แล้งนี้ ร้ายนัก งดนาปี มีอะไรกิน น้ำหาย ใครทำ?
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 14:01:32 น.
(ที่มา:มติชนรายวัน 25 มิ.ย.2558)
ถ้าชาวนาคือเกษตรกรจำนวนร้อยละ 60-70 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมดประมาณ 30 ล้านคน
ย่อมหมายความว่าในปีนี้ จำนวนเกษตรกรและครอบครัวที่จะประสบปัญหาจากภาวะขาดน้ำ
จนแห้งแล้งอย่างรุนแรง ย่อมมีไม่ต่ำกว่า 18-20 ล้านคน
ความเสียหายนี้รุนแรงเพียงใด
นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า
กรมชลประทานประกาศหยุดปล่อยน้ำและให้เกษตรกรชะลอการเพาะปลูกข้าวนาปี
ในพื้นที่จังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และผู้ใช้น้ำทุกรายใช้น้ำอย่างประหยัดตั้งแต่
9 มิถุนายน 2558 ไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม
เนื่องจากสถานการณ์น้ำที่ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวนาปี และนาปรัง การอุปโภค-บริโภค
และกิจกรรมอื่นๆ รวมทั้งปริมาณน้ำฝนที่ทิ้งช่วง
ในการนี้ สศก.วิเคราะห์ถึงค่าเสียโอกาสของการหมุนเวียนเม็ดเงินการปลูกข้าวนาปี 2558 ที่กำลังดำเนินการเพาะปลูกในขณะนี้ของเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 13 ล้านไร่
ต้องเลื่อนหรือชะลอการเพาะปลูกออกไป
โดยประเมินภายใต้กรอบของต้นทุนการผลิตข้าวนาปี ได้แก่ ค่าแรงงาน ค่าพันธุ์ ค่าปุ๋ย
ค่ายาปราบศัตรูพืช ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น
อื่นๆ เช่น ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร ค่าวัสดุอุปกรณ์ และวัสดุสิ้นเปลือง ค่าเสียโอกาสเงินลงทุน
จะรวมเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น 60,171.93 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ให้ความเห็นว่า
การประกาศว่าจะขาดน้ำในช่วงนี้และชาวนาไม่ควรทำนา ถือว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
เพราะก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีถึงหน้าร้อน ได้สั่งให้ชาวนาหยุดทำนารอบที่ 1 ไปแล้ว
อ้างปัญหาภัยแล้งในหน้าร้อน
มาตอนนี้เข้าหน้าฝนแล้ว ยังมาสั่งให้หยุดทำนาอีกรอบ เป็นครั้งที่ 2 และอ้างภัยแล้งอีก
จึงขอเรียกร้องให้
1.รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยเพื่อช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 3,000 บาท ไม่เกิน 30 ไร่/ราย
ยึดข้อมูลจากฐานการขึ้นทะเบียนชาวนาของกระทรวงเกษตรฯ
และให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐ เช่น หน่วยงานเกษตร ท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้านสนธิกำลังร่วม
ตรวจสอบรายชื่อ จำนวนที่นา/ไร่ ให้เป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบันถูกต้อง ป้องกันข้อหาทุจริตหรือมีคนอื่นนอกจากชาวนาที่ได้รับผลกระทบมาสวมรอยได้ประโยชน์
2.พักชำระหนี้ชาวนาเป็นเวลา 3 ปี ต่อเนื่องโดยไม่คิดดอกเบี้ย
โดย ธ.ก.ส.น่าจะนำร่อง และธนาคารอื่นที่ชาวนาไปกู้ก็ควรทำตาม เพราะว่าตอนนี้ไม่รู้
จะเอาเงินที่ไหนไปใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ย
ส่วนโครงการปลูกพืชอื่นทดแทน ในความเป็นจริงไม่สำเร็จ เพราะขาดน้ำจะไปปลูกอะไรได้
อาจมีบางคนที่ทำได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าชาวนาทั้งหมดที่หยุดทำนาจะทำได้
หากรัฐบาลไม่สามารถช่วยเหลือชาวนาได้ ก็เท่ากับว่าฆ่าชาวนา เพราะทั้งปีนี้ไม่ต้องทำนากัน
