ขอท้าวความยาวนิดหนึ่งนะค่ะ
เราอยู่กินกับสามีมาเกือบ 5ปีแล้วค่ะ สามีและเราจะทำแต่งานนอกบ้าน เราขอออกตัวเลยว่าเราไม่เคยชอบทำงานบ้านเลย
ก่อนแต่งงาน เราจะหาที่พักที่อยู่ใกล้กับที่ทำงาน แล้วเราก็จ้างแม่บ้านของออฟฟิศนี่ละ เก็บกวาดให้อาทิตย์ละครั้ง 2ครั้ง
แม่บ้านส่วนใหญ่ก็ยินดีกับรายได้เสริม เราก็ชอบด้วยแหละ
หลังจากแต่งงาน สามีเราก็ขอให้เราลาออกจากงาน ตามไปอยู่ต่างประทศด้วย บริษัทที่สามีเราทำงานด้วย
เขาจ่ายค่าจ้างให้เป็นแพคเก็ตเอ็กส์แพคให้กับสามีเรา ก็มีตั๋วไปกลับเยี่ยมบ้านปีละครั้ง รถประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ บ้านพร้อมแม่บ้าน
ส่วนค่าสารณูประโภคจ่ายเอง
แต่งานจะย้ายไปเรื่อยๆแล้วแต่เขาจะส่งไปประเทศไหน อยู่ไม่เป็นหลักส่วนใหญ่จะเป็นประเทศแถบเอชีย
แต่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะได้แพคเก็ตแบบนี้ เข้าทางเราเลย เป็นมาดามไปสิ มีคนขับรถ มีแม่บ้าน แต่เราเป็นคนบ้างานค่ะ
ไม่อยากอยู่เฉยๆ พอไม่ได้ทำงานบ้าน ไม่ต้องดูแลสามีมาก เราเลยออกหางานทำ
ได้งานใกล้บ้านที่พักเดินไปได้ แต่เงินเดือนเราน้อยกว่าเงินเดือนแม่บ้านเราอีก
เพียงแต่เราได้หยุด2วัน แม่บ้านเราหยุดวันอาทิตย์วันเดียว ก็ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆละเนอะ
จนสามีเราโดนย้ายไปอินเดีย ไปคุมโรงงานใหม่ที่นั่น และเราก็โดนเรียกตัวไปช่วย เพราะเมีปัญหากับพนักงาน
เจ้าของษริษัทคิดประมาณว่า เราว่าคนเอเชียเหมือนกับพนักงานที่นั่นน่าจะเข้าใจวัฒนธรรมกันและสือสารกันง่ายมากขึ้น
จึงจ้างเราเป็นผู้ช่วยประสานงานให้อีกที แต่ที่ไหนได้ คนอินเดียเจ้าเล่ห์มาก เราตามลูกน้องไม่ทัน
ทุกวันเราจะโดนลูกน้องหลอก มันโกหกตลอดๆ
แผนกสั่งซื้อก็จะซื้อแต่ของๆญาติตัวเอง ไม่ได้ดูการเปรียบเทียบราคาอะไรเลย หัวหน้าก็จะเอาแต่ครอบครัวตัวเองมาทำงาน
พอเราเตือนคนหนึ่ง กระทบกระเทือนมันทั้งโรงงาน เหนื่อยมากแต่ก็กัดฟันทำจนหมดสัญญา 6เดือน
แล้วขอสามีกลับมาอยู่บ้านกับแม่ที่เมืองไทย
สามีเราก็ตามใจ ตัวเขาก็ทนทำจนครบปี หมดสัญญาแล้วไม่ต่อสัญญา ออกงานกลับบ้าน
หนีตามเมียกลับมาอยุ่เมืองไทย พากันตกงานสิค๊ะ
ตอนนั้นสามีเราอยากหางานใหม่พอดี เพราะอยู่กับบริษัทเก่ามาเกือบ7ปีแล้ว อยู่แต่แถบเอเชีย
เขาอยากย้ายกลับฝั่งยุโรปทางบ้านเขาบ้าง
แต่ตกงานกันเกือบ6เดือน ส่งใบสมัครงานไปทั่วโลกแต่ไม่มีบริษัทไหนเรียกตัวเลยสักที่
เราคนไม่เคยอยู่เฉยพอตกงานนานๆเริ่มเครียด ค่าใช้จ่ายก็เยอะ เพราะเราและสามีเลี้ยงดูแม่เรา และส่งเสียแม่เขาด้วย
พอไม่มีรายได้เข้ามาเกือบปีนี่ แย่เลย ใช้แต่เงินเก็บ เราเลยออกมาหางานเองที่กรุงเทพ และได้งานที่บริษัทของคนอังกฤษ
เราจึงย้ายเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ และลากสามีมาด้วย
จะทิ้งไว้ที่บ้านก็สงสารแม่ สือสารกันที มือไม้พันกันยุ่งไปหมด ลุกเขยอยากดื่มกาแฟ แม่ยายกลับเอาหมูปิ้งมาให้อะไรยังงี้
พอมาอยู่กรุงเทพ เราเช่าคอนโดเล็กๆ ขนาดห้องนอนเดียว ไม่มีแม่บ้าน ไม่มีสถานที่รับแขก เน้นถูกๆ อยู่ง่ายๆ
เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ชอบทำงานบ้านมากๆ
มาอยู่ที่นี่เราทำงานนอกบ้าน แต่กลับมาก็ยังทำกับข้าว เก็บบ้านทำงานบ้านซักผ้าใส่รีดผ้า คิดถึงเบิร์นนี่(แม่บ้านเก่า)สุดๆเลย ..
