ทำไมพระทำผิดแล้วไม่ยอมสึก
ชายที่บวชพระ แล้วครองตนเป็นพระแท้ๆได้
ย่อมนับว่าได้สร้างบุญบารมีมาไม่น้อย
จึงมีโอกาสได้บวชเข้าสู่พระบวรพุทธศาสนา
เพื่อสร้างบารมีต่อไปจนถึงวันแห่งความหลุดพ้น
ใครที่ทำได้ ก็น่าอนุโมทนาอย่างยิ่งยวด
แต่ในยุคค่อนกึ่งพุทธกาลนั้น
ชายที่ได้ทำลายบุญบารมี
ที่ตนเองได้สร้างสมมาก็มีไม่น้อย
ชายที่ทำตัวเป็นเพียงกาฝากของพระพุทธศาสนา
มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปัจจุบัน
จึงถือโอกาสพูด
เพื่อขจัดกาฝากของพระพุทธศาสนา
พระที่ไม่ยอมสึกออกมา
ทั้งๆ ที่ได้ทำผิดศีลขั้นปราชิกแล้วนี้
เราว่าเหตุผลใหญ่อยู่ที่
ไม่รู้จะออกมาทำมาหากินอะไร อย่างไรดี
การใช้ชีวิตฆราวาสไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย
ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอด
ชายที่บวชเป็นพระนานๆ ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย
ในแง่ที่ไม่ต้องทำมาหากินเสียจนชิน
ยิ่งเป็นพระดังๆ ลาภสักการระก็ไหลมาเทมา
อย่างไม่หมดไม่สิ้น
จะไปไหนก็ขึ้นรถดีๆหรูๆนั่ง
จะพูดจะต้องการอะไรก็มีแต่คนรับใช้ตลอดเวลา
"ใครจะไม่อยากอยู่อย่างนั้น"
กลายเป็นวิถีชีวิตที่เคยชินไปอย่างไม่รู้ตัว
จุดนี้เอง
ฆราวาสที่มุ่งขัดเกลากิเลสอย่างไม่ลดละนั้น
จะไปไกลกว่าพระเหล่านั้นแน่นอน
เพราะอยู่กับความทุกข์อย่างแท้จริง
จึงต้องการการดับทุกข์อย่างรุนแรง
และถ้าฆราวาสทำได้ละก็ หมายความว่า
จะต้องทำงานหนักกว่าพระหลายเท่าตัว
พระที่มุ่งชนลาภสักการะและอยู่สบายจนเคยชิน
จะไปเอาพลังที่ไหนมาขัดเกลากิเลส
พระที่ลำบากหน่อยอย่างมากก็ไม่มีคนใส่บาตร
ไม่มีคนเอาซองให้ก็เท่านั้น
แต่ไม่เคยฝึกหัดที่จะอยู่อย่างอดๆอยากๆ
เหมือนคนจนจริงๆ ที่ต้องอดมื้อกินมื้อ
ฉะนั้น จะให้พระที่บวชนานๆ สึกออกมา
เผชิญโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันสูงตอนนี้
แค่คิดเท่านั้น "ก็ขนลุกแล้ว"
แต่ครั้นจะทู่ซี้ อยู่ในเครื่องแบบผ้าเหลือง
โดยไม่มีความตั้งใจมุ่งขัดเกลากิเลส
อยู่อย่างเป็นกาฝากแล้วละก็"สึกออกมาดีกว่า"
การต่อสู้กับชีวิตจริงในสถานะของฆราวาสนั้น
อาจจะช่วยทำให้เข้าใจธรรมะแท้ๆ ได้ดีขึ้นก็ได้
ขึ้นอยู่ที่ปัจจัยสำคัญข้อเดียวเท่านั้น
ว่าเจ้าตัวมุ่งหวังความหลุดพ้นจริงจังหรือไม่
ถ้ามีมาก ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสก็มีสิทธิ์
ปฏิบัติจนถึงขั้นหลุดพ้นได้ทั้งนั้น
จึงถือโอกาสนี้พูดตรง ๆ เพื่อขจัดกาฝาก
ที่มาเกาะกินของวัฒนธรรมพระพุทธศาสนา
ในเมืองไทย
พระกาฝากทำลายพระพุทธศาสนา ?
