สำหรับท่านใดที่ยังไม่ได้อ่านภาค 1 และ 2 สามารถติดตามอ่านได้จาก link ด้านล่างนี้เลยนะครับ
http://pantip.com/topic/33826510 ภาค 1
http://pantip.com/topic/33839462 ภาค 2
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรา....ต้องเป็นผู้ป่วยในหรือนี่
[วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2554]
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2554เวลาประมาณ 14:00 น. ข้าพเจ้าต้องเป็นผู้ป่วยใน ทางโรงพยาบาลก็ได้จัดห้องพักให้กับข้าพเจ้า โดยในระยะแรกก็จัดให้พักที่วอร์ด 3 ห้อง 308/3 ซึ่งเป็นห้องรวม (ก็เหมือนกับห้องพิเศษรวมของโรงพยาบาลรัฐ) เนื่องจากห้องพิเศษ VIP ไม่ว่างในช่วงเวลานั้น จากนั้นก็มีพยาบาลมาเจาะเลือดเพื่อเอาเลือดไปตรวจผลการติดเชื้อ HIV ค่าน้ำตาลในเลือด ค่าโซเดียมโพแทสเซียมภายในเซลล์ แล้วก็เจาะเส้นเลือดให้น้ำเกลือและงดน้ำงดอาหารเพื่อเตรียมตัวผ่าตัด (ขอบอกว่า “เข็ม” ที่นำมาให้น้ำเกลือโตมากๆ โตจนน่าตกใจ และแทงไม่เข้า ต้องแทงใหม่ คุณแม่ก็สงสัยว่าทำไมเข็มโตมากมายขนาดนั้น ก็ได้คำตอบจากพยาบาลว่า ...ใช้เข็มโต เผื่อว่าความดันโลหิตมีปัญหาขณะผ่าตัด จะได้แก้ปัญหาได้โดยการเร่งน้ำเกลือ)
เวลาประมาณ 17.00 น. ก็ได้เข้าพักห้องพิเศษ VIP เป็นห้องปรับอากาศ เย็นสบายมาก ได้เข้าพักที่ห้อง 305 ก็เกิดคำถามในใจว่านี่มันโรงพยาบาลหรือโรงแรม เนื่องจากในห้องมีสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มากมายเพื่อใช้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยและญาติที่เฝ้าผู้ป่วย โดยสิ่งของเครื่องใช้ที่มีในห้องก็ได้แก่ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (เล่นอินเตอร์เน็ตได้ด้วย) กระจกเงา ฯลฯ ดูจากภายนอกแล้วจัดสิ่งของอำนวยความสะดวกให้ได้ดีมาก ห้องก็ดูโดยรวมสะอาด สบาย และน่าพักรักษาตัวดีทีเดียว
เวลาประมาณ 19:00 น. ของวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 คุณแม่กลับไปบ้านซึ่งอยู่ติดกับโรงพยาบาล เพื่ออาบน้ำและนำของใช้มานอนกับลูก นพ.กิต (นามสมมติ) ศัลยแพทย์แห่งโรงพยาบาล น. ก็ได้เข้ามาที่ห้องพร้อมกับพยาบาล 1 คน เพื่อดูแผล พร้อมกับถามว่าแผลไปถูกอะไรมา ข้าพเจ้าก็เล่าให้ฟังโดยคร่าวๆ จากนั้นหมอก็ได้พูดชี้แจงเกี่ยวกับการผ่าตัด ว่า.... “จะผ่าตัดเนื้อส่วนที่ตายออก โดยยึดหลักที่ว่าเนื้อตายเท่าไรตัดออกเท่านั้น ในการผ่าตัดอาจจะบล็อกหลังหรือไม่ก็ดมยาสลบ” พร้อมกับบอกว่าจะผ่าตัดภายในเวลา 20:00 น.ของคืนนั้นเลย...... ทำให้ข้าพเจ้าทั้งงงและตกใจมาก อารมณ์ตอนนั้นแทบตั้งตัวไม่ทัน เมื่อหมอและพยาบาลเดินออกไปจากห้องแล้วข้าพเจ้าก็รีบโทรศัพท์หาคุณแม่ทันทีเพื่อให้รีบมาโรงพยาบาลให้ทันก่อนที่ข้าพเจ้าจะเข้าห้องผ่าตัด และเมื่อใกล้ถึงเวลาที่จะทำการผ่าตัด ก็มีพยาบาลเข้ามาบอกถึงสิ่งที่ต้องปฏิบัติก่อนเข้าห้องผ่าตัด นั่นก็คือต้องไม่ใส่กางเกงใน เครื่องประดับ และสิ่งของมีค่าใดๆ เมื่อใกล้เวลาผ่าตัด ก็มีเจ้าหน้าที่พร้อมกับผู้ช่วยพยาบาลเอารถเข็นผู้ป่วยมารับข้าพเจ้าแล้วก็พาไปที่ห้องเอ็กซเรย์เพื่อทำการเอกซเรย์ปอด