วันหนึ่งสามีเราบ่น “ผมเบื่อจังเลย อยู่ห้องเฉยๆรอคุณกลับมา ไม่มีอะไรให้ทำเลย” ต๋ายยย ไม่มีอะไรทำ พูดออกมาได้เนาะ คุณชายยยย
เราก็ตอบไป แบบไม่ได้คิดมาก “โอ้ย งานเยอะแยะ ถ้าคุณจะทำ ล้างจาน ถูบ้าน ซักผ้า เช็ดฝุ่น ขัดห้องนี่ คุณก็ทำไปสิ ฉันกลับมาเหนื่อยๆ จะได้พักบ้าง” สามีเราก็ว่า จริงเหรอ ผมทำได้จริงเหรอ
"เอ้า!ได้สิค่ะ เนี่ยคุณทำไปเลย พอฉันกลับมา ก็แค่ทำกับ เรากินข้าวกัน จะได้มีเวลาคุยกัน ใช้เวลาดูหนังดูทีวีกันบ้างเนอะ"
สามีก็เออๆ ออๆ เหมือนจะเห็นดีด้วย แต่เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเยอะ แค่คุยๆกันไป ได้ก็ดี แหะๆ ...
ลืมบอกไปว่า สามีเราเป็นเจ้าระเบียบมาก จานกินเสร็จต้องล้าง และเช็ดเข้าที่เลย จะล้างแล้วมาคว่ำรอให้แห้งเองนี่ ไม่ได้
เสื้อผ้าต้องรีด แขวนเรียงแยกสีแยกไซด์ แยกชุดทำงาน ผ้าเที่ยวเสื้อผาอยู่บ้าน
ของใช้ทุกอย่างเขานี่ใช้เสร็จจะเก็บเข้าที่ทันที เสื้อผ้าถอดเสร็จต้องใส่ลงตะกร้า เป็นระเบียบมากกว่าเราอีก
แต่อาทิตย์หนึ่งผ่าน อิฉันก็ยังเป็นฝ่ายทำงานบ้านเอง จนเข้าอาทิตย์ที่2 คุณชายก็โทรถามว่าวันนี้เลิกงานกี่โมง
คาดว่าจะถึงบ้านกี่โมง เราก็แอบแปลกใจ ทุกทีไม่เห็นถาม พอกลับถึงบ้าน
เปิดประตูเจอพื้นเป็นเมือกน้ำลื่นๆ พร้อมกับสามีนั่งหน้าสลด หน้าตาเป็นกังวลมาก
นางสารภาพว่า อยากช่วยเราถูบ้านเราก็ถามคุณทำยังไง นางรีบตอบ “ ผมทำเหมือนคุณเปี๊ยบเลย” เหมือนยังไง เราก็สงสัย
นางบอก ผมก็เอาน้ำใส่อันนี้( กะละมัง) แล้วก็ใส่อันนี้(น้ำยาถูพื้น)
แล้วก็ทำแบบนี้ๆ (นางทำท่าเอาผ้าถูพื้นจุมๆแล้วกำๆบีบๆเอาน้ำออก )แล้วผมก็ทำแบบนี้ แบบนี้ แบบนี้(ทำท่ายึกยักๆ แบบคนถูพื้น) ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกนี่หนา...