ชายที่บวชพระ แล้วครองตนเป็นพระแท้ๆได้
ย่อมนับว่าได้สร้างบุญบารมีมาไม่น้อย
จึงมีโอกาสได้บวชเข้าสู่พระบวรพุทธศาสนา
เพื่อสร้างบารมีต่อไปจนถึงวันแห่งความหลุดพ้น
ใครที่ทำได้ ก็น่าอนุโมทนาอย่างยิ่งยวด
แต่ในยุคค่อนกึ่งพุทธกาลนั้น
ชายที่ได้ทำลายบุญบารมี
ที่ตนเองได้สร้างสมมาก็มีไม่น้อย
ชายที่ทำตัวเป็นเพียงกาฝากของพระพุทธศาสนา
มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปัจจุบัน
จึงถือโอกาสพูด
เพื่อขจัดกาฝากของพระพุทธศาสนา
พระที่ไม่ยอมสึกออกมา
ทั้งๆ ที่ได้ทำผิดศีลขั้นปราชิกแล้วนี้
เราว่าเหตุผลใหญ่อยู่ที่
ไม่รู้จะออกมาทำมาหากินอะไร อย่างไรดี
การใช้ชีวิตฆราวาสไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย
ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอด
ชายที่บวชเป็นพระนานๆ ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย
ในแง่ที่ไม่ต้องทำมาหากินเสียจนชิน
ยิ่งเป็นพระดังๆ ลาภสักการระก็ไหลมาเทมา
อย่างไม่หมดไม่สิ้น
จะไปไหนก็ขึ้นรถดีๆหรูๆนั่ง
จะพูดจะต้องการอะไรก็มีแต่คนรับใช้ตลอดเวลา
"ใครจะไม่อยากอยู่อย่างนั้น"
กลายเป็นวิถีชีวิตที่เคยชินไปอย่างไม่รู้ตัว
จุดนี้เอง
ฆราวาสที่มุ่งขัดเกลากิเลสอย่างไม่ลดละนั้น
จะไปไกลกว่าพระเหล่านั้นแน่นอน
เพราะอยู่กับความทุกข์อย่างแท้จริง
จึงต้องการการดับทุกข์อย่างรุนแรง
และถ้าฆราวาสทำได้ละก็ หมายความว่า
จะต้องทำงานหนักกว่าพระหลายเท่าตัว
พระที่มุ่งชนลาภสักการะและอยู่สบายจนเคยชิน
จะไปเอาพลังที่ไหนมาขัดเกลากิเลส
พระที่ลำบากหน่อยอย่างมากก็ไม่มีคนใส่บาตร
ไม่มีคนเอาซองให้ก็เท่านั้น
แต่ไม่เคยฝึกหัดที่จะอยู่อย่างอดๆอยากๆ
เหมือนคนจนจริงๆ ที่ต้องอดมื้อกินมื้อ
ฉะนั้น จะให้พระที่บวชนานๆ สึกออกมา
เผชิญโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันสูงตอนนี้
แค่คิดเท่านั้น "ก็ขนลุกแล้ว"
แต่ครั้นจะทู่ซี้ อยู่ในเครื่องแบบผ้าเหลือง
โดยไม่มีความตั้งใจมุ่งขัดเกลากิเลส
อยู่อย่างเป็นกาฝากแล้วละก็"สึกออกมาดีกว่า"
การต่อสู้กับชีวิตจริงในสถานะของฆราวาสนั้น
อาจจะช่วยทำให้เข้าใจธรรมะแท้ๆ ได้ดีขึ้นก็ได้
ขึ้นอยู่ที่ปัจจัยสำคัญข้อเดียวเท่านั้น
ว่าเจ้าตัวมุ่งหวังความหลุดพ้นจริงจังหรือไม่
ถ้ามีมาก ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสก็มีสิทธิ์
ปฏิบัติจนถึงขั้นหลุดพ้นได้ทั้งนั้น
จึงถือโอกาสนี้พูดตรง ๆ เพื่อขจัดกาฝาก
ที่มาเกาะกินของวัฒนธรรมพระพุทธศาสนา
ในเมืองไทย