ดูว่าปอดมีความผิดปกติหรือไม่ ก่อนที่จะเข้าผ่าตัด เพราะถ้าไม่ปกติอาจทำให้มีปัญหาระหว่างผ่าตัดก็ได้ จากนั้นก็พาไปที่ห้องผ่าตัดซึ่งคุณแม่ก็มาทันเวลาพอดี (มาถึงก่อนเข้าห้องผ่าตัดประมาณ 5 นาที) ทีมพยาบาลผ่าตัดก็บอกให้คุณแม่ไปคอยอยู่ที่ห้อง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็นำข้าพเจ้าเข้าห้องเตรียมผ่าตัด ให้ข้าพเจ้านอนบนเตียง แล้วก็เอาผ้าห่มคลุม และให้สวมหมวกคลุมผม เมื่อทีมแพทย์และพยาบาลที่จะทำการผ่าตัดพร้อมแล้ว ก็ได้เข็นเตียงที่ข้าพเจ้านอนอยู่เข้าไปในห้องผ่าตัดจากนั้นก็ให้ถอดกางเกงออก โดยขณะถอดก็นอนอยู่ และก็มีผ้าห่มคลุมไว้ หลังจากนั้นพยาบาลก็ได้นำสายจากเครื่อง EKG ประมาณ 4-5 สาย มาติดตามจุดต่างๆ บริเวณร่างกายส่วนบน และก็เอา cuff มาใส่ที่แขนท่อนบนข้างซ้ายเพื่อวัดความดันเป็นระยะ ๆจากนั้นก็เปิดแผล และทายาเบตาดีนที่ส้นเท้าข้างซ้ายทั้งหมดเพื่อที่จะทำการฆ่าเชื้อก่อนการผ่าตัด จากนั้นก็มีพยาบาลคนหนึ่งก็ได้บอกว่า “เดี๋ยวจะทำการผ่าตัดโดยจะให้ดมยาสลบนะคะ และถ้าหากว่ารู้สึกตัวในช่วงไหนก็ไม่ต้องดิ้นนะคะ ไม่มีอะไรเจ็บค่ะ” แล้วก็เอาอะไรซักอย่างมาครอบที่จมูก หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็จำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่ที่ห้องเตรียมผ่าตัด เมื่อรู้สึกตัวแล้วเจ้าหน้าที่ก็พาไปส่งที่ห้องพักเลย ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าเพิ่งฟื้นและยังพูดจาเลอะเลือนคล้ายๆ คนเมา เนื่องจากยาสลบยังไม่หมดฤทธิ์ไม่ได้ให้นอนพักและสังเกตอาการหลังผ่าตัด เหมือนที่โรงพยาบาลอื่นๆ ที่เคยเจอ ต้องนอนพักอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
เมื่ออยู่ที่ห้องพัก พยาบาลนำอาหารมื้อเย็นมาให้รับประทาน (ตอนนั้นเวลาประมาณ 21:10 น.) ซึ่งอาหารก็ได้เก็บไว้ตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 16:00 น. ข้าพเจ้าก็กินหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากข้าพเจ้าหิวมาก เพราะข้าพเจ้าได้รับประทานอาหารครั้งล่าสุดเวลาประมาณ 11:00 น. และหลังจากนั้นก็ต้องเข้าโรงพยาบาลและงดน้ำงดอาหารเพื่อที่จะเตรียมเข้ารับการผ่าตัด เมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน ข้าพเจ้าก็เข้านอน แต่ก่อนที่จะเข้านอนข้าพเจ้าก็ได้ปวดปัสสาวะมาก แต่เดินไปเข้าห้องน้ำไม่สะดวกเพราะเพิ่งผ่าตัดมาใหม่ๆ แม่ก็เลยหยิบกระบอกปัสสาวะมาให้ เพื่อที่จะให้ข้าพเจ้าถ่ายปัสสาวะลงในกระบอกปัสสาวะ จากนั้นแม่ก็นำไปล้างเพื่อทำความสะอาด ก็พบว่าเป็นเมือกสกปรกมาก ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ตายแล้ว! ทำไมมันสกปรกขนาดนี้ นี่เราอยู่ห้องพิเศษ VIP ด้วยนะเนี่ย” ในคืนนั้นก็มีพยาบาลมาให้ยาฆ่าเชื้อทางกระแสเลือดเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของแผลและการติดเชื้อในกระแสเลือด อีกทั้งยังมีผู้ช่วยพยาบาลเข้ามาวัดอุณหภูมิและวัดความดันโลหิตเป็นระยะๆ
[วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2554]
