[CR] Backpack เที่ยวสังขละบุรี 2วัน 1คืน ก็เที่ยวได้

“สังขละบุรี”   จริงๆแล้วเราเองก็อยากไปเที่ยวที่นี่นานแล้วครับ หลังจากที่พนักงานออฟฟิศเวลาน้อยอย่างเราออกไปเที่ยวที่ใกล้มาหลายที่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นทะเล เลยอยากเปลี่ยนแนวเปลี่ยนบรรยากาศบ้างและสังขละบุรีก็เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของเรา

แต่จากที่เพื่อนๆและคนรอบตัวที่เคยไปมาแล้วบอกประมาณว่า ”ค่อนข้างไกล  แค่2คงวันไม่พอหรอก” แต่ไหนๆตั้งใจจะไปแล้ว “ เอาวะ!!  2วันก็ได้ ไปก็ไป” แล้วเราก็หาข้อมูลการเดินทาง ที่พัก ที่เที่ยวแบบคร่าวๆแล้วก็ไปกันเลย แต่ ต้องบอกก่อนเลยนะว่าเที่ยวสังขละบุรี 2วัน 1คืน แบบเราต้องใช้พลังกายพอสมควรเลยล่ะ ส่วนเรื่องพลังใจในการเที่ยวคงไปต้องเป็นห่วงอยู่แล้วเนอะ  กระทู้จะรีวิวคร่าวๆเผื่อว่าจะเป็นแนวทางให้ใครที่อยากเที่ยวในแบบเราได้ลองอ่านดูนะครับ

เริ่มจากเช้าวันเสาร์ เราไปกัน 2 คน เดินทางโดยรถโดยสาร 999 กรุงเทพฯ-ด่านเจดีย์สามองค์ จากสถานีขนส่งหมอชิต รถเที่ยวแรกออกประมาณ 6.30น. ตีตั๋วไปลงสังขละบุรีได้เลย  (ช่องขายตั๋วที่21 ค่าโดยสารคนละ 306บ.)

หลังจากรถเริ่มออกเดินทางรถจะแวะพัก และแวะให้รับประทานอาหารตอนเที่ยง หลังจากนั้นจะวิ่งยาวๆถึงสังขละบุรี ถ้าใครไม่หลับบนรถขอบอกว่าวิวระหว่างทางสวยมาก เรานี่สิ มึนๆ หลับๆตื่นๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย  ตาสว่างอีกทีถึงสังขละบุรีแล้ว ประมาณ 13.30น.  รถมาจอดส่งเราที่ตลาดสังขละบุรี มาถึงฝนก็ต้อนรับกันอย่างชุ่มช่ำเลยทีเดียวโชคดีนะครับที่ตกไม่นาน

หลังจากลงรถแล้วยืนงงๆกันอยู่พักนึง ก็คิดว่าคงต้องหาที่พักก่อนพอดีมีวินมอเตอร์ไซต์ขับมาถามว่าจะไปไหนกันเราก็ตอบ ” ชื่นใจเฮ้าส์” จากที่หาข้อมูลที่พักมาที่นี่สะกิดใจแบบบอกไม่ถูกเหมือนกันก็เลยไปแบบไม่ค่อยได้คิดเยอะครับ
ที่ชื่นใจเฮาส์ไม่รับจองนะ ต้องวอร์คอินอย่างเดียว โชคดีที่ตอนเราไปห้องว่างพอดี เราเช็คอินก็แล้วขอเดินสำรวจนิดนึง  
ที่นี่จะเป็นเกสเฮาส์แบบบ้านๆไม่เน้นหรูหรา ตกแต่งแบบคลาสสิค วินเทจ ดูมีเสน่ห์มากๆ
บ้านพักของชื่นใจเฮาส์ มีทั้งหมด 5 หลัง ราคาเดียว 450 บ. หน้าตาที่พักก็ประมาณนี้
ภายในห้องพักมีพัดลม ที่นอน หมอน มุ้ง ให้เรียบร้อย ห้องน้ำในตัว แต่ข้อเสียอย่างนึงคือ ยุงเยอะไปหน่อย ใครตั้งใจจะไปพักที่นี่ก็อย่าลืมติดโลชั่นกันยุงไปด้วยนะครับ
หลังจากเข้าห้องพัก เก็บของเรียบร้อยแล้วก็เตรียมออกลุยกันเลย ลองสอบถามเรื่องเส้นทาง ที่เที่ยวกับทางที่พักอีกทีแล้วก็ซื้อแผนที่วางแผนเที่ยวพร้อมลุย พี่ที่ชื่นใจเฮ้าส์บอกให้เราไปเช่ามอเตอไซต์ที่ พีเกสเฮาส์ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก พอไปถึงพีเกสเฮาส์ปรากฏว่า มอเตอไซต์มีคนเช่าเต็มหมดเลย คราวนี้ถึงกับต้องรื้อแผนเที่ยวใหม่เลยครับ เรายืนงงกันอยู่พักใหญ่ก็ได้แผนใหม่ เป้าหมายแรกเราคือสะพานมอญ ซึ่งดูจากแผนที่แล้วคงอยู่ไม่ไกล เราเลยตัดสินใจเดินไป พิสูจน์ความตั้งใจในการเที่ยวกัน (ระยะทางบวกกับอากาศร้อนทำเอาเหนื่อยเหมือนกันแฮะ)

เส้นทางที่เราเดินมา ก่อนจะถึงสะพานมอญ ต้องผ่านสะพานแดงก่อน  จากตรงนี้จะเห็นสะพานมอญอยู่ไกลๆ เราเลยแวะพักเหนื่อยแล้วก็ถ่ายรูปกันตรงนี้ก่อนครับ

