยาะใหญ่โตว่า " โธ่ เกินครึ่งมาแค่นี้เองอะเหรอ" ปีถัดมา ไปรษณียบัตรแจ้งคะแนนสอบเทียบของมันก็ส่งมาถึงบ้าน แถ่นแทนแท้น 502 คือตัวเลขที่อยู่ในนั้น 555 หัวเราะทีหลังมักจะดังกว่าเสมอ หะฮิ้ววว
อย่างที่บอก การเรียนของเรามันพุ่งปี๊ดลงป๊าดเหมือนรถไฟเหาะก็มิปาน แต่พอย่างเข้าเดือนมีนาปี 2525 เราก็เกิดคิดขึ้นมาได้ว่า ตายล่ะหว่า มันจะเอ็นสะท้านแล้วนี่นิ ตรูยังไม่ได้อ่านตำราอะไรจริงจังเล้ยยย แล้วเกิดสอบไม่ติด แม่จะเสียใจแค่ไหน เพราะแม่แกเห็นพี่ชายเราเข้า 'ถาปัดจุฬาไปแล้วสองปีก่อนหน้า มูลสุกรมูลสุนัข ยังไงซะ เราก็ต้องเข้าที่ไหนได้ซักที่ล่ะน่า ทีนี้ก็งานเข้าสิครับ เราเลยเกิดแรงฮึดขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่เคยจัดตารางเวลาชีวิตก็มาเริ่มเขียนซอยเป็นช่วง ๆ ในแต่ละวันว่าจะตื่นกี่โมง อ่านวิชาไหนกี่ชั่วโมง นอนกี่ชั่วโมง ต้องอ่านให้ได้วันละกี่เล่ม เราเอาตำราทุกวิชาที่จะสอบมากองรวมกัน นับจำนวนแล้วหารด้วยวันที่เหลือ เขียนป้ายแปะฝาห้องว่า " 3 วันเล่ม" พร้อมด้วยคำปลุกใจ
กอปรกับ เราให้มีช็อตนึงที่ต้องไปเป็นเพื่อนพี่ชาย ( อีกคน ) ในการลงทะเบียนที่มหาวิทยาลัยเปิดแห่งนึง ตอนเที่ยง ๆแดดตรงหัว ร้อนแทบตับจะแลบ มองไปทางไหนก็แทบจะไม่เห็นร่มไม้ให้พักพิงเอาซะเลย มีแต่ตึก ๆ ๆ ตึกตึกตึกตึก แถวต่อก็ยาวเหยียดเป็นตู้รถไฟอีกตะหาก นาทีนั้นเลยตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ยังไงซะ ก็จะต้องสอบเข้ามหา'ลัยให้ได้ จะพยายามเคี่ยวเข็ญตัวเองในเวลาเท่าที่เหลือนี่แหละ ทีนี้ปีนั้นเป็นปีฉลองสมโภชน์ 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ซะด้วยดิ เรียกว่างานไดโนเสาร์ยี่สิบตัวมัดรวมกันชุบแป้งทอดนั่นเลย โดยปกติวิสัย เราจะต้องดี๊ด๊าหลองเหลิมชนิดด่าวดิ้นสิ้นแรงไปนั่นล่ะ ทว่าเรากลับพาน้องชายไปสัมผัสแสงสีเสียงอลังการที่สนามหลวงแค่คืนเดียวเท่านั้น ที่เหลือก็ตื่นเช้ากินข้าวอ่านหนังสือกินข้าวเที่ยงอ่านหนังสือพักแป๊บนึง แล้วอ่านหนังสือกินข้าวเย็นอาบน้ำแล้วก็อ่านหนังสือ อ่าน ๆๆๆๆท่อง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆจนถึงตี 2 ทุกคืนโน่นเลย ง่วง ๆก็อัดเพลงร็อคฝรั่งเข้าหูนี่แหละ เราว่าส่วนนึงที่เราสอบได้ก็เป็นคุณานุคุณของท่านพี่ john cougar,the eagles,tom petty แล้วก็อีกหลาย ๆ วงนั่นเอง thank you หลาย ๆ เด้อตัวเอง
ช่วงเข้าถ้ำอ่านสอบเนี่ยมีเกล็ดเกี่ยวกับพี่ชาย ( ถาปัด)อยู่ติ่งนึงด้วย วันนึง เรานั่งท่อง ๆ เนื้อหาฟิสิกซ์อยู่ มันก็แท่ด ๆเข้ามาเอ่ยคำปลุกปลอบให้กำลังใจว่า " 555 มีที่ไหนวะ ท่องฟิสิกซ์ เค้ามีแต่ทำโจทย์เยอะ ๆ กัน" เอ่อ พี่ครับ อันนั้นผมรู้ครับ แต่ผมมีเวลาเหลือแค่นี้ ขอผมท่องสูตรแล้วไปวัดอีกทีในห้องสอบแล้วกันนะครับ เหมือนสวรรค์จงใจช่วยเรายังไงนี่แหละ ปีนั้นเป็นปีแรกในประวัติศาสตร์การสอบเอ็นสะท้านวิชาฟิสิกซ์ที่ข้อสอบกว่าครึ่งเป็นการเติมคำในช่องว่างแบบวัดความเข้าใจและเขียนสูตร ไอ้ที่เราท่อง ๆ มาเลยถูกจับมาเติมลงไปชนิดเนื้อ ๆ เน้น ๆ และนั่นก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้เราได้แต่งชุดนิสิตจุฬาเป็นครั้งแรกในปีนั้นซะด้วยสิ อะแฮ่ม ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับท่านผู้ชม ของบางอย่าง มันสุดยากจะคาดคะเน แบบว่า ฟ้าลิขิต ปิดปากมิดคนรู้จริงอะ อิอิ