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 เป็นวันที่ 2 ของการนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล เมื่อตื่นนอนก็พบว่าตรงหมอนที่เอามาวางเท้ามีรอยเลือด ซึ่งได้ซึมออกมาจากผ้า Gauze ในช่วงเช้าของวันนี้แม่ก็ได้เช็ดตัวให้ข้าพเจ้า ก็ได้หยิบกะละมังใส่น้ำเพื่อเช็ดตัว เมื่อเช็ดตัวเสร็จก็นำกะละมังไปล้างทำความสะอาด ด้านในก็ปกติดี แต่ด้านนอกสกปรกเป็นเมือกอีกแล้วเมื่อถูกน้ำ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกตกใจพอสมควร วันนี้ก็ได้มีเจ้าหน้าที่นำอาหารเช้า เที่ยง และเย็นมาให้ที่ห้อง อีกทั้งยังมียาหลังอาหารและยาก่อนนอนอีกด้วย แล้วก็มีพยาบาลวิสัญญีขึ้นมาพบ เพื่อติดตามอาการหลังการผ่าตัดว่าได้รับผลข้างเคียงจากการดมยาสลบบ้างหรือไม่ แล้วเมื่อถึงเวลาประมาณสายๆ นพ.อ.อ่าง ก็ขึ้นมาเยี่ยมที่ห้องพร้อมกับบอกว่าผลการตรวจเลือดทุกอย่างก็ปกติ โดยในวันนั้นก็จะมีการให้ยาฆ่าเชื้อทางกระแสเลือดเป็นระยะๆ อีกทั้งยังมีผู้ช่วยพยาบาลวัดอุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิตเป็นระยะๆ และเมื่อถึงเวลาประมาณ12.35 น. พยาบาลก็ได้มาทำแผลให้ที่ห้อง ซึ่งเป็นการทำแผลครั้งที่ 1 ของวันนั้น
เมื่อแกะ Gauze Bandage ออก ก็พบว่าไม่ได้พันแผลเพื่อให้แผ่นผ้า Gauze ติดกับแผลอย่างแน่นๆ (จะได้เป็นการห้ามเลือดไปด้วย) จึงทำให้เลือดไหลไม่หยุด และไหลออกมาจนชุ่มผ้า Gauze ไปหมด
ก่อนที่จะดึงแผ่นผ้า Gauze ที่ปิดปากแผลไว้ได้ ก็ต้องใช้สำลีชุบ Normal Saline แล้วก็ไปกดที่ขอบๆ แผลเบาๆ แล้วค่อยๆ ดึงผ้า Gauze ออก เนื่องจากเลือดแห้งติดอยู่ ถ้าดึงออกเลยก็จะทำให้เจ็บและเลือดออกมาก และในการดึงผ้า Gauze ที่อยู่ข้างในก็ต้องค่อยๆ ดึง อีกทั้งยังได้เอาถุงพลาสติกมารองเลือดและไว้ทิ้งผ้า Gauze ที่ดึงออกจากแผลอีกด้วย (ถังขยะนั่นเอง) ซึ่งไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ เสี่ยงต่อการติดเชื้ออย่างมาก ทางโรงพยาบาล น. ไม่ได้ระวังในเรื่องนี้เลย ใช้ถุงพลาสติก รองรับการล้างแผลทุกครั้งที่มาทำแผล
เมื่อดึงผ้า Gauze ออกหมดแล้ว ก็ยังพบว่าเลือดยังไหลไม่หยุดเลย เลือดไหลทันทีที่ดึงผ้าGauze ออก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพันแผลไม่แน่นพอ ไม่สามารถห้ามเลือดได้เลย
การทำแผล ขั้นแรกก็เอาสำลีจุ่ม Alcohol แล้วทาที่ขอบรอบแผลก่อน จากนั้นก็เอาสำลีจุ่ม Normal Saline แล้วก็ไปซับเลือดที่อยู่ในบริเวณแผล เมื่อเสร็จแล้วก็เอาผ้า Gauze ปิดแล้วก็พันช่วงข้อเท้าด้วย Gauze Bandage เหมือนเดิม
นายนิติ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของคุณแม่สมัยเรียนมัธยมศึกษา และเป็นตัวแทนจำหน่ายประกันชีวิตของ ING อีกด้วย ก็ได้มาเยี่ยมและได้มาทันการล้างแผลครั้งที่ 1 แล้วก็ได้คุยกับแม่และข้าพเจ้าด้วยใจความประมาณว่า “โรงพยาบาล น. ใช้อุปกรณ์ในการทำแผลที่ไม่ได้มาตรฐานเลย” โรงพยาบาลเอกชนที่อื่นยังทำได้ดีกว่านี้มาก แล้วทั้งแม่และน้านิติก็ได้เข้าไปพบ นพ.อ.อ่าง เพื่อพูดคุยในฐานะประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาล น. (เจ้าของโรงพยาบาล) อีกด้วยในช่วงเวลาประมาณ 13:30 น.