ถามไปคุยมาเลยได้ความว่า นางใส่น้ำยาถูพื้นไปครึ่งขวด! พื้นถึงได้เป็นเมือกๆ ไม่แห้งสักทีพอเราบอกว่าคุณใส่น้ำยาเยอะไปนะ
นางก็เถียงอีกว่า ผมก็ใส่เหมือนคุณนะ คือของเราเนี่ย ตอนนั้นน้ำยามันหมด เหลือก้นขวดนิดๆเราเสียดายเลยกรอกน้ำผสม เขย่าๆขวดแล้วเทใส่ถังถูพื้น
แต่นางเห็นแค่ตอนเราเทไง เห็นเราเทโครมหมด นางเลยเทบ้างโดยไม่เห็นว่าของเราอ่ะมันเจือจางจนไม่มีน้ำยาแล้ว!
เดือดร้อนมาดามสิค่ะ ต้องถูพื้นใหม่ด้วยน้ำเปล่าอีก4-5รอบกว่าพื้นจะหายลื่นกว่าจะยอมแห้ง
แล้วไม้ถูพื้นเราเป็นแบบเก่าที่ต้องจุ่มน้ำแล้วบิดเอง ถ้าบิดไม่ดี น้ำมันก็ติดมาเยอะ พื้นก็แฉะอ่ะเนอะ เราก็ทำ แล้ว พร่ำๆบ่นๆสอนคุณสามีไปด้วย
หล่อนก็พยักหน้าหงึกๆเหมือนจะเข้าใจ คืนนั้นเราเหนื่อยมาก ก่อนหลับฮีมากระซิบขอโทษ ที่ทำให้เหนื่อยเพิ่ม รอบหน้าผมสัญญาจะทำให้ดีกว่า
ปากเราอยากห้าม ไม่ต้องช่วยอะไรอีกแล้ว แต่เราเหนื่อยมาก เลยพยักหน้าหงึกๆ หลับตาพึมพรำขอบคุณที่คิดจะช่วยกัน
อาทิตย์หนึ่งต่อมา คุณสามีดี๊ด๊าโทรให้เรารีบกลับบ้านอนางมีอะไรเซอร์ไพรส์ เราก็ใจไม่ดี เวลาฮีมีอะไรเซอร์ไพรส์นี่มันหลอนๆยังไงไม่รู้
พอเรากลับถึงบ้าน นางรีบพาออกไปนอกระเบียง ทำเสียง “TADAAAA” “แต๊นแต๋นนน” เปิดประตูหลัง เจอผ้าตากอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
เอิ่ม...แต่มันจะดีมาก ถ้าไม่มีชุดชันในเราห้อยอยู่กับถุงเท้า โถ่ๆ วิคตอเรียซิคเครทกุงเกงลิงน้อยแม่ ได้ไปว่ายน้ำในเครื่องซักผ้ามาย้วยหมดเลย แถมเสื้อทำงานเราตากคู่กับผ้าเช็ดเท้า เรางี้อึ้งไปเลย คุณชายรีบถาม คุณปลื้มใช่ไหมละ เราถึงกับถอนหายใจ เห้อ..
นางเห็นสีหน้าเรา ก็ทำหน้าผิดหวัง คุณไม่ภูมิใจในตัวผมเหรอ
เรารีบปรับสีหน้า หันไปกอดนาง รีบบอกขอบคุณ ฉันซาบซึ้งใจมากค่ะที่รัก ส่วนในใจคิดว่าเดี๋ยวต้องได้สอนเรื่องซักผ้ากันใหม่สินะ
หลังจากนั้นเราถามคุณสามี ว่าคุณซักแบบยังไงเหรอ นางรีบเล่า ผมเอาผ้าไปจองที่ตู้ (เครื่องหยอดเหรียญของคอนโด)
ผมต้องเดินไปดูถึงสามรอบกว่าจะเจอเครืองว่าง พอเครื่องว่างผมรีบเทผ้าใส่เลย แต่ผมลืมเหรียญ ผมรีบวิ่งกลับมาแล้วรีบวิ่งไปหยอดเพราะกลัวคนจะแย่งเครื่อง
เราเลยถามทำไมถึงเอาผ้าเช็ดเท้าไปซักกับเสื้อผ้า นางบอก ผมจะซักแค่เสื้อกับกางเกงนะ ตอนเอาใส่เครื่อง
มันมีที่ว่างอีกเอยะ ผมเลยกลับมาเอาถุงเท้าไปใส่เพิ่ม มันก็ยังได้นิดเดียวเลยเดินกลับมาเอาตะกร้าชุดชันในคุณไปใส่อีก