จะให้ไปทำนาช่วงปลายปีนั้นทำไม่ได้ เพราะเป็นช่วงน้ำเหนือหลากเข้าทุ่ง
นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ปัญหาน้ำใน 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล
เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีปริมาณน้ำใช้การได้เหลือแค่
1,100 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมีน้ำใช้ได้ 30 วัน
เพราะมีการสั่งการจากฝ่ายการเมือง โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบ
บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กนย.) สั่งการให้ระบายน้ำในเขื่อนทุกเขื่อนลงเหลือ 45%
ของความจุเขื่อน เพราะเกรงจะเกิดน้ำท่วมซ้ำรอยปี 2554
ทั้งนี้ ปริมาณน้ำที่ระบายออกในขณะนั้นรวม 1.4 หมื่นล้าน ลบ.ม. จนปริมาณน้ำสะสมเหลือน้อย ขณะที่กรมชลฯได้พยายามทัดทานและประวิงเวลาการระบายน้ำมาโดยตลอด
ท้ายที่สุดฝ่ายการเมืองได้ยอมรับฟังเหตุผลให้หยุดการระบายน้ำจากเขื่อนได้ แต่
ได้มีการระบายออกไปจำนวนมากแล้ว เป็นปริมาณน้ำที่ระบายออกที่มากที่สุดในรอบ 15 ปี
รายงานข่าวระบุว่า มติที่ประชุม กนย.ที่กล่าวถึงนั้น คือการประชุมในปี 2555
น่าทึ่งว่าส่งผลต่อเนื่องยาวนานมาถึงปี 2558 ได้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435215636
มติที่ประชุมกนย.ที่กล่าวถึงนี้ นำมาอ้างอิงซ้ำชาก หลายกระทู้ และจากสื่อหลายสำนัก
จนรัฐบาลที่แล้วกลายเป็นจำเลย ที่ทำให้เกิด "น้ำแล้ง"
โดยลืมข้อเท็จจริงว่า คสช. บริหารประเทศมา 1 ปีแล้ว และมีแผนบริหารจัดการน้ำแล้ว
คสช.เร่งจัดการน้ำท่วม-น้ำแล้ง ให้การบ้านจัดทำแผนใน 3 เดือน
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000078
อีกสักที กับ "น้ำแล้ง" ใครทำ .... /sao..เหลือ..noi
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 14:01:32 น.
(ที่มา:มติชนรายวัน 25 มิ.ย.2558)
ถ้าชาวนาคือเกษตรกรจำนวนร้อยละ 60-70 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมดประมาณ 30 ล้านคน
ย่อมหมายความว่าในปีนี้ จำนวนเกษตรกรและครอบครัวที่จะประสบปัญหาจากภาวะขาดน้ำ
จนแห้งแล้งอย่างรุนแรง ย่อมมีไม่ต่ำกว่า 18-20 ล้านคน
ความเสียหายนี้รุนแรงเพียงใด
นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า
กรมชลประทานประกาศหยุดปล่อยน้ำและให้เกษตรกรชะลอการเพาะปลูกข้าวนาปี
ในพื้นที่จังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และผู้ใช้น้ำทุกรายใช้น้ำอย่างประหยัดตั้งแต่
9 มิถุนายน 2558 ไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม
เนื่องจากสถานการณ์น้ำที่ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวนาปี และนาปรัง การอุปโภค-บริโภค
และกิจกรรมอื่นๆ รวมทั้งปริมาณน้ำฝนที่ทิ้งช่วง
ในการนี้ สศก.วิเคราะห์ถึงค่าเสียโอกาสของการหมุนเวียนเม็ดเงินการปลูกข้าวนาปี 2558 ที่กำลังดำเนินการเพาะปลูกในขณะนี้ของเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 13 ล้านไร่
ต้องเลื่อนหรือชะลอการเพาะปลูกออกไป
โดยประเมินภายใต้กรอบของต้นทุนการผลิตข้าวนาปี ได้แก่ ค่าแรงงาน ค่าพันธุ์ ค่าปุ๋ย
ค่ายาปราบศัตรูพืช ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น
อื่นๆ เช่น ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร ค่าวัสดุอุปกรณ์ และวัสดุสิ้นเปลือง ค่าเสียโอกาสเงินลงทุน
จะรวมเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น 60,171.93 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ให้ความเห็นว่า
การประกาศว่าจะขาดน้ำในช่วงนี้และชาวนาไม่ควรทำนา ถือว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
เพราะก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีถึงหน้าร้อน ได้สั่งให้ชาวนาหยุดทำนารอบที่ 1 ไปแล้ว
อ้างปัญหาภัยแล้งในหน้าร้อน
มาตอนนี้เข้าหน้าฝนแล้ว ยังมาสั่งให้หยุดทำนาอีกรอบ เป็นครั้งที่ 2 และอ้างภัยแล้งอีก
จึงขอเรียกร้องให้
1.รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยเพื่อช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 3,000 บาท ไม่เกิน 30 ไร่/ราย
ยึดข้อมูลจากฐานการขึ้นทะเบียนชาวนาของกระทรวงเกษตรฯ
และให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐ เช่น หน่วยงานเกษตร ท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้านสนธิกำลังร่วม
ตรวจสอบรายชื่อ จำนวนที่นา/ไร่ ให้เป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบันถูกต้อง ป้องกันข้อหาทุจริตหรือมีคนอื่นนอกจากชาวนาที่ได้รับผลกระทบมาสวมรอยได้ประโยชน์
2.พักชำระหนี้ชาวนาเป็นเวลา 3 ปี ต่อเนื่องโดยไม่คิดดอกเบี้ย
โดย ธ.ก.ส.น่าจะนำร่อง และธนาคารอื่นที่ชาวนาไปกู้ก็ควรทำตาม เพราะว่าตอนนี้ไม่รู้
จะเอาเงินที่ไหนไปใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ย
ส่วนโครงการปลูกพืชอื่นทดแทน ในความเป็นจริงไม่สำเร็จ เพราะขาดน้ำจะไปปลูกอะไรได้
อาจมีบางคนที่ทำได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าชาวนาทั้งหมดที่หยุดทำนาจะทำได้
หากรัฐบาลไม่สามารถช่วยเหลือชาวนาได้ ก็เท่ากับว่าฆ่าชาวนา เพราะทั้งปีนี้ไม่ต้องทำนากัน
จะให้ไปทำนาช่วงปลายปีนั้นทำไม่ได้ เพราะเป็นช่วงน้ำเหนือหลากเข้าทุ่ง
นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ปัญหาน้ำใน 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล
เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีปริมาณน้ำใช้การได้เหลือแค่
1,100 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมีน้ำใช้ได้ 30 วัน
เพราะมีการสั่งการจากฝ่ายการเมือง โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบ
บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กนย.) สั่งการให้ระบายน้ำในเขื่อนทุกเขื่อนลงเหลือ 45%
ของความจุเขื่อน เพราะเกรงจะเกิดน้ำท่วมซ้ำรอยปี 2554
ทั้งนี้ ปริมาณน้ำที่ระบายออกในขณะนั้นรวม 1.4 หมื่นล้าน ลบ.ม. จนปริมาณน้ำสะสมเหลือน้อย ขณะที่กรมชลฯได้พยายามทัดทานและประวิงเวลาการระบายน้ำมาโดยตลอด
ท้ายที่สุดฝ่ายการเมืองได้ยอมรับฟังเหตุผลให้หยุดการระบายน้ำจากเขื่อนได้ แต่
ได้มีการระบายออกไปจำนวนมากแล้ว เป็นปริมาณน้ำที่ระบายออกที่มากที่สุดในรอบ 15 ปี
รายงานข่าวระบุว่า มติที่ประชุม กนย.ที่กล่าวถึงนั้น คือการประชุมในปี 2555
น่าทึ่งว่าส่งผลต่อเนื่องยาวนานมาถึงปี 2558 ได้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435215636
มติที่ประชุมกนย.ที่กล่าวถึงนี้ นำมาอ้างอิงซ้ำชาก หลายกระทู้ และจากสื่อหลายสำนัก
จนรัฐบาลที่แล้วกลายเป็นจำเลย ที่ทำให้เกิด "น้ำแล้ง"
โดยลืมข้อเท็จจริงว่า คสช. บริหารประเทศมา 1 ปีแล้ว และมีแผนบริหารจัดการน้ำแล้ว
คสช.เร่งจัดการน้ำท่วม-น้ำแล้ง ให้การบ้านจัดทำแผนใน 3 เดือน
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000078