(แม่เล่าให้ฟังว่ามีใจความสำคัญประมาณว่า) น้านิติได้คุยถึงเรื่องบาดแผลตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันว่าจากเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ว่าทำไม นพ.ซัน รู้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 ว่าเป็น Dry Gangrene (นพ.ซัน ได้บันทึกไว้ในประวัติผู้ป่วย)
“แต่ไม่ได้บอกให้ผู้ป่วยทราบ” และยังใช้วิธีการรักษาแบบเดิมคือการล้างแผลปกติเหมือนเดิม ทำไมไม่ให้พบแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่แรก นพ.อ.อ่าง ก็บอกว่าแพทย์เฉพาะทางก็จะมาตามตารางการทำงานที่กำหนดไว้ ไม่ได้มีประจำตลอดเวลา และขอโทษแทนหมอเหล่านั้นด้วยที่ไม่ได้บอกผู้ป่วย น้านิติก็สรุปว่า ไหนๆ เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นแล้ว ขอให้ทางโรงพยาบาล “เอาใจใส่ในการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มากกว่าที่ผ่านมาและให้ดีด้วย ผมหาลูกค้าชั้นดีมาให้คุณต้องดูแลอย่างดี” นพ.อ.อ่าง ก็พูดว่า “ทางโรงพยาบาลดูแลลูกค้าอย่างดีเท่ากันหมด ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร” น้านิติก็ได้พูดต่ออีกว่า “และคนนี้ก็เป็นอาจารย์ของผมด้วย มีลูกชายคนเดียว กว่าจะได้มาไม่ใช่ได้มาง่ายๆ และได้เลือกที่จะเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เพราะคิดว่าเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในจังหวัดนี้” และ นพ.อ.อ่าง ก็ได้รับปากทุกอย่างตามที่น้านิติได้คุยไว้
ตอนเย็นของวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 มีพยาบาลมาทำแผลเวลาประมาณ 18:30 น. ซึ่งก็เป็นการทำแผลครั้งที่ 2 โดยในตอนนั้นข้าพเจ้าก็อยู่คนเดียว เนื่องจากแม่กลับไปเอาของที่บ้าน จึงไม่ได้มีการถ่ายรูปแผลเอาไว้ และหลังจากนั้นประมาณ 10-15 นาที นพ.กิต แพทย์ศัลยกรรม คนที่ทำการผ่าตัดแผล ได้มาที่ห้อง ก็ถามว่าอาการเป็นยังไงบ้าง พยาบาลมาทำแผลแล้วยัง ซึ่งก็ไม่ได้ดูแผลแต่ประการใด และในคืนนั้นก็มีพยาบาลมาให้ยาฆ่าเชื้อทางกระแสเลือดเป็นระยะๆ ผู้ช่วยพยาบาลมาวัดความดันโลหิตและวัดอุณหภูมิร่างกายเป็นระยะๆ ด้วยเช่นกัน โดยค่าที่ได้ก็เป็นค่าที่ปกติ
[วันพุธที่ 23พฤศจิกายน2554]
วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2554 เป็นวันที่ 3 ของการนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล น. ก็มีอาหารมื้อเช้า กลางวัน และเย็น ให้ตามปกติพร้อมกับยาหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ช่วงเช้า นพ.อ.อ่าง ก็ขึ้นมาเยี่ยมที่ห้องพร้อมกับถามถึงอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง ในช่วงกลางวันก็มีพยาบาลให้ยาฆ่าเชื้อเป็นระยะๆ ทางกระแสเลือด และมีผู้ช่วยพยาบาลเข้ามาวัดความดันโลหิตและวัดอุณหภูมิร่างกายเป็นระยะๆ และในวันนี้ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายโมงแล้ว พยาบาลก็ยังไม่มาทำแผลครั้งที่ 1 (หมอให้ทำแผลวันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น) แม่ของข้าพเจ้าไปตาม พยาบาลก็ตอบกลับว่า “เดี๋ยวรอหมอก่อน จะได้ไม่ต้องเปิดแผลหลายที” แต่ผู้ช่วยพยาบาลก็ตอบกลับมาว่า “ทำได้เลย ไม่ต้องรอหมอ” แต่พยาบาลก็ยังไม่ยอมมาล้างแผล จนกระทั่งเวลาประมาณ 13.30 น. ก็มาให้ยาฆ่าเชื้อทางกระแสเลือด ข้าพเจ้าจึงถามว่าจะล้างแผลเมื่อไหร่ พยาบาลก็ตอบกลับมาว่า “เดี๋ยวค่อยล้าง ตอนนี้อุปกรณ์ทำแผลอยู่ที่แผนกอื่น” กว่าจะมาล้างแผลก็เป็นเวลา 14.30 น. ซึ่งเป็นการล้างแผลครั้งที่ 1 ของวันนี้