เราเดินจากสะพานแดงมาจนถึงสะพานมอญ คือสะพานไม้เค้าสวยจริงๆ ขอถ่ายรูปเซทแรกเอาไว้ก่อนละกันครับ

เดินเล่นแถวนี้ได้สักพักก็มีพี่ชายคนนึงมาถามเราว่าสนใจนั่งเรือชมวัดรึเปล่า ตอนนั้นประมาณบ่ายสามครึ่ง ถ้าไปก็คง 5โมงเย็น มาเดินเล่นที่สะพานต่อพอดี เราเองก็สนใจอยู่แล้วเลยตกลงไปกับพี่เค้าเลยครับ โปรแกรมนั่งเรือชมวัดจมน้ำ ราคาอยู่ที่ 300/ 1วัด และ 500/3วัด ไหนๆมาแล้วก็เอาให้ครบ3วัดเลยก็แล้วกัน ระหว่างนั่งเรือรับลมเย็นๆก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเอาเยอะล่ะเลยครับ
ระหว่างที่นั่งเรือไปเราจะมองเห็นยอดเจดีย์พุทธคยาด้วยล่ะครับ อีกหนึ่งจุดหมายของเราที่จะต้องไปให้ได้
ระหว่างนั่งเรือก่อนจะถึงวัดก็นั่งชมวิวไปเรื่อยๆ วิวมันสวยสะดุดตาตรงที่มีตอไม้โผล่พ้นน้ำขึ้นมานี่แหละ ดูแล้วมีเสน่ห์ดี ถ่ายรูปมาซะเยอะเลย

มาถึงวัดแรกของโปรแกรมนั่งเรือชมวัดจมน้ำ 3วัด วัดนี้ชื่อว่า “ศรีสุวรรณ”  เป็นวัดเดียวในโปรแกรม 3วัด ที่เราไม่สามารถขึ้นบกไปชมใกล้ๆได้ เพราะตอไม้เยอะมากขนาดนี้จนเอาเรือเข้าไปไม่ได้ เป็นเราก็คงไม่เสี่ยงขับเรือเข้าไปนะ

หลังจากนั่งอยู่บนเรือชมวัดศรีสุวรรณอยู่ไกลๆแล้ว สารถีก็ขับเรือพาเรามาที่วัดต่อมา คือ "วัดวังก์วิเวการาม (เก่า)" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "วัดหลวงพ่ออุตตมะ" วัดนี้เป็นวัดที่เป็นไฮไลท์ของโปรแกรมนั่งเรือชมวัดจมน้ำเลยก็ว่าได้ พอเรือมาถึงปุ๊บ ก็จะมีเด็กๆชาวมอญ มารอต้อนรับแถมยัง
เป็นไกด์นำเที่ยวให้พร้อมดอกไม้ธูปเทียนไว้ไปไหว้พระด้วย เด็กๆเค้าจะคิดเงินแค่ค่าดอกไม้ธูปเทียนชุดละ 10บาท ที่เหลือก็แล้วแต่น้ำใจเราละนะ
ช่วงที่น้ำแห้งเราจะได้เดินขึ้นมาชมวัดในจุดต่างๆได้ เช่น หอระฆัง วิหาร ซุ้มกำแพงและโบสถ์  แต่หากเป็นหน้าน้ำจะได้แค่ชมอยู่บนเรือเท่านั้นนะครับ
จากที่ไกด์มอญตัวน้อยของเราเล่าให้ฟัง วัดนี้รวมทั้งอำเภอสังขละบุรีเก่าถูกปล่อยให้จมน้ำตั้งแต่ปี 2527 ที่มีการสร้างเขื่อนเขาแหลมและอำเภอสังขละบุรีก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ในปัจจุบันนี้ และก็ได้มีการสร้างวัดวังก์วิเวการามขึ้นใหม่ด้วย
โบสถ์เก่าของวัดวังก์วิเวการาม สวยงามและดูศักดิ์สิทธิ์ดีครับ
อย่างนึงที่เราได้รู้จากไกด์ตัวน้อยๆของเราคือการเดินเข้าชมโบสถ์ต้องเดินเข้าตามทางเข้าห้ามเดินลัดทางกำแพงถึงแม้กำแพงจะพังไปแล้วเพราะนั่นมันจะเหมือนกับเราปีนกำแพงวัด อีกอย่างคือการจะเข้าโบสถ์ต้องเข้าจากด้านหน้าและออกทางด้านหลัง จะไม่เดินย้อนกลับทางประตูหน้า เพราะฉะนั้นถ้าจะถ่ายรูปหน้าโบสถ์ต้องถ่ายก่อนเข้าโบสถ์เลย
ช่วงน้ำแห้งแบบนี้จะมีการเชิญพระพุทธรูปและรูปของหลวงพ่ออุตตมะ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการามมาไว้ในโบสถ์ให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้กันด้วยครับ
ออกจากวัดวังก์ฯ พี่คนขับเรือก็พาเรามาที่ “วัดสมเด็จเก่า”สุดท้ายของโปรแกรมนั่งเรือชมวัด มาถึงแล้วขึ้นจากเรือปุ๊บเดินขึ้นมาทางที่จะไปวัดแล้วอยากให้ลองหันหลังกลับไปมองก่อนครับ วิวตรงนี้สวยมาก
ชมวิวกันแปบนึงเราเดินขึ้นมาที่จุดที่ตั้งของวัดสมเด็จเก่า ต้องเดินเข้าไปพอสมควรแถมยังต้องเดินขึ้นบันไดอีก (เล่นเอาหมดแรงเหมือนกันนะเนี่ยะ ) มาถึงแล้วก็จะเห็นวัดอยู่ในป่าดูขลังมาก เหมือนฉากในหนังเลย
ชื่อสินค้า:   สังขละบุรี, กาญจนบุรี
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่