มันก็ยังไม่เต็ม ผมเสียดายพื้นที่ในเครื่องเลยกลับมาเอาผ้าเช็ดเท้าไปใส่ด้วย
เราฟังไปก็เอิ่มนะ ... ยุบหนอ พองหนอ มองแต่ด้านดีดีของฮีไว้หนอ
พอพร้อมเราก็มาคุย มาบอก มาอธิบายว่าของต่ำไม่ควรเอามาซักกับรวมของสูง เช่นชุดชั้นในไม่ควนซักกับผ้าเช็ดหน้า
ถุงเท้าไม่ควรซักรวมกับเสื้อ เขาก็เถียงของทุกชิ้นก็สกปกเหมือนกันไม่งั้นจะซักทำไม เดี๋ยวความร้อนในเครื่องมันก็ทำลายเชื้อโรคแล้ว
เราก็บอก คุณค่ะ ที่นี่เมืองไทย เครื่องซักผ้าที่เราใช่ไม่มีระบบน้ำร้อนค่ะ
นางก็เถียงแต่น้ำมันร้อนจริงๆนะ “ค่ะ มันร้อน เพราะอากาศมันร้อน น้ำมันคาท่อ คาแท้งค์ตากแดดอยู่มันเลยร้อนแต่ไม่พอจะฆ่าเชื้อหรอกค่ะ
ฮีก็หน้างอ “ผมทำอะไรไม่เคยถูกเลยใช่ไหม” ก่อนจะดราม่ากันใหญ่ เราก็เข้าไปกอด พร้อมกับขอบคุณ บอกเขา เราประทับใจมาก ในความหวังดี พูดประมาณว่าฮีนี่เป็น The Best Husband in the world คุณสามีดีที่สุดในโลกเลย (นี่สินะที่เขาเรียกว่าการโกหกขาว)
เราก็ไม่รื้อฟื้น ยอมใส่เสื้อผ้าที่นางซักแบบคาใจแต่ไม่แสดงออก จนมาวันหนึ่งเราต้องไปซื้อของใช้เข้าบ้าน
พวกผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ของใช้ส่วนตัว โดยปกติเราจะซื้อของใช้เดือนละ1-2ครั้งเท่านั้น พอเลิกงานเราก็รีบไปซื้อเลย
เพราะฝนตั้งเค้ามาแล้ว พอได้ของครบก็นั่ง2แถวมาลงปากซอยแล้วเดินเข้าคนโด ฝนดันตกค่ะ เราก็รีบ
ดูๆแล้วของก็เปียกได้ทุกอย่างเพราะบรรจุถุงดีแล้วก็เป็นพวกขวดน้ำยา อีกอย่างเองก็เพิ่งเลิกงานน้ำยังไม่อาบ เดี๋ยวกลับไปก็ต้องอาบน้ำอยู่แล้ว
เราเลยไม่รอหลบฝน กะว่าเดินๆวิ่งๆทำมิวสิคกลับบ้านไปอ้อนคุณฝาชีดีกว่า
ระหว่างวิ่งๆอยู่เราก็ได้ยินเสียดัง ฟอดๆแบบตอนเราล้างรถแล้วบีบฟองน้ำอ่ะ
เราเลยก้มมองดู กางเกงยีนส์ที่เราใส่ โดยเฉพาะตรงหัวเขามีฟองไหลออกมาเป็นทาง จังหวะที่เรางอเข่ายกขามีนก็ดันอากาศออกมาพร้อมกับฟองผงซักฟอก เสียงเป็นจังหวะการเดิน ฟอด แฟ๊ด ฟอดแฟ๊ด .. เราก็ตกใจ เฮ้ย!ไรแว๊!
รีบวิ่งกลับคอนโด พอไปถึง ก็ง้มๆเงยๆล้วงกระเป๋าหาคีย์การ์ด
จนยามเห็นต้องรีบวิ่งมาช่วยเปิดประตู “โฮ้!ซื้อของใช้มาเยอะเลยนะครับ สงสัยถุงแฟบคงรั่วแล้วนะ ระวังนิดหนึ่ง ไปถึงห้องรีบเอาเทใส่กล่องเลยนะครับเดียวมันจับกันเป็นก้อน จะใช้ลำบาก
โถ พ่อยามใจพระ .. เราไม่มีอารมณ์จะอธิบายได้แต่บอก “จ๊ะๆ ขอบคุณจ๊ะ” แล้วรีบเข้าลิฟขึ้นมาบนห้อง เพราะเริ่มคันก้น คันน้องหนูแล้ว อยากอาบน้ำเต็มที
เดี๋นวมาต่อนะค่ะ ...