>>>> ไว้มาติดตามเรื่องราวกันต่อในภาค 4 นะครับ
บันทึกเรื่องเล่าการบาดเจ็บ (ตะปูตำเท้า) ภาค 3
http://pantip.com/topic/33826510 ภาค 1
http://pantip.com/topic/33839462 ภาค 2
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรา....ต้องเป็นผู้ป่วยในหรือนี่
[วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2554]
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2554เวลาประมาณ 14:00 น. ข้าพเจ้าต้องเป็นผู้ป่วยใน ทางโรงพยาบาลก็ได้จัดห้องพักให้กับข้าพเจ้า โดยในระยะแรกก็จัดให้พักที่วอร์ด 3 ห้อง 308/3 ซึ่งเป็นห้องรวม (ก็เหมือนกับห้องพิเศษรวมของโรงพยาบาลรัฐ) เนื่องจากห้องพิเศษ VIP ไม่ว่างในช่วงเวลานั้น จากนั้นก็มีพยาบาลมาเจาะเลือดเพื่อเอาเลือดไปตรวจผลการติดเชื้อ HIV ค่าน้ำตาลในเลือด ค่าโซเดียมโพแทสเซียมภายในเซลล์ แล้วก็เจาะเส้นเลือดให้น้ำเกลือและงดน้ำงดอาหารเพื่อเตรียมตัวผ่าตัด (ขอบอกว่า “เข็ม” ที่นำมาให้น้ำเกลือโตมากๆ โตจนน่าตกใจ และแทงไม่เข้า ต้องแทงใหม่ คุณแม่ก็สงสัยว่าทำไมเข็มโตมากมายขนาดนั้น ก็ได้คำตอบจากพยาบาลว่า ...ใช้เข็มโต เผื่อว่าความดันโลหิตมีปัญหาขณะผ่าตัด จะได้แก้ปัญหาได้โดยการเร่งน้ำเกลือ)
เวลาประมาณ 17.00 น. ก็ได้เข้าพักห้องพิเศษ VIP เป็นห้องปรับอากาศ เย็นสบายมาก ได้เข้าพักที่ห้อง 305 ก็เกิดคำถามในใจว่านี่มันโรงพยาบาลหรือโรงแรม เนื่องจากในห้องมีสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มากมายเพื่อใช้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยและญาติที่เฝ้าผู้ป่วย โดยสิ่งของเครื่องใช้ที่มีในห้องก็ได้แก่ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (เล่นอินเตอร์เน็ตได้ด้วย) กระจกเงา ฯลฯ ดูจากภายนอกแล้วจัดสิ่งของอำนวยความสะดวกให้ได้ดีมาก ห้องก็ดูโดยรวมสะอาด สบาย และน่าพักรักษาตัวดีทีเดียว
เวลาประมาณ 19:00 น. ของวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 คุณแม่กลับไปบ้านซึ่งอยู่ติดกับโรงพยาบาล เพื่ออาบน้ำและนำของใช้มานอนกับลูก นพ.กิต (นามสมมติ) ศัลยแพทย์แห่งโรงพยาบาล น. ก็ได้เข้ามาที่ห้องพร้อมกับพยาบาล 1 คน เพื่อดูแผล พร้อมกับถามว่าแผลไปถูกอะไรมา ข้าพเจ้าก็เล่าให้ฟังโดยคร่าวๆ จากนั้นหมอก็ได้พูดชี้แจงเกี่ยวกับการผ่าตัด ว่า.... “จะผ่าตัดเนื้อส่วนที่ตายออก โดยยึดหลักที่ว่าเนื้อตายเท่าไรตัดออกเท่านั้น ในการผ่าตัดอาจจะบล็อกหลังหรือไม่ก็ดมยาสลบ” พร้อมกับบอกว่าจะผ่าตัดภายในเวลา 20:00 น.ของคืนนั้นเลย...... ทำให้ข้าพเจ้าทั้งงงและตกใจมาก อารมณ์ตอนนั้นแทบตั้งตัวไม่ทัน เมื่อหมอและพยาบาลเดินออกไปจากห้องแล้วข้าพเจ้าก็รีบโทรศัพท์หาคุณแม่ทันทีเพื่อให้รีบมาโรงพยาบาลให้ทันก่อนที่ข้าพเจ้าจะเข้าห้องผ่าตัด และเมื่อใกล้ถึงเวลาที่จะทำการผ่าตัด ก็มีพยาบาลเข้ามาบอกถึงสิ่งที่ต้องปฏิบัติก่อนเข้าห้องผ่าตัด นั่นก็คือต้องไม่ใส่กางเกงใน เครื่องประดับ และสิ่งของมีค่าใดๆ เมื่อใกล้เวลาผ่าตัด ก็มีเจ้าหน้าที่พร้อมกับผู้ช่วยพยาบาลเอารถเข็นผู้ป่วยมารับข้าพเจ้าแล้วก็พาไปที่ห้องเอ็กซเรย์เพื่อทำการเอกซเรย์ปอด ดูว่าปอดมีความผิดปกติหรือไม่ ก่อนที่จะเข้าผ่าตัด เพราะถ้าไม่ปกติอาจทำให้มีปัญหาระหว่างผ่าตัดก็ได้ จากนั้นก็พาไปที่ห้องผ่าตัดซึ่งคุณแม่ก็มาทันเวลาพอดี (มาถึงก่อนเข้าห้องผ่าตัดประมาณ 5 นาที) ทีมพยาบาลผ่าตัดก็บอกให้คุณแม่ไปคอยอยู่ที่ห้อง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็นำข้าพเจ้าเข้าห้องเตรียมผ่าตัด ให้ข้าพเจ้านอนบนเตียง แล้วก็เอาผ้าห่มคลุม และให้สวมหมวกคลุมผม เมื่อทีมแพทย์และพยาบาลที่จะทำการผ่าตัดพร้อมแล้ว ก็ได้เข็นเตียงที่ข้าพเจ้านอนอยู่เข้าไปในห้องผ่าตัดจากนั้นก็ให้ถอดกางเกงออก โดยขณะถอดก็นอนอยู่ และก็มีผ้าห่มคลุมไว้ หลังจากนั้นพยาบาลก็ได้นำสายจากเครื่อง EKG ประมาณ 4-5 สาย มาติดตามจุดต่างๆ บริเวณร่างกายส่วนบน และก็เอา cuff มาใส่ที่แขนท่อนบนข้างซ้ายเพื่อวัดความดันเป็นระยะ ๆจากนั้นก็เปิดแผล และทายาเบตาดีนที่ส้นเท้าข้างซ้ายทั้งหมดเพื่อที่จะทำการฆ่าเชื้อก่อนการผ่าตัด จากนั้นก็มีพยาบาลคนหนึ่งก็ได้บอกว่า “เดี๋ยวจะทำการผ่าตัดโดยจะให้ดมยาสลบนะคะ และถ้าหากว่ารู้สึกตัวในช่วงไหนก็ไม่ต้องดิ้นนะคะ ไม่มีอะไรเจ็บค่ะ” แล้วก็เอาอะไรซักอย่างมาครอบที่จมูก หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็จำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่ที่ห้องเตรียมผ่าตัด เมื่อรู้สึกตัวแล้วเจ้าหน้าที่ก็พาไปส่งที่ห้องพักเลย ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าเพิ่งฟื้นและยังพูดจาเลอะเลือนคล้ายๆ คนเมา เนื่องจากยาสลบยังไม่หมดฤทธิ์ไม่ได้ให้นอนพักและสังเกตอาการหลังผ่าตัด เหมือนที่โรงพยาบาลอื่นๆ ที่เคยเจอ ต้องนอนพักอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
เมื่ออยู่ที่ห้องพัก พยาบาลนำอาหารมื้อเย็นมาให้รับประทาน (ตอนนั้นเวลาประมาณ 21:10 น.) ซึ่งอาหารก็ได้เก็บไว้ตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 16:00 น. ข้าพเจ้าก็กินหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากข้าพเจ้าหิวมาก เพราะข้าพเจ้าได้รับประทานอาหารครั้งล่าสุดเวลาประมาณ 11:00 น. และหลังจากนั้นก็ต้องเข้าโรงพยาบาลและงดน้ำงดอาหารเพื่อที่จะเตรียมเข้ารับการผ่าตัด เมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน ข้าพเจ้าก็เข้านอน แต่ก่อนที่จะเข้านอนข้าพเจ้าก็ได้ปวดปัสสาวะมาก แต่เดินไปเข้าห้องน้ำไม่สะดวกเพราะเพิ่งผ่าตัดมาใหม่ๆ แม่ก็เลยหยิบกระบอกปัสสาวะมาให้ เพื่อที่จะให้ข้าพเจ้าถ่ายปัสสาวะลงในกระบอกปัสสาวะ จากนั้นแม่ก็นำไปล้างเพื่อทำความสะอาด ก็พบว่าเป็นเมือกสกปรกมาก ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ตายแล้ว! ทำไมมันสกปรกขนาดนี้ นี่เราอยู่ห้องพิเศษ VIP ด้วยนะเนี่ย” ในคืนนั้นก็มีพยาบาลมาให้ยาฆ่าเชื้อทางกระแสเลือดเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของแผลและการติดเชื้อในกระแสเลือด อีกทั้งยังมีผู้ช่วยพยาบาลเข้ามาวัดอุณหภูมิและวัดความดันโลหิตเป็นระยะๆ
[วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2554]
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 เป็นวันที่ 2 ของการนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล เมื่อตื่นนอนก็พบว่าตรงหมอนที่เอามาวางเท้ามีรอยเลือด ซึ่งได้ซึมออกมาจากผ้า Gauze ในช่วงเช้าของวันนี้แม่ก็ได้เช็ดตัวให้ข้าพเจ้า ก็ได้หยิบกะละมังใส่น้ำเพื่อเช็ดตัว เมื่อเช็ดตัวเสร็จก็นำกะละมังไปล้างทำความสะอาด ด้านในก็ปกติดี แต่ด้านนอกสกปรกเป็นเมือกอีกแล้วเมื่อถูกน้ำ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกตกใจพอสมควร วันนี้ก็ได้มีเจ้าหน้าที่นำอาหารเช้า เที่ยง และเย็นมาให้ที่ห้อง อีกทั้งยังมียาหลังอาหารและยาก่อนนอนอีกด้วย แล้วก็มีพยาบาลวิสัญญีขึ้นมาพบ เพื่อติดตามอาการหลังการผ่าตัดว่าได้รับผลข้างเคียงจากการดมยาสลบบ้างหรือไม่ แล้วเมื่อถึงเวลาประมาณสายๆ นพ.อ.อ่าง ก็ขึ้นมาเยี่ยมที่ห้องพร้อมกับบอกว่าผลการตรวจเลือดทุกอย่างก็ปกติ โดยในวันนั้นก็จะมีการให้ยาฆ่าเชื้อทางกระแสเลือดเป็นระยะๆ อีกทั้งยังมีผู้ช่วยพยาบาลวัดอุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิตเป็นระยะๆ และเมื่อถึงเวลาประมาณ12.35 น. พยาบาลก็ได้มาทำแผลให้ที่ห้อง ซึ่งเป็นการทำแผลครั้งที่ 1 ของวันนั้น
เมื่อแกะ Gauze Bandage ออก ก็พบว่าไม่ได้พันแผลเพื่อให้แผ่นผ้า Gauze ติดกับแผลอย่างแน่นๆ (จะได้เป็นการห้ามเลือดไปด้วย) จึงทำให้เลือดไหลไม่หยุด และไหลออกมาจนชุ่มผ้า Gauze ไปหมด
ก่อนที่จะดึงแผ่นผ้า Gauze ที่ปิดปากแผลไว้ได้ ก็ต้องใช้สำลีชุบ Normal Saline แล้วก็ไปกดที่ขอบๆ แผลเบาๆ แล้วค่อยๆ ดึงผ้า Gauze ออก เนื่องจากเลือดแห้งติดอยู่ ถ้าดึงออกเลยก็จะทำให้เจ็บและเลือดออกมาก และในการดึงผ้า Gauze ที่อยู่ข้างในก็ต้องค่อยๆ ดึง อีกทั้งยังได้เอาถุงพลาสติกมารองเลือดและไว้ทิ้งผ้า Gauze ที่ดึงออกจากแผลอีกด้วย (ถังขยะนั่นเอง) ซึ่งไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ เสี่ยงต่อการติดเชื้ออย่างมาก ทางโรงพยาบาล น. ไม่ได้ระวังในเรื่องนี้เลย ใช้ถุงพลาสติก รองรับการล้างแผลทุกครั้งที่มาทำแผล
เมื่อดึงผ้า Gauze ออกหมดแล้ว ก็ยังพบว่าเลือดยังไหลไม่หยุดเลย เลือดไหลทันทีที่ดึงผ้าGauze ออก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพันแผลไม่แน่นพอ ไม่สามารถห้ามเลือดได้เลย
การทำแผล ขั้นแรกก็เอาสำลีจุ่ม Alcohol แล้วทาที่ขอบรอบแผลก่อน จากนั้นก็เอาสำลีจุ่ม Normal Saline แล้วก็ไปซับเลือดที่อยู่ในบริเวณแผล เมื่อเสร็จแล้วก็เอาผ้า Gauze ปิดแล้วก็พันช่วงข้อเท้าด้วย Gauze Bandage เหมือนเดิม
นายนิติ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของคุณแม่สมัยเรียนมัธยมศึกษา และเป็นตัวแทนจำหน่ายประกันชีวิตของ ING อีกด้วย ก็ได้มาเยี่ยมและได้มาทันการล้างแผลครั้งที่ 1 แล้วก็ได้คุยกับแม่และข้าพเจ้าด้วยใจความประมาณว่า “โรงพยาบาล น. ใช้อุปกรณ์ในการทำแผลที่ไม่ได้มาตรฐานเลย” โรงพยาบาลเอกชนที่อื่นยังทำได้ดีกว่านี้มาก แล้วทั้งแม่และน้านิติก็ได้เข้าไปพบ นพ.อ.อ่าง เพื่อพูดคุยในฐานะประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาล น. (เจ้าของโรงพยาบาล) อีกด้วยในช่วงเวลาประมาณ 13:30 น.