เรื่องเจ็บๆ คันๆ มันส์ๆของการใช้ชีวิตคู่...ตอน..เมื่อสามีของอิฉันลุกขึ้นทำงานบ้านเอง..
เราอยู่กินกับสามีมาเกือบ 5ปีแล้วค่ะ สามีและเราจะทำแต่งานนอกบ้าน เราขอออกตัวเลยว่าเราไม่เคยชอบทำงานบ้านเลย
ก่อนแต่งงาน เราจะหาที่พักที่อยู่ใกล้กับที่ทำงาน แล้วเราก็จ้างแม่บ้านของออฟฟิศนี่ละ เก็บกวาดให้อาทิตย์ละครั้ง 2ครั้ง
แม่บ้านส่วนใหญ่ก็ยินดีกับรายได้เสริม เราก็ชอบด้วยแหละ
หลังจากแต่งงาน สามีเราก็ขอให้เราลาออกจากงาน ตามไปอยู่ต่างประทศด้วย บริษัทที่สามีเราทำงานด้วย
เขาจ่ายค่าจ้างให้เป็นแพคเก็ตเอ็กส์แพคให้กับสามีเรา ก็มีตั๋วไปกลับเยี่ยมบ้านปีละครั้ง รถประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ บ้านพร้อมแม่บ้าน
ส่วนค่าสารณูประโภคจ่ายเอง
แต่งานจะย้ายไปเรื่อยๆแล้วแต่เขาจะส่งไปประเทศไหน อยู่ไม่เป็นหลักส่วนใหญ่จะเป็นประเทศแถบเอชีย
แต่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะได้แพคเก็ตแบบนี้ เข้าทางเราเลย เป็นมาดามไปสิ มีคนขับรถ มีแม่บ้าน แต่เราเป็นคนบ้างานค่ะ
ไม่อยากอยู่เฉยๆ พอไม่ได้ทำงานบ้าน ไม่ต้องดูแลสามีมาก เราเลยออกหางานทำ
ได้งานใกล้บ้านที่พักเดินไปได้ แต่เงินเดือนเราน้อยกว่าเงินเดือนแม่บ้านเราอีก
เพียงแต่เราได้หยุด2วัน แม่บ้านเราหยุดวันอาทิตย์วันเดียว ก็ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆละเนอะ
จนสามีเราโดนย้ายไปอินเดีย ไปคุมโรงงานใหม่ที่นั่น และเราก็โดนเรียกตัวไปช่วย เพราะเมีปัญหากับพนักงาน
เจ้าของษริษัทคิดประมาณว่า เราว่าคนเอเชียเหมือนกับพนักงานที่นั่นน่าจะเข้าใจวัฒนธรรมกันและสือสารกันง่ายมากขึ้น
จึงจ้างเราเป็นผู้ช่วยประสานงานให้อีกที แต่ที่ไหนได้ คนอินเดียเจ้าเล่ห์มาก เราตามลูกน้องไม่ทัน
ทุกวันเราจะโดนลูกน้องหลอก มันโกหกตลอดๆ
แผนกสั่งซื้อก็จะซื้อแต่ของๆญาติตัวเอง ไม่ได้ดูการเปรียบเทียบราคาอะไรเลย หัวหน้าก็จะเอาแต่ครอบครัวตัวเองมาทำงาน
พอเราเตือนคนหนึ่ง กระทบกระเทือนมันทั้งโรงงาน เหนื่อยมากแต่ก็กัดฟันทำจนหมดสัญญา 6เดือน
แล้วขอสามีกลับมาอยู่บ้านกับแม่ที่เมืองไทย
สามีเราก็ตามใจ ตัวเขาก็ทนทำจนครบปี หมดสัญญาแล้วไม่ต่อสัญญา ออกงานกลับบ้าน
หนีตามเมียกลับมาอยุ่เมืองไทย พากันตกงานสิค๊ะ
ตอนนั้นสามีเราอยากหางานใหม่พอดี เพราะอยู่กับบริษัทเก่ามาเกือบ7ปีแล้ว อยู่แต่แถบเอเชีย
เขาอยากย้ายกลับฝั่งยุโรปทางบ้านเขาบ้าง
แต่ตกงานกันเกือบ6เดือน ส่งใบสมัครงานไปทั่วโลกแต่ไม่มีบริษัทไหนเรียกตัวเลยสักที่
เราคนไม่เคยอยู่เฉยพอตกงานนานๆเริ่มเครียด ค่าใช้จ่ายก็เยอะ เพราะเราและสามีเลี้ยงดูแม่เรา และส่งเสียแม่เขาด้วย
พอไม่มีรายได้เข้ามาเกือบปีนี่ แย่เลย ใช้แต่เงินเก็บ เราเลยออกมาหางานเองที่กรุงเทพ และได้งานที่บริษัทของคนอังกฤษ
เราจึงย้ายเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ และลากสามีมาด้วย
จะทิ้งไว้ที่บ้านก็สงสารแม่ สือสารกันที มือไม้พันกันยุ่งไปหมด ลุกเขยอยากดื่มกาแฟ แม่ยายกลับเอาหมูปิ้งมาให้อะไรยังงี้
พอมาอยู่กรุงเทพ เราเช่าคอนโดเล็กๆ ขนาดห้องนอนเดียว ไม่มีแม่บ้าน ไม่มีสถานที่รับแขก เน้นถูกๆ อยู่ง่ายๆ
เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ชอบทำงานบ้านมากๆ
มาอยู่ที่นี่เราทำงานนอกบ้าน แต่กลับมาก็ยังทำกับข้าว เก็บบ้านทำงานบ้านซักผ้าใส่รีดผ้า คิดถึงเบิร์นนี่(แม่บ้านเก่า)สุดๆเลย ..