(แม่เล่าให้ฟังว่ามีใจความสำคัญประมาณว่า) น้านิติได้คุยถึงเรื่องบาดแผลตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันว่าจากเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ว่าทำไม นพ.ซัน รู้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 ว่าเป็น Dry Gangrene (นพ.ซัน ได้บันทึกไว้ในประวัติผู้ป่วย) “แต่ไม่ได้บอกให้ผู้ป่วยทราบ” และยังใช้วิธีการรักษาแบบเดิมคือการล้างแผลปกติเหมือนเดิม ทำไมไม่ให้พบแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่แรก นพ.อ.อ่าง ก็บอกว่าแพทย์เฉพาะทางก็จะมาตามตารางการทำงานที่กำหนดไว้ ไม่ได้มีประจำตลอดเวลา และขอโทษแทนหมอเหล่านั้นด้วยที่ไม่ได้บอกผู้ป่วย น้านิติก็สรุปว่า ไหนๆ เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นแล้ว ขอให้ทางโรงพยาบาล “เอาใจใส่ในการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มากกว่าที่ผ่านมาและให้ดีด้วย ผมหาลูกค้าชั้นดีมาให้คุณต้องดูแลอย่างดี” นพ.อ.อ่าง ก็พูดว่า “ทางโรงพยาบาลดูแลลูกค้าอย่างดีเท่ากันหมด ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร” น้านิติก็ได้พูดต่ออีกว่า “และคนนี้ก็เป็นอาจารย์ของผมด้วย มีลูกชายคนเดียว กว่าจะได้มาไม่ใช่ได้มาง่ายๆ และได้เลือกที่จะเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เพราะคิดว่าเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในจังหวัดนี้” และ นพ.อ.อ่าง ก็ได้รับปากทุกอย่างตามที่น้านิติได้คุยไว้
ตอนเย็นของวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 มีพยาบาลมาทำแผลเวลาประมาณ 18:30 น. ซึ่งก็เป็นการทำแผลครั้งที่ 2 โดยในตอนนั้นข้าพเจ้าก็อยู่คนเดียว เนื่องจากแม่กลับไปเอาของที่บ้าน จึงไม่ได้มีการถ่ายรูปแผลเอาไว้ และหลังจากนั้นประมาณ 10-15 นาที นพ.กิต แพทย์ศัลยกรรม คนที่ทำการผ่าตัดแผล ได้มาที่ห้อง ก็ถามว่าอาการเป็นยังไงบ้าง พยาบาลมาทำแผลแล้วยัง ซึ่งก็ไม่ได้ดูแผลแต่ประการใด และในคืนนั้นก็มีพยาบาลมาให้ยาฆ่าเชื้อทางกระแสเลือดเป็นระยะๆ ผู้ช่วยพยาบาลมาวัดความดันโลหิตและวัดอุณหภูมิร่างกายเป็นระยะๆ ด้วยเช่นกัน โดยค่าที่ได้ก็เป็นค่าที่ปกติ
[วันพุธที่ 23พฤศจิกายน2554]
วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2554 เป็นวันที่ 3 ของการนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล น. ก็มีอาหารมื้อเช้า กลางวัน และเย็น ให้ตามปกติพร้อมกับยาหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ช่วงเช้า นพ.อ.อ่าง ก็ขึ้นมาเยี่ยมที่ห้องพร้อมกับถามถึงอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง ในช่วงกลางวันก็มีพยาบาลให้ยาฆ่าเชื้อเป็นระยะๆ ทางกระแสเลือด และมีผู้ช่วยพยาบาลเข้ามาวัดความดันโลหิตและวัดอุณหภูมิร่างกายเป็นระยะๆ และในวันนี้ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายโมงแล้ว พยาบาลก็ยังไม่มาทำแผลครั้งที่ 1 (หมอให้ทำแผลวันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น) แม่ของข้าพเจ้าไปตาม พยาบาลก็ตอบกลับว่า “เดี๋ยวรอหมอก่อน จะได้ไม่ต้องเปิดแผลหลายที” แต่ผู้ช่วยพยาบาลก็ตอบกลับมาว่า “ทำได้เลย ไม่ต้องรอหมอ” แต่พยาบาลก็ยังไม่ยอมมาล้างแผล จนกระทั่งเวลาประมาณ 13.30 น. ก็มาให้ยาฆ่าเชื้อทางกระแสเลือด ข้าพเจ้าจึงถามว่าจะล้างแผลเมื่อไหร่ พยาบาลก็ตอบกลับมาว่า “เดี๋ยวค่อยล้าง ตอนนี้อุปกรณ์ทำแผลอยู่ที่แผนกอื่น” กว่าจะมาล้างแผลก็เป็นเวลา 14.30 น. ซึ่งเป็นการล้างแผลครั้งที่ 1 ของวันนี้
>>>> ไว้มาติดตามเรื่องราวกันต่อในภาค 4 นะครับ