วันหนึ่งสามีเราบ่น “ผมเบื่อจังเลย อยู่ห้องเฉยๆรอคุณกลับมา ไม่มีอะไรให้ทำเลย” ต๋ายยย ไม่มีอะไรทำ พูดออกมาได้เนาะ คุณชายยยย
เราก็ตอบไป แบบไม่ได้คิดมาก “โอ้ย งานเยอะแยะ ถ้าคุณจะทำ ล้างจาน ถูบ้าน ซักผ้า เช็ดฝุ่น ขัดห้องนี่ คุณก็ทำไปสิ ฉันกลับมาเหนื่อยๆ จะได้พักบ้าง” สามีเราก็ว่า จริงเหรอ ผมทำได้จริงเหรอ
"เอ้า!ได้สิค่ะ เนี่ยคุณทำไปเลย พอฉันกลับมา ก็แค่ทำกับ เรากินข้าวกัน จะได้มีเวลาคุยกัน ใช้เวลาดูหนังดูทีวีกันบ้างเนอะ"
สามีก็เออๆ ออๆ เหมือนจะเห็นดีด้วย แต่เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเยอะ แค่คุยๆกันไป ได้ก็ดี แหะๆ ...
ลืมบอกไปว่า สามีเราเป็นเจ้าระเบียบมาก จานกินเสร็จต้องล้าง และเช็ดเข้าที่เลย จะล้างแล้วมาคว่ำรอให้แห้งเองนี่ ไม่ได้
เสื้อผ้าต้องรีด แขวนเรียงแยกสีแยกไซด์ แยกชุดทำงาน ผ้าเที่ยวเสื้อผาอยู่บ้าน
ของใช้ทุกอย่างเขานี่ใช้เสร็จจะเก็บเข้าที่ทันที เสื้อผ้าถอดเสร็จต้องใส่ลงตะกร้า เป็นระเบียบมากกว่าเราอีก
แต่อาทิตย์หนึ่งผ่าน อิฉันก็ยังเป็นฝ่ายทำงานบ้านเอง จนเข้าอาทิตย์ที่2 คุณชายก็โทรถามว่าวันนี้เลิกงานกี่โมง
คาดว่าจะถึงบ้านกี่โมง เราก็แอบแปลกใจ ทุกทีไม่เห็นถาม พอกลับถึงบ้าน
เปิดประตูเจอพื้นเป็นเมือกน้ำลื่นๆ พร้อมกับสามีนั่งหน้าสลด หน้าตาเป็นกังวลมาก
นางสารภาพว่า อยากช่วยเราถูบ้านเราก็ถามคุณทำยังไง นางรีบตอบ “ ผมทำเหมือนคุณเปี๊ยบเลย” เหมือนยังไง เราก็สงสัย
นางบอก ผมก็เอาน้ำใส่อันนี้( กะละมัง) แล้วก็ใส่อันนี้(น้ำยาถูพื้น)
แล้วก็ทำแบบนี้ๆ (นางทำท่าเอาผ้าถูพื้นจุมๆแล้วกำๆบีบๆเอาน้ำออก )แล้วผมก็ทำแบบนี้ แบบนี้ แบบนี้(ทำท่ายึกยักๆ แบบคนถูพื้น) ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกนี่หนา...
ถามไปคุยมาเลยได้ความว่า นางใส่น้ำยาถูพื้นไปครึ่งขวด! พื้นถึงได้เป็นเมือกๆ ไม่แห้งสักทีพอเราบอกว่าคุณใส่น้ำยาเยอะไปนะ
นางก็เถียงอีกว่า ผมก็ใส่เหมือนคุณนะ คือของเราเนี่ย ตอนนั้นน้ำยามันหมด เหลือก้นขวดนิดๆเราเสียดายเลยกรอกน้ำผสม เขย่าๆขวดแล้วเทใส่ถังถูพื้น
แต่นางเห็นแค่ตอนเราเทไง เห็นเราเทโครมหมด นางเลยเทบ้างโดยไม่เห็นว่าของเราอ่ะมันเจือจางจนไม่มีน้ำยาแล้ว!
เดือดร้อนมาดามสิค่ะ ต้องถูพื้นใหม่ด้วยน้ำเปล่าอีก4-5รอบกว่าพื้นจะหายลื่นกว่าจะยอมแห้ง
แล้วไม้ถูพื้นเราเป็นแบบเก่าที่ต้องจุ่มน้ำแล้วบิดเอง ถ้าบิดไม่ดี น้ำมันก็ติดมาเยอะ พื้นก็แฉะอ่ะเนอะ เราก็ทำ แล้ว พร่ำๆบ่นๆสอนคุณสามีไปด้วย
หล่อนก็พยักหน้าหงึกๆเหมือนจะเข้าใจ คืนนั้นเราเหนื่อยมาก ก่อนหลับฮีมากระซิบขอโทษ ที่ทำให้เหนื่อยเพิ่ม รอบหน้าผมสัญญาจะทำให้ดีกว่า
ปากเราอยากห้าม ไม่ต้องช่วยอะไรอีกแล้ว แต่เราเหนื่อยมาก เลยพยักหน้าหงึกๆ หลับตาพึมพรำขอบคุณที่คิดจะช่วยกัน
อาทิตย์หนึ่งต่อมา คุณสามีดี๊ด๊าโทรให้เรารีบกลับบ้านอนางมีอะไรเซอร์ไพรส์ เราก็ใจไม่ดี เวลาฮีมีอะไรเซอร์ไพรส์นี่มันหลอนๆยังไงไม่รู้
พอเรากลับถึงบ้าน นางรีบพาออกไปนอกระเบียง ทำเสียง “TADAAAA” “แต๊นแต๋นนน” เปิดประตูหลัง เจอผ้าตากอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
เอิ่ม...แต่มันจะดีมาก ถ้าไม่มีชุดชันในเราห้อยอยู่กับถุงเท้า โถ่ๆ วิคตอเรียซิคเครทกุงเกงลิงน้อยแม่ ได้ไปว่ายน้ำในเครื่องซักผ้ามาย้วยหมดเลย แถมเสื้อทำงานเราตากคู่กับผ้าเช็ดเท้า เรางี้อึ้งไปเลย คุณชายรีบถาม คุณปลื้มใช่ไหมละ เราถึงกับถอนหายใจ เห้อ..
นางเห็นสีหน้าเรา ก็ทำหน้าผิดหวัง คุณไม่ภูมิใจในตัวผมเหรอ
เรารีบปรับสีหน้า หันไปกอดนาง รีบบอกขอบคุณ ฉันซาบซึ้งใจมากค่ะที่รัก ส่วนในใจคิดว่าเดี๋ยวต้องได้สอนเรื่องซักผ้ากันใหม่สินะ
หลังจากนั้นเราถามคุณสามี ว่าคุณซักแบบยังไงเหรอ นางรีบเล่า ผมเอาผ้าไปจองที่ตู้ (เครื่องหยอดเหรียญของคอนโด)
ผมต้องเดินไปดูถึงสามรอบกว่าจะเจอเครืองว่าง พอเครื่องว่างผมรีบเทผ้าใส่เลย แต่ผมลืมเหรียญ ผมรีบวิ่งกลับมาแล้วรีบวิ่งไปหยอดเพราะกลัวคนจะแย่งเครื่อง
เราเลยถามทำไมถึงเอาผ้าเช็ดเท้าไปซักกับเสื้อผ้า นางบอก ผมจะซักแค่เสื้อกับกางเกงนะ ตอนเอาใส่เครื่อง
มันมีที่ว่างอีกเอยะ ผมเลยกลับมาเอาถุงเท้าไปใส่เพิ่ม มันก็ยังได้นิดเดียวเลยเดินกลับมาเอาตะกร้าชุดชันในคุณไปใส่อีก
มันก็ยังไม่เต็ม ผมเสียดายพื้นที่ในเครื่องเลยกลับมาเอาผ้าเช็ดเท้าไปใส่ด้วย
เราฟังไปก็เอิ่มนะ ... ยุบหนอ พองหนอ มองแต่ด้านดีดีของฮีไว้หนอ
พอพร้อมเราก็มาคุย มาบอก มาอธิบายว่าของต่ำไม่ควรเอามาซักกับรวมของสูง เช่นชุดชั้นในไม่ควนซักกับผ้าเช็ดหน้า
ถุงเท้าไม่ควรซักรวมกับเสื้อ เขาก็เถียงของทุกชิ้นก็สกปกเหมือนกันไม่งั้นจะซักทำไม เดี๋ยวความร้อนในเครื่องมันก็ทำลายเชื้อโรคแล้ว
เราก็บอก คุณค่ะ ที่นี่เมืองไทย เครื่องซักผ้าที่เราใช่ไม่มีระบบน้ำร้อนค่ะ
นางก็เถียงแต่น้ำมันร้อนจริงๆนะ “ค่ะ มันร้อน เพราะอากาศมันร้อน น้ำมันคาท่อ คาแท้งค์ตากแดดอยู่มันเลยร้อนแต่ไม่พอจะฆ่าเชื้อหรอกค่ะ
ฮีก็หน้างอ “ผมทำอะไรไม่เคยถูกเลยใช่ไหม” ก่อนจะดราม่ากันใหญ่ เราก็เข้าไปกอด พร้อมกับขอบคุณ บอกเขา เราประทับใจมาก ในความหวังดี พูดประมาณว่าฮีนี่เป็น The Best Husband in the world คุณสามีดีที่สุดในโลกเลย (นี่สินะที่เขาเรียกว่าการโกหกขาว)
เราก็ไม่รื้อฟื้น ยอมใส่เสื้อผ้าที่นางซักแบบคาใจแต่ไม่แสดงออก จนมาวันหนึ่งเราต้องไปซื้อของใช้เข้าบ้าน
พวกผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ของใช้ส่วนตัว โดยปกติเราจะซื้อของใช้เดือนละ1-2ครั้งเท่านั้น พอเลิกงานเราก็รีบไปซื้อเลย
เพราะฝนตั้งเค้ามาแล้ว พอได้ของครบก็นั่ง2แถวมาลงปากซอยแล้วเดินเข้าคนโด ฝนดันตกค่ะ เราก็รีบ
ดูๆแล้วของก็เปียกได้ทุกอย่างเพราะบรรจุถุงดีแล้วก็เป็นพวกขวดน้ำยา อีกอย่างเองก็เพิ่งเลิกงานน้ำยังไม่อาบ เดี๋ยวกลับไปก็ต้องอาบน้ำอยู่แล้ว
เราเลยไม่รอหลบฝน กะว่าเดินๆวิ่งๆทำมิวสิคกลับบ้านไปอ้อนคุณฝาชีดีกว่า
ระหว่างวิ่งๆอยู่เราก็ได้ยินเสียดัง ฟอดๆแบบตอนเราล้างรถแล้วบีบฟองน้ำอ่ะ
เราเลยก้มมองดู กางเกงยีนส์ที่เราใส่ โดยเฉพาะตรงหัวเขามีฟองไหลออกมาเป็นทาง จังหวะที่เรางอเข่ายกขามีนก็ดันอากาศออกมาพร้อมกับฟองผงซักฟอก เสียงเป็นจังหวะการเดิน ฟอด แฟ๊ด ฟอดแฟ๊ด .. เราก็ตกใจ เฮ้ย!ไรแว๊!
รีบวิ่งกลับคอนโด พอไปถึง ก็ง้มๆเงยๆล้วงกระเป๋าหาคีย์การ์ด
จนยามเห็นต้องรีบวิ่งมาช่วยเปิดประตู “โฮ้!ซื้อของใช้มาเยอะเลยนะครับ สงสัยถุงแฟบคงรั่วแล้วนะ ระวังนิดหนึ่ง ไปถึงห้องรีบเอาเทใส่กล่องเลยนะครับเดียวมันจับกันเป็นก้อน จะใช้ลำบาก
โถ พ่อยามใจพระ .. เราไม่มีอารมณ์จะอธิบายได้แต่บอก “จ๊ะๆ ขอบคุณจ๊ะ” แล้วรีบเข้าลิฟขึ้นมาบนห้อง เพราะเริ่มคันก้น คันน้องหนูแล้ว อยากอาบน้ำเต็มที
เดี๋นวมาต่อนะค่ะ ...